อ่านสรุป บทที่ 851.1 เฉินสืออี จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 851.1 เฉินสืออี คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ฟังคำพูดที่มาจากใจของเด็กชายชุดเขียว ภิกษุวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอดูอีกหน่อย”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ข้าว่าแบบนี้ประเสริฐมากเลย รอมาหมื่นกว่าปีแล้ว ไยต้องรีบร้อนเอาตอนนี้ด้วย”
มรรคาจารย์เต๋าพยักหน้า ยิ้มเอ่ยกับวัวดำตัวนั้น “ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร เจ้าก็ไปเดินเล่นก่อน แต่จำไว้ว่าห้ามข้ามเขต แล้วก็ต้องใจกว้างหน่อย เรื่องในวันนี้ห้ามอาฆาตแค้น จิตใจคับแคบเกินไป สำหรับการฝึกตนเป็นเรื่องดี แต่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นกลับมิได้เป็นเช่นนั้น”
เมื่อไม่มีการสยบกำราบของมหามรรคาส่วนนั้น วัวดำก็พลันกลายร่างเป็นคน คือนักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่ง ใบหน้าผอมตอบสะอาดสะอ้าน บุคลิกเคร่งขรึม มองดูน่าเกรงขามอย่างมาก
ก็คือตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า คือท่านเทพเทวดาของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างสมชื่อ เนื่องจากพื้นที่มงคลดอกบัวและถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาเชื่อมโยงติดกัน เขาจึงมักงัดข้อ ประลองมรรคกถาสูงต่ำกับมรรคาจารย์เต๋าอยู่ตลอดเวลา
และเจ้าอารามผู้เฒ่าก็คือบุคคลเบื้องหลังที่สร้างคนสี่คนในภาพวาดอย่างพวกจูเหลี่ยน สุยโย่วเปียนขึ้นมา และยิ่งเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งได้การยอมรับจากคนบนโลก
บุคคลที่มีคุณวุฒิเก่าแก่ที่สุด อายุมากที่สุดของฟ้าดิน เป็นคนรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ป๋ายเจ๋อและชูเซิง
หากไม่พูดถึงอายุที่แท้จริง พูดถึงแค่ ‘อายุ’ ในวันเวลาของการฝึกตน หลิวสือลิ่วสายเหวินเซิ่ง จางลู่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อำพรางตัวตนล้วนถือเป็นคนรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น
ทุกครั้งที่เจ้าอารามผู้เฒ่าออกจากบ้านเดินทางไกล เดิมทีก็เหมือนกลอนเซียนท่องเที่ยวบทหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในยุคบรรพกาลนั้น ถ้ำปี้เซียวข้างหาดลั่วเป่า นับแต่ออกจากถ้ำมาก็ไร้ศัตรูทัดทาน จุดใดที่ละเว้นได้กลับไม่ละเว้น
กระทั่งมันได้มาเจอกับผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถึงได้กลายมาเป็นพาหนะของอีกฝ่าย จากนั้นต่อมาบนโลกก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็น’
เฉินหลิงจวินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบหางตามองไป เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่เจี่ยที่ตรอกฉีหลงแล้ว มีมาดแห่งเซียนมากกว่าจริงๆ
หากนักพรตเฒ่าเผยกายด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม คาดว่ามรรคาจารย์เต๋าที่ขี่วัวคงมีแต่จะถูกเฉินหลิงจวินเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเด็กก่อไฟข้างกายเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ เวลาปกติคอยทำงานจุกจิกเช่นเฝ้าเตาคอยพัดไฟให้กับเตาหลอมโอสถ
เจ้าอารามผู้เฒ่ามองเด็กชายชุดเขียวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยที่ใจกล้าเทียมฟ้า
เฉินหลิงจวินรีบก้มหน้าลงทันที ขยับก้นหันหน้าไปมองจุดอื่น ข้ามองไม่เห็นเจ้า เจ้าก็จะมองไม่เห็นข้า
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายจิ่งชิง หน้าตาที่หล่นร่วงลงในพื้นที่มงคลดอกบัวของนายท่านบ้านเจ้า ล้วนถูกเจ้าเก็บกลับมาหมดแล้ว”
เฉินหลิงจวินไม่ได้เงยหน้า ไหล่ลู่คอตก พูดอย่างอัดอั้น “คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด หากเทพเซียนผู้เฒ่าถือสาข้าในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่มีมาดของเซียนอีกแล้ว”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่หากไม่เป็นเพราะบรรพจารย์ของสามลัทธิก็อยู่ที่นี่ด้วย เวลานี้เฉินหลิงจวินคงง่วนอยู่กับการช่วยเช็ดพื้นรองเท้าทุบขาให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าแล้ว ส่วนนวดไหล่ทุบหลังอะไรนั่นช่างเถิด แม้จะมีใจแต่เรี่ยวแรงไม่มากพอ ส่วนสูงของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก มิอาจทำได้จริงๆ หากจะต้องกระโดดตบไหล่คนเขาก็ดูจะไม่เข้าท่า และตนก็ไม่เคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อนด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ จากนั้นเรือนกายก็หายวับไป ไปเดินเล่นที่อื่นอย่างที่มรรคาจารย์เต๋าบอกจริงๆ แม้แต่ภูเขาพีอวิ๋นและเว่ยป้อก็ยังมิอาจสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นกระเพื่อมแม้สักเสี้ยว
เส้นที่ฝังไว้และเส้นสายในเมืองเล็กมีมากเกินไป ขาดๆ หายๆ บ้างก็ถูกสะบั้นขาดไปอย่างสิ้นเชิง บ้างยังพอจะมีเหลือเส้นใยเชื่อมโยง ตัดสลับพัวพันกันซับซ้อนยิ่ง อันที่จริงเจ้าอารามผู้เฒ่าปลาบปลื้มกับเรื่องนี้อย่างมาก เดิมทีเรื่องของการจับจุดสำคัญและชี้สาระสำคัญออกมาก็เป็นจุดที่ตั้งแห่งมหามรรคาของเขาอยู่แล้ว หากสามารถใช้สิ่งนี้มาพิศมรรคาจะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างมากแน่นอน
มรรคาจารย์เต๋ามาจากทางทิศตะวันออก ขี่วัวผ่านประตูเหมือนผ่านด่าน เป็นการเพิ่มบรรยากาศบนมหามรรคาที่กล่าวว่าปราณม่วงมาจากบูรพา (เปรียบเปรยถึงนิมิตหมายแห่งลางมงคล) ให้กับอดีตถ้ำสวรรค์หลีจู เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เห็นเด่นชัด ภายหลังจึงจะค่อยๆ เป็นดั่งน้ำลดหินผุด
ไม่จำเป็นต้องจงใจทำ มรรคาจารย์เต๋าไปที่ใด ที่นั่นก็คือแหล่งกำเนิดแห่งมหามรรคา
นี่ยังเป็นเพราะอยู่ในใต้หล้าไพศาล หากอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ภาพปรากฎการณ์ความมงคลหลากหลายรูปแบบมีแต่จะยิ่งเกินจริงมากกว่านี้
มรรคกถาเป็นธรรมชาติ เดิมทีมรรคาจารย์เต๋าก็ไม่ได้จงใจปิดบังภาพบรรยากาศประเภทนี้ เพียงแต่ว่ามาเป็นแขกที่ไพศาล ติดขัดที่กฎเกณฑ์ซึ่งหลี่เซิ่งกำหนดไว้ จึงยังเก็บงำเอาไว้บ้าง
มรรคาจารย์เต๋าเดินไปยังร้านยาตระกูลหยาง คิดว่าจะไปนั่งที่ม้านั่งยาวใต้ชายคาของเรือนหลังสักหน่อย
ภิกษุวัยกลางคนไปที่เตาเผามังกร เตาที่ผู้เฒ่าเหยารับหน้าที่เป็นช่างผู้อาวุโสคอยให้การดูแล
ทิ้งไว้เพียงปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้อยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “เพราะว่านั่งพูดไม่ปวดเอวก็เลยไม่อยากจะลุกขึ้นยืนแล้วหรือ?”
เฉินหลิงจวินกำลังจะลุกขึ้น มือเท้าก็อ่อนยวบ กลับลงไปนั่งแปะอยู่บนพื้นอีกครั้ง เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ตอบปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้ายืนไม่ไหวขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “กลายเป็นขี้ขลาดขนาดนี้แล้วหรือ? ก่อนข้าจะปรากฏตัวก็ไม่ใช่ว่ากร่างนักหรือไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างพิพักพิพ่วน “ก็แค่เล่นสนุกส่งเดช ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจัง ดวงตาไร้แวว อย่าได้กล่าวโทษกันเลยขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงแย้มยิ้ม “ผู้ฝึกตน พลังชีวิตและจิตวิญญาณของทั้งร่างล้วนอยู่ที่ดวงตา ขึ้นเขาพิสูจน์มรรคา เป็นคนหรือไม่ใช่คน อยู่แค่ที่หัวใจเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก ความรู้ของปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ คำพูดคำจาจึงลี้ลับเช่นนี้
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “จิ่งชิง เจ้าสามารถพาข้าไปที่ตรอกหนีผิงได้ไหม?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้าเอ่ย “นี่เป็นความเคยชินที่ดี หาเงินเล็กน้อย รักษาเงินก้อนใหญ่เอาไว้ มีกินมีใช้เหลือเฟือ ยิ่งสะสมก็ยิ่งมาก กำลังทรัพย์ของหนึ่งตระกูลก็จะยิ่งมั่งคั่งสมบูรณ์ สภาพการณ์ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ปี”
เฉินหลิงจวินให้รู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก เงยหน้ามองอาจารย์ผู้เฒ่า เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดฟังง่าย ขนาดข้ายังฟังเข้าใจ”
อาจารย์ผู้เฒ่าทำท่าครุ่นคิด ยิ้มเอ่ยว่า “นิกายฉานก่อตั้งขึ้นจากบรรพบุรุษห้ารุ่นหกรุ่น หนทางสู่ธรรมะเปิดกว้างไม่เลือกสันดาน อันที่จริงแรกเริ่มพระธรรมก็เริ่มอธิบายด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ อีกทั้งยังเน้นย้ำในคำว่าพุทธะอยู่ที่ใจ ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย น่าเสียดายที่หลังจากนั้นกลับเริ่มสูงส่งห่างไกลและเก็บงำอำพราง บทสวดมีมากมายนับไม่ถ้วน ปริศนาธรรมปรากฏได้จากทุกหนแห่ง ชาวบ้านจึงเริ่มฟังไม่เข้าใจแล้ว ระหว่างนี้ลัทธิพุทธก็มีการ ‘พูดเปิดโปง’ ที่พัฒนาไปยิ่งกว่าการไม่ใช้ภาษาบัญญัติ ภิกษุสมณศักดิ์สูงจำนวนไม่น้อยได้พูดออกมาตามตรงว่าตัวเองไม่ยินดีจะถกพระธรรมคำสอน หากไม่พูดถึงวิชาความรู้ พูดถึงแค่การค่อยๆ เพิ่มขึ้นของสายธรรมะ ก็คล้ายคลึงกับการ ‘ดับกิเลส’ ของลัทธิขงจื๊อพวกเราแล้ว”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความมึนงง แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแม้แต่ครึ่งคำ โชคดีที่ดูเหมือนอาจารย์ผู้เฒ่าจะไม่ได้อยากพูดคุยเรื่องนี้มากนัก
คนทั้งสองเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงไป อาจารย์ผู้เฒ่าถามว่า “ตรอกเส้นนี้มีชื่อหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “มีสิ ชื่อว่าตรอกฉีหลง ขยับสูงขึ้นไปอีกหน่อย ตรงยอดบนสุดของตรอกนั่น คนในพื้นที่ของพวกเราต่างก็เคยชินที่จะเรียกว่ายอดเตาไฟ”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “ทุกหนทุกแห่งล้วนมีความลี้ลับซ่อนอยู่จริงเสียด้วย”
ก่อนที่ลู่เฉินจะออกไปจากบ้านเกิดเคยเดินทางไกลไปท่องเที่ยวในฟ้าดินของไพศาล แล้วก็เคยเรียกมังกรให้ไถหว่านเมฆปลูกหญ้าเหยาฉ่าว ลมฝนติดตามท่านที่อยู่ในก้อนเมฆไป
อาจารย์ผู้เฒ่าเดินไปถึงยอดบนสุดของขั้นบันได หันหน้าไปมองบันไดแต่ละขั้นที่เดินผ่านมา ถามว่า “จิ่งชิง สถานที่บรรลุมรรคาของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?”
สีหน้าเฉินหลิงจวินตื่นตะลึง ถามอย่างคลางแคลงไม่เข้าใจ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์มีความรู้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังมีเรื่องที่ท่านไม่รู้ด้วยหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะ “ใช่ว่าจะรู้ไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ เพียงแต่พวกเราจำเป็นต้องยับยั้งตัวเอง ไม่อย่างนั้นคน เรื่องราวและสรรพสิ่งในใต้หล้าแต่ละแห่งจะต้องถูกพวกเราทำให้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก”
“ดังนั้นมรรคาจารย์เต๋าถึงมักจะอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาเป็นประจำ ต่อให้อยู่ในป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็ไม่ยินดีจะเดินไปไหนมาไหน เพราะกังวลว่าหาก ‘หนึ่ง’ นั้นเกินครึ่งไปแล้ว หมื่นสรรพสิ่งก็จะเริ่มกลายมาเป็นหนึ่ง ไม่มีอิสระเสรี มิอาจหวนคืนไปแก้ไข อันดับแรกก็เป็นคนธรรมดาล่างภูเขาก่อน ตามมาด้วยผู้ฝึกตนบนยอดเขา สุดท้ายก็ถึงคราวของห้าขอบเขตบน บางทีพอถึงเวลาเข้าจริง ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวก็อาจเหลือแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของโลกมนุษย์ล้วนกลายเป็นลานประกอบพิธีกรรม ไม่เหลือพื้นที่ให้มนุษย์ธรรมดาได้หยัดยืนอีก”
“นี่ก็คือสัญญาหมื่นปีที่เคยกำหนดไว้ตั้งแต่ในการประชุมริมลำคลองของปีนั้น จำเป็นต้องให้มรรคาจารย์เต๋าหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ตั้งแต่แรกเริ่มก็เป็นเขาที่กังวลกับเรื่องนี้มากที่สุด”
“แน่นอนว่ามรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าต้องสูงส่งมาก คนมีความสามารถก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความยากลำบาก ในใจตระหนกลน พึมพำว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไมหรือ”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “ก็แค่ฟังคนอื่นพูดเท่านั้น แค่ตัวเจ้าเองไม่พูดก็ได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้เจ้าอยากพูดเรื่องพวกนี้ก็ยังยาก จิ่งชิง ไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันดีไหม ดูว่าตอนนี้เจ้ายังสามารถพูดคำว่า ‘มรรคาจารย์เต๋า’ ออกมาได้หรือไม่? เรื่องที่ได้เจอพวกเราสามคนโดยบังเอิญในวันนี้ หากเจ้าสามารถพูดให้คนอื่นฟังได้ก็ถือว่าชนะ ใช่แล้ว ข้าจะเตือนเจ้าสักหน่อย วิธีคลี่คลายเพียงหนึ่งเดียวก็คือห้ามเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แต่อาศัยการเข้าใจโดยนัยไม่ต้องเอ่ยเอื้อนเป็นคำพูดได้เท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!