ฟังคำพูดที่มาจากใจของเด็กชายชุดเขียว ภิกษุวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอดูอีกหน่อย”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ข้าว่าแบบนี้ประเสริฐมากเลย รอมาหมื่นกว่าปีแล้ว ไยต้องรีบร้อนเอาตอนนี้ด้วย”
มรรคาจารย์เต๋าพยักหน้า ยิ้มเอ่ยกับวัวดำตัวนั้น “ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร เจ้าก็ไปเดินเล่นก่อน แต่จำไว้ว่าห้ามข้ามเขต แล้วก็ต้องใจกว้างหน่อย เรื่องในวันนี้ห้ามอาฆาตแค้น จิตใจคับแคบเกินไป สำหรับการฝึกตนเป็นเรื่องดี แต่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นกลับมิได้เป็นเช่นนั้น”
เมื่อไม่มีการสยบกำราบของมหามรรคาส่วนนั้น วัวดำก็พลันกลายร่างเป็นคน คือนักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่ง ใบหน้าผอมตอบสะอาดสะอ้าน บุคลิกเคร่งขรึม มองดูน่าเกรงขามอย่างมาก
ก็คือตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า คือท่านเทพเทวดาของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างสมชื่อ เนื่องจากพื้นที่มงคลดอกบัวและถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาเชื่อมโยงติดกัน เขาจึงมักงัดข้อ ประลองมรรคกถาสูงต่ำกับมรรคาจารย์เต๋าอยู่ตลอดเวลา
และเจ้าอารามผู้เฒ่าก็คือบุคคลเบื้องหลังที่สร้างคนสี่คนในภาพวาดอย่างพวกจูเหลี่ยน สุยโย่วเปียนขึ้นมา และยิ่งเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งได้การยอมรับจากคนบนโลก
บุคคลที่มีคุณวุฒิเก่าแก่ที่สุด อายุมากที่สุดของฟ้าดิน เป็นคนรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ป๋ายเจ๋อและชูเซิง
หากไม่พูดถึงอายุที่แท้จริง พูดถึงแค่ ‘อายุ’ ในวันเวลาของการฝึกตน หลิวสือลิ่วสายเหวินเซิ่ง จางลู่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อำพรางตัวตนล้วนถือเป็นคนรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น
ทุกครั้งที่เจ้าอารามผู้เฒ่าออกจากบ้านเดินทางไกล เดิมทีก็เหมือนกลอนเซียนท่องเที่ยวบทหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในยุคบรรพกาลนั้น ถ้ำปี้เซียวข้างหาดลั่วเป่า นับแต่ออกจากถ้ำมาก็ไร้ศัตรูทัดทาน จุดใดที่ละเว้นได้กลับไม่ละเว้น
กระทั่งมันได้มาเจอกับผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถึงได้กลายมาเป็นพาหนะของอีกฝ่าย จากนั้นต่อมาบนโลกก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็น’
เฉินหลิงจวินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบหางตามองไป เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่เจี่ยที่ตรอกฉีหลงแล้ว มีมาดแห่งเซียนมากกว่าจริงๆ
หากนักพรตเฒ่าเผยกายด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม คาดว่ามรรคาจารย์เต๋าที่ขี่วัวคงมีแต่จะถูกเฉินหลิงจวินเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเด็กก่อไฟข้างกายเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ เวลาปกติคอยทำงานจุกจิกเช่นเฝ้าเตาคอยพัดไฟให้กับเตาหลอมโอสถ
เจ้าอารามผู้เฒ่ามองเด็กชายชุดเขียวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยที่ใจกล้าเทียมฟ้า
เฉินหลิงจวินรีบก้มหน้าลงทันที ขยับก้นหันหน้าไปมองจุดอื่น ข้ามองไม่เห็นเจ้า เจ้าก็จะมองไม่เห็นข้า
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายจิ่งชิง หน้าตาที่หล่นร่วงลงในพื้นที่มงคลดอกบัวของนายท่านบ้านเจ้า ล้วนถูกเจ้าเก็บกลับมาหมดแล้ว”
เฉินหลิงจวินไม่ได้เงยหน้า ไหล่ลู่คอตก พูดอย่างอัดอั้น “คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด หากเทพเซียนผู้เฒ่าถือสาข้าในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่มีมาดของเซียนอีกแล้ว”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่หากไม่เป็นเพราะบรรพจารย์ของสามลัทธิก็อยู่ที่นี่ด้วย เวลานี้เฉินหลิงจวินคงง่วนอยู่กับการช่วยเช็ดพื้นรองเท้าทุบขาให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าแล้ว ส่วนนวดไหล่ทุบหลังอะไรนั่นช่างเถิด แม้จะมีใจแต่เรี่ยวแรงไม่มากพอ ส่วนสูงของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก มิอาจทำได้จริงๆ หากจะต้องกระโดดตบไหล่คนเขาก็ดูจะไม่เข้าท่า และตนก็ไม่เคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อนด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ จากนั้นเรือนกายก็หายวับไป ไปเดินเล่นที่อื่นอย่างที่มรรคาจารย์เต๋าบอกจริงๆ แม้แต่ภูเขาพีอวิ๋นและเว่ยป้อก็ยังมิอาจสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นกระเพื่อมแม้สักเสี้ยว
เส้นที่ฝังไว้และเส้นสายในเมืองเล็กมีมากเกินไป ขาดๆ หายๆ บ้างก็ถูกสะบั้นขาดไปอย่างสิ้นเชิง บ้างยังพอจะมีเหลือเส้นใยเชื่อมโยง ตัดสลับพัวพันกันซับซ้อนยิ่ง อันที่จริงเจ้าอารามผู้เฒ่าปลาบปลื้มกับเรื่องนี้อย่างมาก เดิมทีเรื่องของการจับจุดสำคัญและชี้สาระสำคัญออกมาก็เป็นจุดที่ตั้งแห่งมหามรรคาของเขาอยู่แล้ว หากสามารถใช้สิ่งนี้มาพิศมรรคาจะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างมากแน่นอน
มรรคาจารย์เต๋ามาจากทางทิศตะวันออก ขี่วัวผ่านประตูเหมือนผ่านด่าน เป็นการเพิ่มบรรยากาศบนมหามรรคาที่กล่าวว่าปราณม่วงมาจากบูรพา (เปรียบเปรยถึงนิมิตหมายแห่งลางมงคล) ให้กับอดีตถ้ำสวรรค์หลีจู เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เห็นเด่นชัด ภายหลังจึงจะค่อยๆ เป็นดั่งน้ำลดหินผุด
ไม่จำเป็นต้องจงใจทำ มรรคาจารย์เต๋าไปที่ใด ที่นั่นก็คือแหล่งกำเนิดแห่งมหามรรคา
นี่ยังเป็นเพราะอยู่ในใต้หล้าไพศาล หากอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ภาพปรากฎการณ์ความมงคลหลากหลายรูปแบบมีแต่จะยิ่งเกินจริงมากกว่านี้
มรรคกถาเป็นธรรมชาติ เดิมทีมรรคาจารย์เต๋าก็ไม่ได้จงใจปิดบังภาพบรรยากาศประเภทนี้ เพียงแต่ว่ามาเป็นแขกที่ไพศาล ติดขัดที่กฎเกณฑ์ซึ่งหลี่เซิ่งกำหนดไว้ จึงยังเก็บงำเอาไว้บ้าง
มรรคาจารย์เต๋าเดินไปยังร้านยาตระกูลหยาง คิดว่าจะไปนั่งที่ม้านั่งยาวใต้ชายคาของเรือนหลังสักหน่อย
ภิกษุวัยกลางคนไปที่เตาเผามังกร เตาที่ผู้เฒ่าเหยารับหน้าที่เป็นช่างผู้อาวุโสคอยให้การดูแล
ทิ้งไว้เพียงปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้อยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “เพราะว่านั่งพูดไม่ปวดเอวก็เลยไม่อยากจะลุกขึ้นยืนแล้วหรือ?”
เฉินหลิงจวินกำลังจะลุกขึ้น มือเท้าก็อ่อนยวบ กลับลงไปนั่งแปะอยู่บนพื้นอีกครั้ง เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ตอบปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้ายืนไม่ไหวขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “กลายเป็นขี้ขลาดขนาดนี้แล้วหรือ? ก่อนข้าจะปรากฏตัวก็ไม่ใช่ว่ากร่างนักหรือไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างพิพักพิพ่วน “ก็แค่เล่นสนุกส่งเดช ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจัง ดวงตาไร้แวว อย่าได้กล่าวโทษกันเลยขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงแย้มยิ้ม “ผู้ฝึกตน พลังชีวิตและจิตวิญญาณของทั้งร่างล้วนอยู่ที่ดวงตา ขึ้นเขาพิสูจน์มรรคา เป็นคนหรือไม่ใช่คน อยู่แค่ที่หัวใจเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก ความรู้ของปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ คำพูดคำจาจึงลี้ลับเช่นนี้
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “จิ่งชิง เจ้าสามารถพาข้าไปที่ตรอกหนีผิงได้ไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!