หลังจากนครเซียนจานครึ่งบนถูกฝ่ามือหนึ่งตบออกไป ลำแสงนับร้อยนับพันเส้นก็พากันสว่างวาบในเวลาเดียวกัน คือเงาร่างของผู้ฝึกตนของนครเซียนจานที่พากันทะยานลมจากไป
ลู่เฉินเหลือบมองภาพที่กลิ่นอายเซียนล่องลอย สีสันพร่างพราวเจิดจ้า งดงามตระการตาภาพนี้ น่าเสียดายที่เป็นไม้ล้มลิงค่างแตกซ่าน วันหน้าเปลี่ยวร้างจะไม่มีนครสูงอันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
รวบรวมทรายกลายเป็นภูเขาอย่างยากลำบาก กระแสน้ำไหลกระจัดกระจาย เสน่ห์อันองอาจย่อมต้องถูกลมพัดฝนซัดให้ปลิวหายไปได้เช่นกัน แต่วันนี้นครเซียนจานถูกอิ่นกวานหนุ่มใช้ท่วงท่าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมาทำลายให้หักครึ่งแล้วทุบจนแหลกเละ
ลู่เฉินเก็บสายตากลับคืนมา เอ่ยเตือนว่า “พวกเราหยุดแค่พอสมควรเถอะ เสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปจะถ่วงรั้งการออกกระบี่”
เฉินผิงอันแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้ ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีก็ถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสยบกำราบไว้อยู่แล้ว อันที่จริงตลอดทางที่ลู่เฉินเดินทางไกลมานี้ก็ไม่ได้ผ่อนคลายนัก ต้องคอยช่วยเฉินผิงอันจำแลงมรรคกถาอย่างต่อเนื่อง คอยสลายการสยบกำราบที่ล่องลอยมีอยู่ทุกหนทุกแห่งนั้นทิ้งไป ไม่อย่างนั้นยันต์เปินเยว่สามแผ่น แค่กระดิกนิ้วก็ได้มา ถึงอย่างไรมันก็ไม่เหมือนกับยันต์สามภูเขา ยันต์เปินเยว่คือยันต์ที่ลู่เฉินเป็นผู้สร้างขึ้นมา เจ้าลัทธิสามอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวไม่มีอะไรทำ อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงรู้สึกอุดอู้ก็จะทะยานลมไปกลางนภากาศ ดื่มสุราอยู่ในดวงจันทร์ (เปินเยว่แปลว่าบินเข้าหา มุ่งเข้าหาดวงจันทร์) เพียงลำพัง
ไม่เหมือนที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนท้องฟ้าของใต้หล้าแห่งอื่นๆ ล้วนมีดวงจันทร์ดวงเดียว ซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ขอบเขตของผู้ฝึกตนเพียงพอที่จะประคับประคองให้เดินทางไกล แต่การบินทะยานไปยังดวงจันทร์ก็คือเรื่องต้องห้ามใหญ่อันดับหนึ่ง พูดถึงแค่ใต้หล้ามืดสลัว เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่พยายามแหกกฎไปเที่ยวเล่นที่ซากปรักของตำหนักดวงจันทร์บรรพกาล ผลคือถูกอวี๋โต้วที่อยู่ในป๋ายอวี้จิงจับเบาะแสได้ จึงปล่อยกระบี่อยู่ไกลๆ ฟันคนให้ร่วงลงบนโลกมนุษย์ จากขอบเขตบินทะยานหล่นมาเป็นขอบเขตหยกดิบ ผลคือได้แต่กลับมาที่สำนัก ดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ในดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลบ้านตัวเอง ป่าวประกาศว่าเต๋าเหล่าเอ้อหากเจ้าแน่จริงก็ลองสอดมายุ่งเรื่องของข้าผู้อาวุโสอีกสิ ข้าผู้อาวุโสดื่มเหล้าอยู่ในถิ่นของบ้านตัวเอง เจ้าลองควบคุมฟ้าควบคุมดินอีกสิ…ผลคืออวี๋โต้วปล่อยกระบี่ออกมาอีกครั้งจริงๆ ฟันให้ดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลแยกออกเป็นสองส่วน ถึงท้ายที่สุดเต้ากวานหลายร้อยคนของทั้งสำนักกลับไม่มีใครสักคนที่กล้าไปตีกลองฟ้าร้องทุกข์ กลายเป็นเรื่องตลกขบขันเรื่องหนึ่ง
ในที่สุดกายธรรมนักพรตของเฉินผิงอันก็หยุดมือ เหลือบตามองร่องรอยของผู้ฝึกตนที่หนีกระเจิงกันไปกลางอากาศ “ดูเหมือนว่าจะไม่มีเงาของรองเจ้านครอิ๋นลู่ ในนครอีกครึ่งหนึ่งก็สัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของปีศาจตนนี้ เจ้าหาตัวเขาเจอหรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “คาดว่าคงใช้เวทลับบางอย่างหลบซ่อนตัวไปแล้ว แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยงนี่นะ รากฐานมหามรรคาของนครเซียนจานหยั่งรากลึกอยู่ที่นี่นานแล้ว ขอแค่เจ้าไม่ทำลายปิ่นนักพรตชิ้นนั้นทิ้ง อิ๋นลู่เซียนเหรินที่อีกเดี๋ยวก็จะฉวยโอกาสนี้เลื่อนขั้นเป็นเจ้านคร ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาลุกผงาดใหม่อีกครั้ง ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของมัน ช่วงชิงขอบเขตบินทะยานมาก็ไม่ถือว่าเป็นความเพ้อฝัน แน่นอนว่าเป็นแค่ขอบเขตบินทะยานที่มีเพียงโครงว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเทียบกับอาจารย์ของมันแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ขายหน้าปีศาจใหญ่ของเปลี่ยวร้างยิ่งนัก มิน่าเล่าเสวียนผู่ถึงไม่เคยกล้าไปโผล่หน้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกเดี๋ยวพวกเราสองคนไปในนครอีกครึ่งนั้น ผินเต้าพอจะเป็นวิชาคำนวณอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจหาเบาะแสอะไรเจอ”
พูดมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินเผยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่หาได้ยาก “ขอผินเต้าปากมากพูดสักประโยค ห้ามคิดทำลายปิ่นชิ้นนั้นเด็ดขาดเชียว อดีตเจ้าของของวัตถุชิ้นนี้ มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อโลกมนุษย์ของพวกเรา ตามคำกล่าวในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ ถือเป็นผู้ที่บนมรรคามีทักษะ โลกมนุษย์มีตบะฌาน มีครบถ้วนทั้งทักษะและตบะฌาน ดังนั้นทางที่สุดที่สุดพวกเราไม่ควรไปมีเรื่องด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็หยุดแต่เพียงเท่านี้ ไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่แล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เรื่องที่ใช้สองหมัดทุบทำลายนครเซียนจาน ให้ผู้ฝึกตนของนครเซียนจานรื้อถอนศาลบรรพจารย์กันเอง ในสายตาของผินเต้า เห็นได้ชัดว่าเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่มากกว่า”
เก็บกายธรรมนักพรตสูงแปดจั้งนั้นลงไป ร่างสูงเท่าคนปกติ เฉินผิงอันเปลี่ยนมาอยู่ในชุดคลุมสีเขียวสวมกวานเต๋าอีกครั้ง เงยหน้ามอง ‘นครเซียนจาน’ ที่ไม่ขัดตามากถึงเพียงนั้นแล้วหลายที ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็แค่รู้เหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ก็เท่านั้น”
เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง ก็เหมือนชาวบ้านฐานะธรรมดาแต่กลับชอบทำบุญทำทาน ย่อมยากที่จะเข้าใจว่าตระกูลเศรษฐีร่ำรวยที่ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทอง เหตุใดถึงได้ขี้เหนียวกว่าตน เหตุใดถึงได้ตัดใจทำบุญทำทานได้ยากนัก อันที่จริงก็แค่มองเส้นสายเส้นหนึ่งไม่ออก เดิมทีเงินทองบางส่วนก็เข้าบ้านมาจากประตูด้านข้าง แล้วจะเพ้อฝันให้เงินทองพวกนี้ออกจากประตูหลักด้านหน้าได้อย่างไร? ก็เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยากจะทำความเข้าใจหลักการถามถึงแค่การหว่านไถ ไม่ถามถึงผลเก็บเกี่ยว ผู้ฝึกตนเองก็ยากจะทำเรื่องที่ถามแค่สาเหตุไม่ถามถึงผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริงเช่นกัน
จิตของลู่เฉินขยับไหว สองนิ้วประกบกันปาดลงมาเป็นเส้นตรง วาดเส้นตรงเส้นหนึ่ง จากนั้นจึงวาดจักจั่นตัวหนึ่งอยู่ข้างเส้นตรงนี้ คล้ายจักจั่นเกาะต้นไม้
จักจั่นตัวหนึ่งบนกระดาษคล้ายจะส่งเสียงร้องว่าทราบแล้ว ทราบแล้วไม่หยุดอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง…
ลู่เฉินยกสองมือขึ้นอีกครั้ง ใช้นิ้ววาดกรอบภาพครอบภาพนี้เอาไว้ แล้วเก็บม้วนภาพใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “ไม่เสียแรงที่เดินทางมาครั้งนี้”
ลู่เฉินยื่นฝ่ามือมาบังไว้ตรงหน้าผาก กวาดตามองไปรอบด้าน ถามว่า “พวกหนิงเหยายังตามมาไม่ทัน จะเอาอย่างไร? จะไปหาอิ๋นลู่แล้วพูดคุยกันสักสองสามประโยคไหม?”
ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็เป็นภาพมายาภูเขาแห่งสุดท้ายแล้ว ไม่มีขีดจำกัดเวลาที่หยุดอยู่ที่นี่ได้แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น รอให้พวกหนิงเหยาสามคนมาเจอกันที่นี่ ลู่เฉินก็จะมอบยันต์สามภูเขาส่วนสุดท้ายให้พวกเขา ภาพมายาภูเขาสามแห่งแบ่งออกเป็นสำนักจิ่วเฉวียน ลำคลองอู๋ติ้งซึ่งเป็นน่านน้ำในอาณาเขตของลำคลองเย่ลั่ว ภูเขาทัวเยว่
หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากจะเดินทางไปเยือนภูเขาทัวเยว่ เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะรออยู่ที่เดิม เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ในนครเซียนจานแห่งนี้จริงๆ
หากบวกกับหาวซู่สิงกวาน นักเดินทางไกลอย่างกลุ่มของพวกตนนี้ก็คือขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสามคน รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่พลังการต่อสู้สามารถมองเป็นขอบเขตบินทะยานได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่พลังการสู้รบขั้นสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าส่วนใหญ่จะไปอยู่ในสนามรบของอาเหลียงกับจั่วโย่วหมดแล้ว
ใครจะมาเป็นกองหนุน? หากไม่กล้ามา เฉินผิงอันก็อยากจะเอาความกล้าให้พวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าใหม่พวกนั้นยืมจริงๆ
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เซียนเหรินอย่างอิ๋นลู่นี้ ความสามารถในการเก็บทรัพย์สมบัติและอำพรางร่องรอยช่างสุดยอดจริงๆ นครเซียนจานครึ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้กลับไม่เหลือของมีค่าอะไรไว้ให้เจ้าเลย”
อันที่จริงนี่ก็คือคนฉลาดเสียท่าเพราะความฉลาดของตัวเอง ไม่ฉลาดเลยจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ทั้งในและนอกนครเซียนจาน คนที่ต้องการชีวิตของอิ๋นลู่ ไม่ได้มีแค่อิ่นกวานหนุ่มคนเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “พื้นที่มงคลแห่งนั้น หากนำไปได้ก็นำไป นำไปไม่ได้ ต่อให้ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ ต่อให้ข้าต้องทุบนครเซียนจานให้แหลกเละก็ต้องหาตัวมันออกมาให้ได้”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ข้า?”
ยังคงไม่ใช่พวกเรา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!