เจ้าอ้วนรีบเปลี่ยนคำพูดทันใด “หากจะให้กว่าเหรินพูดนะ คำว่าบ้านเมืองสันติสุข นอกจากความชอบด้านการสู้รบและการปกครองที่จักรพรรดิขุนนางสำคัญทิ้งไว้ในตำราประวัติศาสตร์แล้ว สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็หนีไม่พ้นชีวิตสงบสุขที่ชาวบ้านไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการกินอยู่ ทุกครอบครัวล้วนยินดีอบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิต รู้ตัวอักษร เขียนหนังสือเป็น พูดหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์บนตำราได้สักสองสามประโยค กว่าเหรินออกจากบ้านมาครั้งนี้ก็ถือว่าได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด เบิกตากว้างมองไปมองมา บวกกับข่าวลือบนภูเขาทั้งหลาย ก็ยังไม่มีคนที่เข้าตาได้สักกี่คน มีเพียงความสามารถในการปกครองกองทัพของสกุลซ่งต้าหลีที่พอจะเทียบเคียงกับกว่าเหรินในอดีตได้อย่างถูไถ”
ดวงตาสองข้างของมันเป็นประกายแวววาว สองมือกำเป็นหมัด ใบหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม “กองทัพม้าเหล็กหยุดพักให้ม้าศึกได้ดื่มน้ำ แสงสายน้ำบนนทีสะท้อนภาพเกราะเหล็ก มากพอจะพิฆาตเจียวหลง!”
“ขอร้องเจ้าช่วยมียางอายหน่อย”
จงขุยหัวเราะอย่างฉุนๆ “หรือว่าขอร้องไปก็ไม่มีประโยชน์!”
“จงขุย ในอดีตเจ้าเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษา ถือว่าเอาคนมีความสามารถไปใช้ในงานเล็กน้อยแล้ว”
มันเอ่ยอย่างจริงใจ “หากเจ้าโชคดี สามารถเจอกับกว่าเหรินเร็วกว่านี้ แต่งตั้งตำแหน่งบัณฑิตแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินให้กับเจ้า รับรองว่าจะไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง”
จงขุยยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็พูดจาภาษาคนเป็นด้วย”
วลีติดปากของเจ้าอ้วนผู้นี้ก็คือ ลากตัวออกไป ประหาร กระโดดบ่อน้ำ ห้าม้าแยกร่าง มอบสุราพิษให้หนึ่งจอก มอบผ้าแพรขาวให้หนึ่งจั้ง…
มันทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ ใครไม่เคยเป็นคนมาก่อนบ้างเล่า”
จงขุยหัวเราะหึหึ
เจ้าอ้วนรีบตะโกนทันที “กว่าเหรินผิดไปแล้ว!”
ก่อนที่จงขุยจะไปชักนำวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นให้ข้ามภพ จู่ๆ ก็พลันหันไปมองทิศทางที่ตั้งของซากปรักภูเขาห้อยหัว พึมพำเอ่ย “ทุกวันนี้เจ้าเด็กนี่ได้ดิบได้ดีไม่น้อยเลยนี่นา”
เจ้าอ้วนหลุดหัวเราะพรืด “ก็แค่หาภรรยาที่ดีได้ มีอะไรร้ายกาจตรงไหนกัน”
ไม่ต้องให้จงขุยพูดอะไร เจ้าอ้วนก็ตีอกชกตัว พูดอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจขึ้นมาก่อนแล้ว “กว่าเหรินอิจฉาแทบตายแล้ว เจ้าเด็กนี่เป็นยอดฝีมือเลยนะ…”
ทันใดนั้นเจ้าอ้วนก็เก็บเสียง แล้วก็เริ่มกลืนน้ำลายอีกครั้ง
แต่งตั้งตำแหน่งบัณฑิตแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินกะผายลมอะไรกัน ในอดีตหากเจ้าจงขุยตกมาอยู่ในกำมือของข้า ต่อให้สอบติดจ้วงหยวน ข้าก็ไม่ให้เจ้าได้เป็นขุนนาง
การที่มันองอาจผึ่งผายถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะตอนนี้จงขุยได้ออกเดินทางไกลไปแล้ว บอกว่าไกลก็ไม่ได้ไกล คล้ายกับว่าห่างแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ไปที่ฝั่งตรงข้าม บอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ความต่างระหว่างมืดและสว่าง คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
บนเส้นทางสู่ปรโลกสายหนึ่ง
อูถีเซียนผีขอบเขตบินทะยาน บรรพจารย์แห่งนครเซียนจานที่ได้ไปเยือนโลกสว่างมาแล้วรอบหนึ่งพลันหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ
อูถีเพิ่งจะเกิดจิตสังหารขึ้นมา เรือนกายก็คล้ายมีไฟกองใหญ่ลุกโชน ดวงวิญญาณเหมือนอยู่ในกระทะน้ำมันเดือดพล่าน อูถีจึงได้แต่รีบล้มเลิกความคิดที่เหมือนความฝันของคนปัญญาอ่อนนั้นทิ้งไป
เพราะตรงหน้ามันมีคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีแดงสดคนหนึ่งเผยกาย มือหนึ่งถือแผ่นหยก มือหนึ่งถือพู่กัน ด้านหน้าวางตำราเอาไว้เล่มหนึ่ง ประโยคแรกที่คนผู้นี้เอ่ยหลังจากเปิดปากก็เป็นประโยคที่กำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด “เจ้าโขกหัวก่อน ข้าค่อยคุยเล่นกับเจ้า”
……
ใต้หล้ามืดสลัว
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกับเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือรูปโฉมงดงามหมดจด ทุกวันนี้อยู่ในต่างถิ่นต่างแดนอย่างใต้หล้ามืดสลัว ทำเรื่องเก่าของบ้านเกิดด้วยการขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียน
ก็คือหลิวสือลิ่วที่กำลังเดินทางอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว กับป๋ายเหย่ที่เพิ่งจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวที่อารามเสวียนตูได้ไม่นาน
ก่อนหน้านี้ไม่นานหลิวสือลิ่วปล่อยหมัดหนึ่งต่อยไปที่ป๋ายอวี้จิง จากนั้นก็ลากป๋ายเหย่เผ่นหนีไปด้วยกัน
ตอนนั้นเต๋าเหล่าเอ้อที่รับหน้าที่นั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิงถึงกับยอมแหกกฎไม่ได้ไล่ตามไปเอาเรื่องการกระทำล่วงเกินที่ถือเป็นความผิดมหันต์นี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ออกกระบี่ แม้แต่ท่าทีว่าจะลงมือก็ยังไม่มี เพียงแค่ปล่อยให้เซียนเหรินลัทธิเต๋าของห้านครสิบสองหอเรือนร่ายวิชาอภินิหารกันไป สกัดขวางหมัดนั้นเอาไว้ พูดถึงแค่นครแห่งหนึ่งในนั้นก็มีนครหลิงเป่าที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่ประดุจรุ้งทุติยภูมิ
สุดท้ายอวี๋โต้วเพียงแค่มองเด็กหนุ่มที่สวมหมวกหัวเสือซึ่งร่างถูกลากไปในแนวนอนเหมือนเส้นๆ หนึ่งอยู่ไกลๆ เต๋าเหล่าเอ้อผู้นี้ตีหน้าเคร่ง สุดท้ายคล้ายว่าจะอดไม่ไหว จึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
สำหรับผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ของไพศาลผู้นี้ อวี๋โต้วยินดีที่จะให้ความเคารพอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นตอนนั้นอวี๋โต้วก็ไม่มีทางยอมให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่
ตอนนั้นเจียงอวิ๋นเซิงที่มีรูปโฉมเป็นนักพรตน้อย ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นของเจ้าลัทธิรอง ก็เหมือนเห็นผีในป๋ายอวี้จิงอย่างไรอย่างนั้น
ในอาณาเขตเมืองหลวงของราชวงศ์แห่งหนึ่ง หิมะใหญ่เพิ่งจะหยุดตก เดินอยู่ท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งแสงจันทร์และสีของหิมะต่างก็งดงามเหมาะสมกัน
ระหว่างที่เดินทางหาประสบการณ์ สหายรักสองคนได้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างจากใต้หล้าไพศาล เต้ากวานเป็นทั้งเซียนซือผู้ฝึกตน แล้วก็เป็นทั้งขุนนางในราชวงศ์โลกมนุษย์ ใต้หล้าแห่งหนึ่ง บนภูเขาล่างภูเขา ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เต้ากวาน ทำเนียบเต๋าก็คือทะเบียนอันดับหนึ่งของยอดฝีมือ ทุกๆ ครั้งที่เจออุทกภัยในอาณาเขต เต้ากวานในพื้นที่ก็จะโยนยันต์ลงน้ำจุดที่เขื่อนพังทลาย หรือไม่ก็ใช้เอกสารตำราชาดเรียกทหารเทพให้มาช่วยกำจัดภัยแล้ง เต้ากวานจะถือไม้ไผ่อยู่ในมือ จูงม้าเดินข้ามภูเขา และยังมีเต้ากวานที่ตั้งแท่นบูชาเพื่อร่ายคาถา ขับไล่เสนียดจัญไร สระขนาดเล็กพลันแห้งขอด ด้านในมีเจียวหลงที่อาละวาดขดตัวอยู่ เรื่องราวมากมาย ไม่ได้มีเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น
หลิวสือลิ่วเดินเนิบช้าเหยียบหิมะผ่านไป ข้างกายมีเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือที่ยากจะเอามาคิดเชื่อมโยงกับชื่อของป๋ายเหย่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!