วันนี้หมี่ลี่น้อยอารมณ์ไม่เลว ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน ทุกครั้งที่คิดถึงเจ้าขุนเขาคนดีหรือไม่ก็เผยเฉียน นางจะไม่ค่อยกล้าให้คนอื่นรู้มากนัก ได้แต่พูดบอกความในใจกับเมฆขาวที่ผ่านประตูบ้านมา แต่ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
หมี่ลี่น้อยนั่งขัดสมาธิวางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวกับคานหาบสีทองพาดไว้บนหัวเข่า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกว้าง รีบยื่นมือมาป้องข้างปาก เอ่ยว่า “พี่หญิงหน่วนซู่ วันหน้าพวกเราไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋ด้วยกันนะ ที่นั่นข้าคุ้นเคยดีมากเลยล่ะ”
หน่วนซู่ยิ้มถาม “แค่พวกเราสองคนหรือ?”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “แน่นอนว่ายังมีเจ้าขุนเขาคนดีด้วยสิ”
ก่อนจะรีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ว่าข้าขี้ขลาดหรอกนะ แต่เป็นเพราะขาสั้น เวลาเดินน่ะเหนื่อยมากเลย ยืนอยู่ในตะกร้าของเจ้าขุนเขาคนดีกลับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด”
หน่วนซู่ยิ้มตาหยี ยื่นมือไปบิดแก้มของหมี่ลี่น้อย “แบบนี้เองหรือ”
หมี่ลี่น้อยโคลงศีรษะหัวเราะฮ่าๆ “เป็นแบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น”
ลำธารยาวยาวไปยังทิศไกล ต้นไม้สูงสูงใหญ่กำลังเติบโต
พ่อครัวเฒ่าบอกว่าไม่มีเด็กที่เติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่คนใดจะเอาคำพูดในใจพูดออกมาจากปาก เมื่อเติบใหญ่แล้วก็จะเอาคำพูดในใจเก็บไว้ในใจเท่านั้น
……
บุรุษชุดเขียวที่หนวดเครารกรุงรังปรากฏตัวที่เมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนต้าเฉวียน น่าเสียดายที่โรงเตี๊ยมที่คุ้นเคยไม่มีอยู่แล้ว ทำให้เขาที่เป็นนักบัญชีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ได้ยินว่าจิ่วเหนียงไปที่สำนักกุยหยกก่อน ภายหลังก็ไปที่ภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลาง ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่ได้พบเจอกัน จิ่วเหนียงจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่ามอง แล้วก็ไม่รู้ว่าการพบเจอกันอีกครั้งหลังเผชิญพิบัติภัย จะสงสัยว่ากำลังฝันไปหรือไม่?
ขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปในทุกวันนี้ มีแต่หลุมบ่ออยู่ทั่วทุกหนแห่งจนแทบไม่อาจทนมองได้จริงๆ
เขาคิดแล้วก็ไม่ได้ไปที่สำนักศึกษาต้าฝู แต่คิดว่าจะไปที่ตำหนักปี้โหยวลำคลองม่ายเหอก่อนสักรอบ ดูสิว่าจะสามารถขอสุราบุปผาวารีและบะหมี่ปลาไหลกินได้หรือไม่ หลายปีมานี้เขารู้สึกน้ำลายสออยากกินมาโดยตลอด
ส่วนเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอผู้นั้น แซ่หลิ่วนามโหรว ใครจะกล้าเชื่อ?
ได้เจอกับเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอแล้วก็ไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักปี้โหยว อิงตามกฎเดิม นั่งหันหน้าเข้าหากัน ด้านหน้าวางบะหมี่อ่างใหญ่ไว้คนละใบ
เหนียงเนียงเทพวารียกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งยาว “พี่น้องจง รสชาติเป็นอย่างไร เทียบกับบะหมี่ปลาไหลของปีนั้น กินแล้วอร่อยกว่าเดิมหรือไม่?”
สถานที่แห่งอื่นเมื่อถึงฤดูหนาวหากไม่ตากแดดก็ตากหิมะ แต่ตำหนักปี้โหยวแห่งนี้กลับตากพริก เม็ดไม่ใหญ่ รูปโฉมก็ธรรมดา หงิกๆ งอๆ แต่กลับเผ็ดมาก พริกชี้ฟ้าของในจวนเมื่อก่อน นอกจากรูปร่างภายนอกแล้วก็ไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้
จงขุยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ม้วนบะหมี่ขึ้นมาคำใหญ่ หลังกลืนลงไปแล้ว ยกถ้วยเหล้าสูดดังซู้ดหนึ่งทีก็สั่นเยือกไปทั้งตัว “เผด็จการยิ่งนัก”
ผู้ฝึกตน หากคิดจะลิ้มลองรสชาติของโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้าหรืออาหาร ถึงกับจำเป็นต้องเก็บปราณวิญญาณลงไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่เหมือนกัน
เหนียงเนียงเทพวารีชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “ก่อนหน้านี้ข้าได้เจออาจารย์น้อยเฉินผิงอันแล้ว ยังมีท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ความรู้ดีที่สุดในโลก แล้วยังมีอาจารย์จั่วที่เวทกระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าด้วย!”
จงขุยหัวเราะร่า “ข้าออกเดินทางไกลไปครั้งหนึ่ง ได้เจอกับหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง และยังมีพระโพธิสัตว์สองพระองค์ของดินแดนพุทธะสุขาวดี ยังมีมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่สมณศักดิ์สูงอีกหลายคน”
หลิ่วโหรวเอ่ยอย่างอัดอั้น “เจ้าเป็นบุรุษตัวโตๆ ที่มีดุ้นติดตัว แต่กลับมางัดข้อเอาชนะกับสตรีที่ไม่มีดุ้นอย่างข้าหรือ?”
จงขุยเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร เพียงจ้วงบะหมี่กินอีกคำใหญ่
หลิ่วโหรวเรอดังเอิ้ก วางตะเกียบลง ตบท้อง ถามว่า “กลับมาครั้งนี้จะทำอะไรล่ะ? จะกลับสำนักศึกษา ไปศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือหรือ?”
นางหันหน้าไปตะโกน “ตาเฒ่าหลิว รีบยกมาให้ข้ากับพี่น้องจงอีกคนละชาม จำไว้ว่าต้องเป็นชามใหญ่หน่อยนะ ส่วนสองชามเล็กบนโต๊ะนี่ก็ไม่ต้องมาเก็บ พี่น้องจงยังเหลืออีกสองสามคำถึงจะกินหมด”
ผู้เฒ่าหน้าประตูตอบรับ “ได้เลย รอ...รอสักครู่ขอรับ เหนียง…เนียง”
หลิ่วโหรวหัวเราะอย่างฉุนๆ “มาเจอกับพ่อครัวที่พูดจาไม่คล่องแคล่วเช่นนี้ได้ ทำร้ายให้คุณหนูใหญ่อย่างข้าต้องเป็นแม่ (เหนียง) มานานหลายปี
จงขุยส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ทันคิดให้ดี ลองไปดูก่อนก็แล้วกัน”
ถึงอย่างไรทุกวันนี้จงขุยก็อยู่ในรูปลักษณ์ของภูตผี อันที่จริงการที่เฉิงหลงโจวได้รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษา ในเมื่อศาลบุ๋นมีตัวอย่างในเรื่องนี้มาก่อน จงขุยคิดจะกลับมายังสำนักศึกษาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีความชอบติดตัว แรงต้านย่อมไม่มาก อย่าว่าแต่กลับคืนสู่สถานะวิญญูชนเลย เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งก็ยังเป็นไปได้ แต่จงขุยกลับรู้สึกว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระคล้ายเซียนผีก็ไม่เลวเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปล้วนปริแตกพังทลาย ทุกหนทุกแห่งล้วนต้องจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังให้ดี
หลิ่วโหรวถอนหายใจ แต่แล้วก็พลันคลี่ยิ้มกว้าง “ช่างเถิด ทุกวันนี้จะทำอะไรล้วนดีทั้งนั้น ไม่ต้องคิดมาก”
นางพลันลดเสียงให้เบาลง “พี่น้องจง เจ้ารู้เรื่องฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของพวกเราทุกวันนี้กับอาจารย์น้อยหรือไม่ หืม?”
จงขุยเบ้ปาก “ก็แค่ว่าเหยาจิ้นจือคิดไม่ซื่อกับเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ? เรื่องที่แค่มองก็มองออก”
คนพร้อมหน้าพระจันทร์เต็มดวง ยามจากลายังคงจำได้ ดวงตาฉ่ำน้ำของสาวงาม
แต่ต้องไม่ได้พูดถึงเฉินผิงอันกับเหยาจิ้นจือแน่นอน ในด้านนี้เฉินผิงอันก็คือตอไม้ทึ่มทื่อที่ไร้หัวคิด แต่ปัญหาก็คือดูเหมือนว่านี่ก็ไม่ได้พูดถึงตนกับจิ่วเหนียงเหมือนกัน พอคิดมาถึงตรงนี้ จงขุยก็กรอกเหล้าเข้าปากแรงๆ อีกหนึ่งอึก
หลิ่วโหรวเบิกตากว้าง เอ่ยอย่างตกตะลึง “เรื่องนี้ก็มองออกด้วยหรือ? เจ้ามีตาทิพย์หรือไร?”
จงขุยจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วตัวสั่นเยือก กินเผ็ดพร้อมเหล้า ช่างไร้ศัตรูเทียมทานเสียจริง “ก็ไม่ใช่ว่าเหยาจิ้นจือชอบเฉินผิงอันมากมายอะไรหรอก จะว่าอย่างไรดีล่ะ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!