เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนตาม เดินออกจากเรือนด้านหลังมาพร้อมกับมรรคาจารย์เต๋า ซูเตี้ยนกับสือหลิงซานที่อยู่ในเรือนด้านหน้าของร้านยาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ก้าวข้ามธรณีประตูออกไป มรรคาจารย์เต๋าหันไปยิ้มเอ่ยกับบนถนน “ปีนั้นฉีจิ้งชุนเดินทางไกลมาเยือนถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา ก่อนจะเด็ดเอาดอกบัวกิ่งนั้นไป ได้เอ่ยประโยคหนึ่งกับข้าว่า จุดประสงค์ของการฝึกตน อยู่ที่การรู้ ความบันเทิงของการแสวงหามรรคา อยู่ที่การไม่รู้ เจ้าตัวดี ถึงกับสอนให้ข้าฝึกตนเชียวหรือ”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
มรรคาจารย์เต๋าพลันเอ่ยสัพยอก “เจ้าที่เป็นศิษย์น้องก็เป็นได้ไม่เลว ในอดีตยังไม่ทันฝึกหมัดเรียนกระบี่ก็กล้าบอกให้ข้าหลีกทางให้แล้ว”
“ไม่ใช่ความในใจหรอกหรือ?”
เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ตัวตรงไม่กลัวว่าเงาจะเอียง “เป็นความในใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ยามค่ำคืนถามมโนธรรม ยามกลางวันเอาความในใจมาตากแดด คนผู้หนึ่งเดินบนเส้นทางจะเอาแต่ตกใจกับเงาของตัวเองก็คงไม่ได้”
เดินไปบนถนนด้วยกัน มรรคาจารย์เต๋าถามชวนคุยว่า “ช่วงนี้กำลังศึกษาวิชาความรู้เรื่องอะไร?”
สำหรับมรรคาจารย์เต๋าแล้ว ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรก็รู้ได้หมด อยากรู้อะไรก็รู้ ถ้าอย่างนั้นอะไรที่ไม่อยากรู้ก็ไม่ต้องรู้ คาดว่านี่ก็คงจะถือว่าเป็นอิสระอย่างหนึ่งได้เช่นกัน
เฉินผิงอันตอบ “อ่านพวกคำแจ้งเตือนและอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าบางส่วน ก่อนจะมาที่นี่ เดิมทีคิดว่าจะไปเยือนกองโหราศาสตร์สักรอบหนึ่งเพื่อยืมหนังสือสองสามเล่ม”
หลี่เซิ่งเคยเตือนเรื่องนี้ตอนอยู่ที่เมืองหลวง บอกว่าโอกาสในการพิสูจน์มรรคานั้นอยู่ที่ตัวอักษร
“เริ่มวางแผนสำหรับเดินทางไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ?”
“มนุษย์เราหากไม่มีความกังวลที่ห่างไกลก็ย่อมต้องมีความทุกข์ใจที่อยู่ใกล้”
เฉินผิงอันกังวลว่าหากไม่ทันระวังเพิ่งจะไปโผล่หน้าที่ใต้หล้ามืดสลัว ก็จะถูกเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว
เพียงแต่ว่าอยู่ต่อหน้ามรรคาจารย์เต๋า จะให้พูดถึงความถูกความผิดของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้นของเขาก็คงจะไม่ดี
“อ่านตำราได้ข้อคิดอะไรบ้างหรือไม่?”
“ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ กล่าวไว้ว่า บันทึกเกิดจากตัวอักษรที่จำแลงแปรเปลี่ยนมาจากกลิ่นอายแห่งมรรคา ดังนั้นจึงคิดจะเลือกพวกลายขุยหลง ลายเทาเที่ยและลายเมฆามาอ่านให้มาก”
มรรคาจารย์เต๋าอืมรับหนึ่งที “การอ่านตำราทำให้ทัศนคติมุมมองของคนโบยบินได้ไกล”
เฉินผิงอันคลางแคลงอยู่ในใจ ไม่ใช่ดูหรือ? แต่เป็นการอ่าน? ภาพวาดอักขระยันต์จะอ่านอย่างไร?
มรรคาจารย์เต๋าหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เมื่อครู่ตอนอยู่ในร้านยา เจ้ารู้ว่าตัวเองคือหนึ่งนั้น ตอนนี้ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเป็นกังวล ยังสามารถอธิบายได้ว่าจิตแห่งมรรคาของเจ้ามั่นคงอย่างมาก บวกกับการมอบมรรคกถาให้จากลู่เฉิน เพียงแต่ว่าเหตุใดถึงไม่มีอาการหวาดกลัวภายหลังเลยแม้แต่น้อย เจ้าไม่กังวลว่านี่เกิดจากความเป็นเทพที่บริสุทธิ์หรือ อีกอย่างเจ้าอย่าลืมล่ะว่า บนเส้นทางการเรียนวรยุทธทุกวันนี้ เดิมทีก็เป็นเส้นทางเดิมของวิถีแห่งเทพอยู่แล้ว”
สายตาของเฉินผิงอันเจิดจ้า มองไปยังทิศไกลบนถนน ความคิดในใจของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ได้จำแลงออกมาเป็นมหามรรคา บนถนนจึงถึงกับมีฝนปรอยๆ ตกลงมา และเขาก็เดินอยู่บนถนนเส้นนั้น “ถ้าอย่างนั้นก็เหยียบย่างลงพื้นให้มั่นคง ลองเดินไปดูก่อน”
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะ
เหมือนเจ้าคนดื้อด้านหัวแข็งอย่างเฉินชิงตูผู้นั้นจริงๆ มิน่าเล่าต่อให้ลำดับอาวุโสจะต่างกันมาก แต่กลับถูกชะตากันดี
สมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างมาก
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองร้านยาแวบหนึ่ง
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เดินไปที่ตรอกหนีผิงด้วยกัน มรรคาจารย์เต๋าเล่าเรื่องในปฏิทินเหลืองบางอย่างที่แม้กระทั่งป๋ายอวี้จิงก็ไม่มีบันทึกไว้ให้ฟัง
“มีคนที่เพื่อตามหาโฉมหน้าดั้งเดิมของตัวเอง ได้เดินทวนแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ย้อนทวนไปยังต้นกำเนิด กลับกลายเป็นว่าไร้ผลใดๆ”
“มีคนพยายามตามหาบุปผาสองดอกที่เหมือนกันทุกประการในฟ้าดินโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครึ่งวัน แม่น้ำแห่งกาลเวลาของใต้หล้าแห่งหนึ่งหยุดค้างไปนานถึงครึ่งวัน ในที่สุดมรรคกถาของบนร่างก็มิอาจประคับประคองได้ไหว จึงสลายหายไปท่ามกลางฟ้าดินนับแต่นั้น สุดท้ายคนผู้นี้ยิ้มเอ่ยว่า ยามเช้าได้รู้สัจธรรมที่แท้จริง ยามค่ำตายไปก็ใช่จะเป็นไปมิได้”
“แล้วก็มีคนพกกระบี่ออกเดินทางไกล เปิดฟ้าผ่าดิน ตามหาคำตอบข้อหนึ่ง เหนือคนยังมีคนคือคนแบบใด เหนือฟ้ายังมีฟ้าคือฟ้าแบบใด เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นการเปิดฟ้าผ่าดินอย่างไร?”
เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงการพบเจอกันของตนกับศิษย์พี่ชุยฉานที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนั้นทันที ฝ่ามือหนึ่งตบลงมาที่แขนของเขา จึงตอบไปว่า “ใช้ศาสตร์การพลิกกลับเขาพระสุเมรเมล็ดงา เดินไปในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ เพื่อพิสูจน์ตนเองจากภายใน?”
มรรคาจารย์เต๋าไม่ได้ให้คำตอบ แต่เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปแล้ว “คำสอนอื่นนอกเหนือจากของตถาคต ไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าวาจาไม่ใช่ตัวอักษรหรอกหรือ เป็นเหตุให้มีคนต้องสลายมรรคานับแต่นี้ พยายามจะทำลายรั้วของตัวอักษรลง กำหนดระยะเวลาเอาไว้พันปี มหาสมุทรแห่งจิตสำนึกปะปนกันขุ่นมัว ห่างไกลมืดลึก”
“มีคนดึงดันจะสืบค้นเรื่องหนึ่ง ก่อนที่จะเป็นช่วงเวลาของเทพเจ้าบรรพกาล มีสิ่งมีชีวิตอะไรที่เป็นผู้สร้างเทพเจ้าทั้งหลาย”
“ดังนั้นจึงมีคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก สรุปแล้วว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้นเป็นเส้นตรงที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย หรือว่าเป็นวงกลมที่สืบเนื่องเป็นวงโคจรติดต่อกันไม่ขาดสายกันแน่ หรือจะเป็นกลุ่มก้อนที่เกิดจากการแบ่งแยกออกมานับไม่ถ้วน? จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่เคยสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเป็นผู้สร้างหรือไม่ สุดท้ายจึงมอบให้เผ่ามนุษย์เป็นผู้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดจา แต่ก็อดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ มรรคาจารย์เต๋าท่านนี้เคยไปเยือนชายแดนได้สำเร็จ แล้วได้มองเห็นอะไร คำว่าเต๋า สรุปแล้วคือสิ่งใดกันแน่?
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “เจ้าเกือบจะถูกลู่เฉินรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ กลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า เห็นได้ชัดว่าลู่เฉินคิดการณ์ไกลยิ่งกว่าเจ้า ไปที่ป๋ายอวี้จิง ปิดประตูลง นกในกรงก็จะยิ่งเป็นได้อย่างสมชื่อแล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
“แต่ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงนั้น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นข้าที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ต่อให้อยู่ต่อหน้าปรมาจารย์มหาปราชญ์ ข้าก็ยังต้องเอ่ยประโยคหนึ่ง หากเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ไหนเลยจะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจเช่นนี้ แค่นั่งบำเพ็ญตบะฝึกตนอยู่ในเรือนที่ป๋ายอวี้จิงเพียงลำพังอย่างสงบ เป็นเจ้าลัทธิสี่ไป อย่างน้อยที่สุดก็ไร้ทุกข์ไร้กังวลนานหมื่นปี…ฟังเข้าสิ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของพวกเจ้าท่านนี้ไม่ทำให้คนประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย มีคัมภีร์สามอักษรโผล่มาอีกแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งไม่ได้ยินคัมภีร์สามอักษรที่ดังเข้าหูนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!