และยังมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นคนถือดาบคนหนึ่ง มีชื่อว่าชีฉี โชคดีมาก หากว่าถอยออกจากอันดับช้ากว่านี้อีกสักสองสามปีก็คงไม่มีส่วนของเขาแล้ว ได้ยินว่าไปเยือนซากปรักสนามรบไม่ทราบชื่อมารอบหนึ่ง มีหวังที่จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตยอดเขาเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
แต่บุคคลที่ถูกคัดเลือกซึ่งทำให้คนพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินที่สุดก็คือเจ้าคนที่ได้ฉายาว่า ‘ยี่สิบสอง’ ผู้นั้น
ในฐานะลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋า ไม่มีอะไรน่าพูดถึง หากใช้คำกล่าวของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ก็คือหมาตัวหนึ่ง ผูกไว้หน้าประตูบ้านของมรรคาจารย์เต๋าก็พอจะเป็นเทพเซียนได้
ชาติกำเนิดของหยวนอิ๋งลึกลับ อยากจะคุยให้มากก็ยังไม่มีโอกาส บวกกับที่ไม่เคยต่อยตีกับใครมาก่อน คุยไปคุยมา อย่างมากก็เป็นแค่คำพูดเดิมที่พูดซ้ำหลายรอบอย่างเช่นคำว่าเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยจริงๆ
นักพรตหวังหยวนลู่มีชาติกำเนิดจากสายโจรขโมยข้าวสารที่ไม่ได้รับการยอมรับของป๋ายอวี้จิง จึงถือเป็นข้อห้ามที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง
ทว่าสวีเจวี้ยนผู้นั้นกลับไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นนิยายเรื่องเล่ามหัศจรรย์ที่ดึงดูดใจคนได้อย่างดีเยี่ยมเล่มหนึ่งเลยจริงๆ ชาติกำเนิดธรรมดา คุณสมบัติในการฝึกตนก็สามัญ เป็นลูกศิษย์นักการของฝ่ายนอกคนหนึ่ง สตรีที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยซึ่งขึ้นเขาไปฝึกตนด้วยกัน คุณสมบัติดียิ่งกว่าเขา ผลกลับกลายเป็นว่าหันไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่น ภายหลังในการเดินทางหาประสบการณ์ครั้งหนึ่งก็ถึงกับยอมสละตัวเองเพื่อสหายร่วมสำนักที่มีศัตรูหัวใจเป็นคนหนึ่งในนั้น ตายตกกลายไปเป็นผี แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปนับแต่นั้นมา
ทว่าเรื่องราวในตำราจบลงเพียงเท่านี้ อย่างมากสุดก็ทำให้เด็กสาวที่เพิ่งริรักบางส่วนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาที่ไหลรินด้วยความรวดร้าวใจเท่านั้น
คาดไม่ถึงว่าเมื่อสวีเจวี้ยนปรากฏตัวอีกครั้งกลับอยู่ในรูปลักษณ์ของผี ได้รับถ้ำสวรรค์ที่ระดับขั้นสูงมากมาแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลก เดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว ไม่เพียงแต่ใกล้จะได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งแล้ว ยังเปลี่ยนสงครามการต่อสู้ให้เป็นสันติภาพกับสำนักศัตรูที่ผูกปมแค้นกันมานานหลายพันปีด้วย วิธีการนั้นก็ยิ่งทำให้คนคิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ สวีเจวี้ยนถึงกับแต่งงานกับบรรพจารย์หญิงผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักแห่งนั้น…
สตรีผู้นั้นมีนามว่าเฉาเกอ ฉายาคือฟู่คาน เป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ในอดีตเคยเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่าภายหลังนางปิดด่านแล้ว เป็นเหตุให้เจ้าสำนักหลายรุ่นในยุคหลังต่างก็ไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน
ผลคือรอจนนางกลับคืนสู่โลกมนุษย์อีกครั้งก็แต่งงานกับบุรุษที่อายุไม่ถึงห้าสิบปีอย่างสวีเจวี้ยนผู้นี้ ทั้งสองฝ่ายจึงผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา
คู่รักเทพเซียนที่เป็นเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนัก ใต้หล้าจึงฮือฮากันอย่างมาก
แม้แต่ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงอย่างอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองป๋ายอวี้จิงที่เพียงแค่ปรากฏตัวก็ชอบต่อยตีกับคนอื่น ก็ยังแหกกฎไปร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงฉลองวิวาห์ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังนั่งโต๊ะประธานตัวเดียวกับนักพรตซุนอีกด้วย ถึงขนาดนี้แล้วทั้งสองฝ่ายยังไม่ตีกัน นี่แสดงให้เห็นว่าหน้าตาของสวีเจวี้ยนใหญ่แค่ไหน
นอกจากนี้บนโต๊ะประธานยังมีเจ้าลัทธิสามลู่เฉิน รวมไปถึงนักพรตหญิงไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่นางถึงกับสามารถนั่งโต๊ะประธานได้ มรรคกถาเป็นเช่นไร ขนาดคนโง่ก็ยังเดาได้
ใต้หล้ามืดสลัวแห่งหนึ่ง สวีเจวี้ยนคนเดียวครอบครองสองสำนักใหญ่
ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู หย่าเซิ่งแห่งศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาล รวมไปถึงบุคคลอันดับหนึ่งด้านการหลอมยาของใต้หล้า ดูเหมือนว่าต่างก็เคยเห็นดีในตัวเขาอย่างมาก ต่างคนต่างก็เคยถ่ายทอดมรรคกถาวิชาความรู้ให้แก่เขา
นี่ก็คงเป็นดั่งคำว่าทั้งดวงแข็งและดวงดี แล้วยังรู้จักวางตัวเป็นคนอีกด้วย
ในความเป็นจริงแล้วสวีเจวี้ยนไม่ใช่คนที่มีกลอุบายลึกล้ำอะไรจริงๆ ความคิดของเขาเรียบง่ายยิ่ง และในหลายๆ ครั้งยังค่อนข้างจะไร้เดียงสาอีกด้วย แต่เจอกับอุปสรรค ตกอยู่ในทางตันอันตราย เขากลับพลิกเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้เสมอ
ชีฉีผู้ฝึกยุทธกับสหายรักหวังหยวนลู่เคยเดินทางร่วมกัน มาเยือนที่นี่อย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง เนื่องจากคนทั้งสองเป็นคนบ้านเดียวกัน ต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากเขตอู่หลิงของราชวงศ์ใหญ่ ชีฉีมาหาหยวนอิ๋งเพื่อถามเรื่องเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือสรุปแล้วขอบเขตเก้าของเฉินอิ่นกวานเป็นอย่างไรกันแน่
หวังหยวนลู่คือคนหนุ่มร่างเล็กเตี้ยที่สุขุมพูดน้อย รูปโฉมไม่สะดุดตา ถึงขั้นที่ว่ายังมีสีหน้าหวาดหวั่นที่ติดตัวมาตามธรรมชาติอยู่ด้วยอีกหลายส่วน หากถอดชุดคลุมเต๋าบนร่างตัวนั้น ก็เหมือนชาวนาในหมู่บ้านชนบทดีๆ นี่เอง ต่อให้เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านก็ยังมอบความรู้สึกสกปรกมอมแมมให้กับคนมอง ดวงตาเล็กๆ คู่นั้น ต่อให้จะมองคนอย่างมีมารยาท คาดว่าก็คงถูกสตรีเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสายตาของชายโสดขึ้นคานที่มีคิ้วโจรตาหนู (เปรียบเปรยถึงคนที่มีลักษณะไม่น่าไว้ใจ)
ในความเป็นจริงแล้ว นักพรตหนุ่มที่ชาติกำเนิดไม่เที่ยงตรงผู้นี้ ความสามารถในการต่อสู้สูงมาก ในสถานการณ์ทั่วไปคือคนที่ยินดียอมถอยให้กับผู้อื่น แต่ขอแค่ลงมือขึ้นมาก็จะอำมหิตอย่างมาก จะไม่ไว้ชีวิตใครเด็ดขาด มีพวกที่ชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเคยช่วยคำนวณให้ บนเส้นทางเดินขึ้นเขาที่หวังหยวนลู่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกตนอยู่เพียงลำพัง จำนวนครั้งที่ลงมือซึ่งมีหลักฐานให้สืบเสาะได้นั้นมีทั้งหมดสิบหกครั้ง ลำพังเพียงแค่เต้ากวานที่มีทำเนียบทะเบียนก็ถูกเขาฆ่าทิ้งไปเกือบร้อยคนแล้ว
ลู่ไถไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้กับชีฉีที่เป็นคนมุทะลุ แต่กลับกลายเป็นว่าถูกชะตากับหวังหยวนลู่อย่างมาก บนโต๊ะสุรา ดูเหมือนว่าหวังหยวนลู่เกิดมาก็ขี้ขลาด อีกทั้งยังขี้อาย ไม่รู้จักชวนคนอื่นคุยหรือดื่มสุราคารวะ ทุกครั้งเมื่อถูกลู่ไถดื่มสุราคารวะ เขาจะต้องค้อมเอวก้มหัวต่ำ สองมือถือจอกเหล้าตามความเคยชิน ไม่พูดไม่จาก็กระดกดื่มรวดเดียวหมด
สุดท้ายนักพรตหนุ่มที่บนหัวสวมตำแหน่งโจรข้าวสารผู้นี้ คาดว่าคงเป็นเพราะถูกลู่ไถดื่มสุราคารวะมากเกินไปจึงถึงกับดื่มจนเมามาย ดวงตาของเขาพลันแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้นไห้ว่า “เอิ้ก ชีวิตหลายปีมานี้ช่างลำบากเหลือเกิน จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
คืนนี้แสงจันทราและแสงดาวบางตา ในศาลาริมน้ำ ลู่ไถยืนเอนพิงเสาศาลา หลับตาพักผ่อน โบกพัดเบาๆ
ทำดีต้องได้ดี พัดเองก็มีชะตาดีได้เช่นกัน
หยวนอิ๋งนั่งอ่านตำรารวบรวมบทกวีเล่มหนึ่งที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่ด้านข้าง ว่ากันว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยนามว่าจูเหลี่ยนเป็นผู้เรียบเรียง ในสายตาของหยวนอิ๋งแล้ว บทกวีคำกลอนทั้งหลายมีทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน แต่คำอธิบายประกอบของจูเหลี่ยนกลับมีจุดที่สะดุดตาคนอยู่เยอะมาก
‘บทสรุป ทั้งนุ่มนวลทั้งลึกซึ้ง มีรสชาติหวานกลมกล่อม สามารถทำให้บุรุษผู้เมามายที่แสวงหาชื่อเสียงและเกียรติยศได้รับประโยชน์อย่างไร้ขีดจำกัด’
‘เริ่มต้นด้วยเจ็ดอักษรจะยอดเยี่ยมเลิศล้ำที่สุด หากไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นเป็นเอกอุ ไม่มีทางใช้ถ้อยคำที่สละสลวยเช่นนี้ได้’ ‘ยามที่อากาศร้อนระอุอ่านถ้อยคำนี้ ประหนึ่งได้ยินเสียงไม้ไผ่หักท่ามกลางหิมะยามราตรี เมื่อตื่นขึ้นมาสายตาที่มองโลกจะสว่างกว่าเดิม’
‘อ่านมาถึงตรงนี้เหมือนได้เจอกับผู้เร้นกายสันโดษ นับลูกสนที่หล่นร่วงกลางภูเขาที่เงียบสงบจนถ้วนทั่ว สามารถทำให้คนนอกตำราที่มองดูดายนิสัยโผงผางซาบซึ้งสะเทือนใจได้’ ‘นับแต่โบราณมานักกวีผู้รู้กระจ่างแจ้ง สวมเสื้อเนื้อหยาบจับพลิกด้ายสีเหลือง (ในสมัยโบราณหมายถึงด้ายสีเหลืองที่ใช้ผูกตราประทับที่เป็นของแทนตัวของขุนนาง) มีเพียงท่านผู้นี้เท่านั้น’
หยวนอิ๋งจุ๊ปากด้วยความชื่นชม เจ้าคนที่ชื่อจูเหลี่ยนผู้นี้ ตัวเขาไม่แต่งบทกวีเสียเองก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
อืม ตัวอักษรจานฮวาบรรจงแบบเล็กที่เขียนในตำราเล่มนี้ก็เขียนได้งดงามยิ่งนัก
ลู่ไถที่หลับตากำลังครุ่นคิดถึงประโยคทั้งหลายที่บรรพบุรุษบ้านตนเอ่ย
อากาศแห้งข้าวของติดไฟได้ง่าย ระวังฟืนไฟ ที่แท้ก็พูดถึงหร่วนซิ่วที่เดินขึ้นสวรรค์ไปแล้ว
เจ้าทิ้งชีวิตไว้ที่น้ำพุเหลือง ก็อย่าได้โทษฟ้า พูดถึงชิงถงเทียนจวินที่อยู่ในร้านยาของบ้านเกิดเขาเอง
คนที่กลับมายามค่ำคืนที่มีลมหิมะ พูดถึงเฉินผิงอัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำทำนายของลู่เฉิน
และอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาสองคนของลู่ไถก็คือ โจวจื่อผู้ ‘คุยถึงฟ้า’ และเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ของไพศาล
ส่วนหลิวไฉผู้ฝึกกระบี่คนนั้น
หลายปีมานี้แค่ลู่ไถคิดถึงชื่อนี้ก็หงุดหงิดใจแล้ว
หยวนอิ๋งอดไม่ไหวถามว่า “คุณชายลู่ ตอนที่ท่านอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเคยเจอกับจูเหลี่ยนผู้นี้หรือไม่?”
ลู่ไถเก็บความคิดทั้งหลายลงไป ส่ายหน้ายิ้มตอบ “ข้าไม่เคยเจอ ดูเหมือนว่าภายหลังจะถูกเขาพาออกไปจากพื้นที่มงคล ตามคำกล่าวของลู่เฉินคือไปเป็นพ่อครัวเฒ่าอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว เหมือนๆ กับข้านั่นแหละ น่าเสียดายที่จูเหลี่ยนสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดทั้งปี ขี้เหนียวยิ่งนัก ไม่ยอมให้คนอื่นได้มีลาภทางสายตาบ้างเลย”
ลู่ไถยิ้มกล่าว “หยวนอิ๋ง ความคิดความรักส่วนนั้นของเจ้าก็แค่เดินไปตามด้ายแดงแห่งวาสนาชีวิตคู่เส้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!