เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้สองนิ้วคีบยันต์กระบี่ หรี่ตามองพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จริงดังคาด ได้ซุกซ่อนคาถากระบี่บรรพกาลที่ยากจะสังเกตเห็นไว้บทหนึ่งจริงเสียด้วย ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตไม่พอต้องไม่มีทางมองออกแน่นอน
ส่วนคำว่าขอบเขตไม่พอที่กล่าวถึงนี้ แน่นอนว่าหากต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสี่และผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้ว ล้วนไม่พอ
เพียงแต่คาถากระบี่นี้ไม่ครบถ้วน คิดอยากจะเติมให้ครบ คาดว่าคงต้องมียันต์กระบี่อีกห้าหกเล่ม แต่ไม่ว่าราคาขายของยันต์กระบี่จะเป็นอย่างไร ขอแค่มีคนและยังมีใจที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็ล้วนเป็นการค้าที่จะต้องได้กำไรพิเศษก้อนใหญ่ ได้กำไรอย่างไร? ลำพังเพียงแค่คาถากระบี่บทนี้ก็มากพอจะทำให้สำนักวิถีกระบี่แห่งหนึ่งหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างมั่นคงแล้ว ประเด็นสำคัญคือธรณีประตูของคาถาบทนี้ต่ำ ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติดีเลิศเลออะไรก็ล้วนสามารถฝึกกระบี่ฝึกตนไปได้ตามลำดับขั้นตอน หากพูดถึงพลังพิฆาต ระดับของคาถากระบี่ไม่สูง แต่ยามฝึกฝนกลับจะมั่นคงปลอดภัย ดังนั้นยิ่งเป็นสำนักใหญ่ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับคาถาประเภทนี้
ชุยตงซานกระโดดลอยตัวขึ้นสูงอยู่ตรงขั้นบันได เบี่ยงตัวพลิกกายมาพลิ้วร่างลงข้างโต๊ะ สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้าง แหงนหน้าขึ้น พูดกับตัวเองว่า “กำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สายลมสารทเยียบเย็น แสงจันทร์สารทใสกระจ่าง ก้อนเมฆสารทฤดูลอยเต็มท้องนภา น้ำสารทฤดูกลีบบัวร่วงโรย”
จากนั้นถึงได้ถอนสายตากลับมา มองพ่อครัวเฒ่าก่อน แล้วค่อยมองไปยังเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า ชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้น “น้ำฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ร้อยลำน้ำไหลหลั่งสู่นที ยิ่งใหญ่อลังการ ยากจะแยกแยะว่าเป็นวัวหรือม้า”
จูเหลี่ยนยิ้มรับ คำพูดคำจานี้ค่อนข้างจะกวนอารมณ์ชวนเตะอยู่บ้าง
ชุยตงซานเอนหลังพิงโต๊ะ นั่งแปะลงบนม้านั่งยาว ยกเท้าขึ้นแล้วหันตัวมา ถามว่า “ขุนเขาสายน้ำยาวไกล เมฆลึกหนทางเปลี่ยวร้าง นักพรตผู้เฒ่ามาเยือนด้วยเหตุใด?”
จูเหลี่ยนแทะเมล็ดแตง หากตนเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าคงลงมือตีคนแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีรอยแตก ทุกสิ่งที่มองเห็นด้วยสายตา ต่อให้เป็นร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจเห็นได้ ต่อให้เป็นจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตน ก็ยังไม่ใช่หนึ่งที่สมบูรณ์แบบอะไร เส้นทางสายนี้เดินผ่านไปไม่ได้ ต่อให้เจ้าชุยฉานจะเสาะหามาทั้งชีวิต ก็ยังหาไม่เจอ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเหนื่อยเปล่า ไม่อย่างนั้นไยบรรพจารย์สามลัทธิต้องมาที่นี่ด้วย มรรคาและหนึ่ง หากกลายเป็นของบางอย่างที่จับต้องได้จริง จะไม่ใช่ว่าต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกันอีกครั้งหรอกหรือ”
ชุยตงซานพูดบ่น “ตะพาบอะไรกัน ข้าคือตงซานนะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ
ชุยตงซานโยกไหล่ ท่องพึมพำเหมือนอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนที่ตอบไม่ตรงคำถาม “อีกอย่าง ทางเส้นนี้อยู่ใกล้เพียงนี้เชียวหรือ? ดวงตามองไม่เห็นขนตาของตัวเอง ทางสายนี้อยู่ไกลเพียงนี้เชียวหรือ? มีเพียงสัมผัสกับเรื่องราวถึงจะรู้ว่ามันดำรงอยู่จริง ขอบเขตของอริยะบุคคลอยู่ต่ำใกล้ชิดเพียงนี้เชียวหรือ? ดาวชานซิงดาวซางซิงลอยขึ้นลอยลง ขอบเขตของอริยะบุคคลสูงส่งยาวไกลเพียงนี้เชียวหรือ? เข้าใจกระจ่างจึงเป็นทวยเทพ”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ชุยฉานในปีนั้น จะดีจะชั่วก็ยังมีท่าทีของบัณฑิต หากปีนั้นมีสารรูปเช่นเจ้าในเวลานี้ ผินเต้าก็สามารถรับรองได้เลยว่าเจ้าหนูเจ้าไม่มีทางเดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้”
ชุยตงซานตบอกตัวเองคล้ายกับหวาดกลัวภายหลัง
เจ้าอารามผู้เฒ่าดื่มน้ำชาไปหนึ่งอึก “คนที่รู้จักเป็นภรรยาจะปิดบังทั้งสองทาง คนที่ไม่รู้จักเป็นภรรยาจะปากโป้งทั้งสองด้าน อันที่จริงปิดบังสองด้านมักจะยากทั้งสองด้านเสมอ”
ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ ชุยตงซานกลอกตาเอ่ยว่า “คำพูดประโยคนี้ของผู้อาวุโส พูดได้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรแล้ว”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเห็นว่าเจ้าหมอนี่ยังแกล้งโง่ต่อไปก็หันหน้าไปมองสตรีที่เดินนิ่งเลียบบันไดลงมา ถามว่า “นี่ก็คือลูกศิษย์ถ่ายทอดวิชาหมัดที่เจ้าเลือกมาหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยฝีมือแมวสามขาของข้า สตรีเรียนไปแล้วก็ไม่งาม”
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่เห็นด้วย หันไปถามสตรีผู้นั้น “เจ้าชื่อเฉินยวนจีรึ?”
เฉิน (岑 ออกเสียงเดียวกับแซ่เฉิน 陈 ของเฉินผิงอัน แต่เขียนคนละแบบ คนละความหมาย) ภูเขาลูกเล็กแต่สูง บรรยายถึงภูเขาหินที่มีหน้าผาสูงชันอันตราย ยวนจี หมายถึงเครื่องทอผ้าในโลกมนุษย์ แต่นักกวีให้คำเปรียบเปรยถึงเงาของบุปผาที่เคลื่อนไหว
ลู่เฉินมักจะทำอะไรตามแต่ใจของตัวเองเป็นหลัก ชอบปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อตกปลาใหญ่ ทว่าต่อให้ตกปลามาไม่ได้เขาก็ไม่สนใจ
สือโหรวแห่งตรอกฉีหลงก็ดี ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ประวัติความเป็นมาวกวนอ้อมค้อมตัวนั้นก็ช่าง ก็แค่รอคอยคนที่ยินดีมาติดเบ็ดเท่านั้น ไม่สนใจสักนิดว่าสายเส้นเอ็นที่ใช้ตกปลาจะขาดไป หรือปลาจะงับเหยื่อแล้วว่ายหนีไป
เฉินยวนจีเพิ่งจะหยุดเท้าที่หน้าประตูภูเขา นางรู้จักหนักเบาดี นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่สามารถทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูและชุยตงซานเป็นฝ่ายลงจากภูเขามาพบหน้าด้วยตัวเอง ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเหตุใด ทั้งๆ ที่นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ แต่เฉินยวนจีกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล นางกุมหมัดเอ่ยว่า “ตอบท่านนักพรต ผู้เยาว์ชื่อเฉินยวนจีจริงเจ้าค่ะ”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ขู่ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งตกใจกลัวทำไม”
ชุยตงซานกวักมือ “หมี่ลี่น้อย เอาเมล็ดแตงมาแทะบ้างสิ”
แม่นางน้อยชุดดำรีบลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่ทันที วิ่งเหยาะๆ มาที่โต๊ะแล้วควักเอาเมล็ดแตงทั้งหมดที่เหลืออยู่ในกระเป๋าผ้าฝ้ายออกมา แต่กลับเทให้ชุยตงซานไม่มากนัก “ข้าให้ ศิษย์พี่เล็ก”
ชุยตงซานตบศีรษะตัวเอง ถามว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา แค่นี้เองหรือ?”
หมี่ลี่น้อยได้ยินว่าห่านขาวใหญ่เปลี่ยนคำเรียกขานก็ตีหน้าเคร่ง หยิบเมล็ดแตงออกมาจากชายแขนเสื้ออีกกำมือใหญ่
ชุยตงซานพยักหน้า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวามือเติบใจกว้างนัก!”
เจ้าอารามผู้เฒ่าถามจูเหลี่ยนอีกว่า “เส้นทางของวิชากระบี่ล่ะ? คิดว่าจะไปเลือกเอามาจากตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”
เป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าเหมือนกัน นักพรตซุนของอารามเสวียนตูใหญ่ยุยงให้ลู่เฉินสลายมรรคาแล้วไปจุติเกิดใหม่เป็นผู้ฝึกกระบี่ นั่นไม่ใช่คำหยอกล้อไปเสียทั้งหมด แต่เพราะเขามีเป้าหมาย
แน่นอนว่าด้วยนิสัยเช่นนั้นของซุนไหวจง หากลู่เฉินไปเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงๆ คาดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็คงต้องให้ลู่เฉินกลายมาเป็นนักพรตน้อยที่ลำดับศักดิ์ต่ำสุดของอารามเสวียนตูอย่างแน่นอน คอยเรียกตนว่าท่านบรรพบุรุษอยู่ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ถ้าไม่เรียกก็ต้องถูกจับแขวนไว้บนกิ่งท้อแล้วโดนฟาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!