หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่บนโลก อูถียังเป็นแค่ผู้ฝึกตนอายุน้อยที่เพิ่งก้าวเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน วันที่อูถีจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จ อาจารย์ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแค่มองลูกศิษย์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา โยนอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งมาให้ กลับเป็นบรรพจารย์หญิงที่ตั้งใจมาหาเขาโดยเฉพาะ นางก้มหน้าค้อมเอวลง ยิ้มตาหยีตบศีรษะของเด็กหนุ่ม พูดแค่สามคำด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า เป็นคนแล้วนะ
มือกระบี่ชุดเขียวกับกายธรรมนักพรตรวมร่างเป็นหนึ่ง
เฉินผิงอันกลับมาสวมกวานดอกบัวบนศีรษะ สวมชุดนักพรตเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวและสะพายกระบี่อีกครั้ง
ลู่เฉินจุ๊ปากพูด “ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนี้ ยามที่ตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมาก็อำมหิตกันจริงๆ ช่างน่าชื่นชม ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้”
ตระกูลเซียนบนภูเขา ในด้านการอัญเชิญเทพมา มีความลี้ลับมหัศจรรย์ต่างกันไป
ลูกหลานสกุลลู่จุดธูปกราบไหว้อยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลปีแล้วปีเล่านานหลายพันปี แต่กลับไม่เคยเชิญตัวลู่เฉินมาได้เลยสักครั้ง
ดังนั้นสกุลลู่ของสำนักหยินหยางแผ่นดินกลางจึงมีความไม่พอใจในตัวบรรพบุรุษที่ไม่ปกป้องคุ้มครองตระกูลอย่างเขามาโดยตลอด
ควรจะลากลูกศิษย์และศิษย์หลานกลุ่มนั้นมาเบิกตามองให้ดีจริงๆ ว่า มาเจอกับบรรพจารย์เช่นตน ยังจะไม่พอใจอะไรอชีก ควรจุดธูปขอบคุณสิถึงจะถูก
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “หาตัวอิ๋นลู่สิ”
ลู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัว นับนิ้วคำนวณ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กำลังหาอยู่น่า รอสักเดี๋ยว อีกเดี๋ยวพวกเราสองคนก็สามารถข่มขู่ผู้อาวุโสอูถีได้แล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้เอื้อมมือไปคว้าหางกวางที่หล่นอยู่บนพื้นชิ้นนั้นมาไว้ในมือ มีตัวอักษรเหนี่ยวจ้วนแกะสลักไว้สองคำว่า ‘ฝูเฉิน’ (แส้ปัดฝุ่น) ค่อนข้างคล้ายคลึงกับซานชิงชื่อของขุนเขาใหญ่ก่อนหน้านั้น
ตรงด้ามไม้เป็นสีม่วงเข้มมองดูโบราณเรียบง่าย ห้อยห่วงทองขนาดเล็กไว้ตรงด้ามแส้ปัดฝุ่น ส่วนเส้นใยของแส้ปัดฝุ่นนั้นเป็นสีขาวหิมะ เล็กเรียวบาง ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร เฉินผิงอันยื่นมือไปกำเส้นใยกำหนึ่งไว้ในมือ ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีสามพันหกร้อยเส้น
ของชิ้นนี้ติดตามฉงโอวอยู่ในดินแดนโลกมืดมานานหลายปี แต่กลับไม่มีกลิ่นอายความชั่วร้ายมืดดำมาสัมผัสโดนแม้แต่น้อย หรือเป็นเพราะว่าหญิงชราคนนั้นไม่อาจหลอมใหญ่ให้กับวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้ได้?
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ร่างจริงของหญิงชราคือยุงตัวหนึ่ง จะหลอมแส้ปัดฝุ่นชิ้นนี้ได้อย่างไร? ก็แค่ถูกหญิงชราเอามาใช้เป็นของติดตัวไว้ตั้งหลักเท่านั้น ความคิดเลิศล้ำเสียจริง มิน่าเล่าถึงสามารถหลบเลี่ยงสายตาของกุ่ยชาเมืองผีมาได้ตั้งนานหลายพันปี”
ลู่เฉินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “แสงแห่งเหยากวง (เหยากวงมีหลายความหมาย หนึ่งคือชื่อของดวงดาวลำดับที่เจ็ดของกลุ่มดาวเป่ยโต้ว ซึ่งสมัยโบราณหมายถึงสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคล สองหมายถึงประกายแสงของหยก สามคือแสงสีขาว) บรรพกาล ส่องสว่างชี้ทางให้แก่ธัญพืชและสรรพสิ่ง กุยหลิงเซียงมีใจแล้ว น่าเสียดายที่นางต้องมาเจอกับพวกล้างผลาญกลุ่มนี้”
กุยหลิงเซียงบรรพจารย์เปิดภูเขาของนครเซียนจานมีคุณสมบัติในการฝึกตนดีเยี่ยม แต่นางกลับไม่มีความทะเยอทะยาน ราวกับว่าการฝึกตนตลอดชีวิตก็เพื่อทำให้นครเซียนจานขยับเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้น
พอมาถึงเจ้านครรุ่นที่สอง หรือก็คือหญิงชราฉงโอวที่พอเห็นท่าไม่ดีก็ถอยกลับไปยังดินแดนของโลกมืดผู้นั้น ถึงได้เริ่มมีความสัมพันธ์ไปมาหาสู่กับสำนักใหญ่ของเปลี่ยวร้างซึ่งมีภูเขาทัวเยว่เป็นหนึ่งในนั้น แต่ฉงโอวก็ยังทำตามคำสั่งของอาจารย์ ไม่ได้ไปแตะต้องพื้นที่มงคลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งได้ครอบครองดาวตกหนึ่งดวง นครเซียนจานสืบทอดต่อมาถึงมือของอูถีถึงได้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากความเห็นแก่ตัวของอูถีเอง เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่การฝึกตนของตัวเอง สามารถทำลายคอขวดขอบเขตเซียนเหรินได้เร็วกว่าเดิม จึงเริ่มหลอมอาวุธขายให้กับสำนักบนภูเขา มีเงินทองไหลมาเทมา กระทั่งเสวียนผู่รับช่วงต่อดูแล นครเซียนจานก็แตกต่างไปจากเดิมมาก พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ถูกบรรพจารย์กุยหลิงเซียงตั้งชื่อว่าเหยากวงได้รับการขยับขยายและดำเนินการในระดับที่ใหญ่ที่สุด เริ่มทำการค้ากับราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ จุดที่ขาดคุณธรรมมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่เสวียนผู่ชอบขายอาวุธและสมบัติอาคมให้กับราชวงศ์สองแคว้นที่อยู่ห่างกันไม่มากมากที่สุด แต่การที่นครเซียนจานมีฐานะสูงส่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้สำเร็จก็ด้วยฝีมือของเสวียนผู่จริงๆ
ในที่สุดอูถีก็ถามคำถามที่เขาสงสัยใคร่รู้ที่สุด “เจ้าคือ?”
คราวก่อนที่ปรากฏตัว อูถียังร่วมมือกับฉงโอวผู้เป็นอาจารย์รับมือกับบรรพจารย์ย้ายภูเขาที่นิสัยดุร้ายผู้นั้น ทั้งต่อสู้ทั้งขอร้องแล้วยังมอบเงินให้ ถึงได้ทำให้นครเซียนจานผ่านหายนะครั้งนั้นไปได้
ดังนั้นอูถีจึงไม่รู้สถานการณ์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้เลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
“มิน่าเล่า”
อูถีพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต่อสู้ได้เก่งกว่าเซียวสวิ้นในปีนั้น”
ผีบินทะยานตนนี้รีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยคทันที “แต่ตอนนั้นเซียวสวิ้นอายุไม่มาก”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
อูถีอดไม่ไหวถามอีกว่า “เจ้าฝึกตนมานานแค่ไหนแล้ว? ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงไม่เหมือนนักพรตจริงๆ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องไม่มีกฎที่ว่าภิกษุไม่ถามนาม นักพรตไม่ถามอายุแน่ๆ”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ถึงหนึ่งพันปี”
อูถีจุ๊ปากเอ่ยชื่นชมไม่หยุด ยกนิ้วโป้งให้กับผู้เยาว์ในด้านการฝึกตน เอ่ยชมจากใจจริงว่า “ผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น ยอมรับแค่ขอบเขตอย่างเดียว
เฉินผิงอันเอ่ย “เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ”
อูถีอึ้งตะลึง จากนั้นโบกมือ “จะพูดล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ”
อยู่ในดินแดนของโลกมืดที่ฟ้าดินเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด หาคนตัวเป็นๆ มาพูดคุยด้วยนั้นยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์ นอกจากนี้ไม่ว่าจะผีตนใดที่เร่ร่อนอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะขอบเขตสูงหรือต่ำก็ล้วนไม่คาดหวังที่จะได้พบเจอกับคนของโลกมนุษย์ ผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ที่มาเยือนปรโลกดินแดนคนตายได้ ใครจะกล้าไปมีเรื่องด้วย แต่ละคนรับมือได้ยากยิ่งกว่าผีเสียอีก
อูถียังคงหาตัวอิ๋นลู่ไม่เจอจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม หวังว่าลูกศิษย์ของลูกศิษย์คนนั้นจะไม่รู้วิธีอัญเชิญตัวเขาในศาลบรรพจารย์ ไม่อย่างนั้นอย่าเห็นว่าเขาพูดกับอิ่นกวานตรงหน้าผู้นี้ได้อย่างปรองดอกง อูถีกล้ารับรองเลยว่าขอแค่อีกฝ่ายคว้าโอกาสเอาไว้ได้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้เจอกันอีกครั้งทันทีแน่นอน ถึงเวลานั้นคงหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าเอาชีวิตไม่ได้ ผู้ฝึกตนเฒ่ามองไปทางทิศเหนือ “ใช่แล้ว ถามข้อสุดท้าย ต่งซานเกิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ตอนมาคือโอสถทอง ตอนไปคือบินทะยาน
ในประวัติศาสตร์หมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่คือวีรกรรมที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เอาใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาเป็นสถานที่หลอมกระบี่ สุดท้ายไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ประเด็นสำคัญคือตอนที่ต่งซานเกิงกลับบ้านเกิดยังเอาหัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานไปด้วย!
เฉินผิงอันชี้ไปที่ม่านฟ้า “ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปบ้างหรือ?”
อูถีเหลือบตามองม่านฟ้า ถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีดวงจันทร์เพียงแค่สองดวงเท่านั้น
มารดามันเถอะ เป็นเรื่องที่ต่งซานเกิงทำได้จริงๆ
ท่ามกลางซากปรักของศาลบรรพจารย์ด้านหลังอูถี คือร่างจริงของเสวียนผู่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ถึงกับเป็นงูใหญ่สีดำแดงตัวหนึ่ง
ขนาดที่คฤหาสน์หลบร้อนยังไม่มีบันทึกถึงเรื่องนี้ ยังคงเป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่ความรู้กว้างขวาง ช่วยไขข้อข้องใจให้กับเฉินผิงอันด้วยการเปิดเผยความลับสวรรค์ในประโยคเดียว “งูดำบรรพกาล เรือนกายเหมือนเชือกยาวที่ห้อยแขวนอยู่บนฟ้า มหามรรคาลึกล้ำยาวไกล เชื่อมโยงฟ้าดิน”
“ดังนั้นผู้อาวุโสเสวียนผู่ผู้นี้กับการสืบทอดควันธูปของนครเซียนจาน แน่นอนว่าต้องมีความสอดคล้องกันบนมหามรรคา เป็นเจ้านครก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่มิอาจบอกปัดได้จริงๆ! เสวียนผู่เอ๋ยเสวียนผู่ สร้างนครเซียนจานให้เป็นสถานที่อันเลื่องชื่อที่ทิวทัศน์งดงามได้แล้ว ฉายานี้ก็ตั้งได้เหมาะสมจริงๆ ไพเราะกว่า ‘ตู๋ปู้’ ที่ฟังแล้วไม่สมจริงของเย่พู่มากนัก คิดไม่ถึงว่าเสวียนผู่จะเป็นคนจริงใจแบบนี้”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “ร่างจริงของเสวียนผู่สั้นไปหน่อยหรือไม่?”
แม้จะบอกว่าขดล้อมอยู่รอบซากปรักศาลบรรพจารย์อยู่หลายชั้น แต่อันที่จริงอย่างมากสุดก็คงยาวได้ไม่ถึงพันจั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!