นครที่อยู่เหนือสำนักจิ่วเฉวียน ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด สัญจรไปมากันอย่างคับคั่ง เทียบกับเมืองหลวงของราชวงศ์อวิ๋นเหวินแล้วยังครึกครื้นกว่าหลายส่วน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างที่ยังหลอมเรือนกายได้ไม่สมบูรณ์ นอกจากขายสุราแล้ว คนที่ดื่มสุราแทบทั้งหมดต่างก็เป็นคนต่างถิ่นที่มาทำการค้าสุราหรือไม่ก็เป็นพวกคนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ร้านเหล้าเหลาสุราน้อยใหญ่ทั้งหลายเหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตอย่างมาก พอได้เงินมาก็อยากเหล้า ตอนสร่างเมานั่งหน้าจอก เมาพับหลับอยู่ใต้โต๊ะ
รากฐานของสำนักในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นอย่างไร แค่มองก็รู้ได้ แค่ต้องดูว่ามี ‘คน’ กี่มากน้อย แต่สำนักจิ่วเฉวียนเองไม่มีศักยภาพที่แท้จริงอะไร ทั้งในมุมสว่างและในที่มืดล้วนอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับนครเซียนจานได้ติด ในสำนักก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอยู่สองคน คนหนึ่งคือเจ้าสำนักผู้เฒ่าเซียนเหรินที่ทุกวันคิดแต่จะยอมถอยให้กับผู้ปราดเปรื่อง อีกคนหนึ่งคือบรรพจารย์ผู้คุมกฎขอบเขตหยกดิบที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก ผู้ฝึกตนทำเนียบคนอื่นๆ ในสำนักไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนเชี่ยวชาญการหมักเหล้าและเป็นผีขี้เหล้าที่ชอบดื่มเหล้าแทบทั้งหมด ตลอดชีวิตแช่อยู่ในถังเหล้าอย่างแท้จริง
ฉีถิงจี้ที่มาเป็นแขกจิบเหล้าคำเล็กดื่มช้าๆ ตามความเคยชิน ทว่าลู่จือกลับดื่มเหล้าชามใหญ่ ดื่มจนหน้าแดงก่ำ
ก่อนหน้านี้ฉีถิงจี้ได้ตั้งใจเลือกเหล้าหมักของสำนักจิ่วเฉวียนสองแบบที่ถูกอาเหลียงเรียกว่าเป็นเหล้าโข่วเหลียง (โดยทั่วไปหมายถึงเหล้าที่ราคาเหมาะสมและฤทธิ์ค่อนข้างแรง เหมาะแก่การดื่มในชีวิตประจำวัน) มาดื่มกับลู่จือคนละกา ของดีที่ราคาถูก
ทุกครั้งที่อาเหลียงแอบมาเที่ยวที่เปลี่ยวร้าง จะต้องมาเที่ยวที่สำนักจิ่วเฉวียนหลายวันถึงจะยอมกลับ ไม่เมาไม่กลับ
ลู่จือยกนิ้วโป้งขึ้นเช็ดมุมปาก “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปีขนาดนี้ อันที่จริงก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เบิกบานใจเป็นพิเศษหรือเสียใจมากเป็นพิเศษ”
เคยมีคนบอกว่า เรื่องอย่างการดื่มเหล้านี้ หากไม่ดื่มเยอะอย่างคนที่โมโหหนักหรืออยากดื่มอย่างหนัก ก็ดื่มร่วมกันอย่างเต็มคราบด้วยความสนุกไม่ก็ทุกข์ใจ ถึงจะดื่มจนได้รสชาติที่แท้จริงของสุรา ถึงจะทำให้หัวใจที่กลัดกลุ้มปวดร้าวของชีวิตคนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “ดังนั้นเจ้าจึงไม่เคยดื่มเหล้าเมาอย่างแท้จริงมาก่อน นี่เป็นความน่าเสียดายที่ไม่เล็กเลย คาดหวังอย่างยิ่งว่าวันหน้าอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียน ข้าจะได้เห็นลู่จือที่เมามายสักครั้ง จะด่าฟ้าด่าดินก็ได้ หรือหากร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นคำก็ยิ่งดี”
ลู่จือส่ายหน้า ไม่รู้สึกว่าตนเองดื่มแบบนี้ต่อไปแล้วจะเสียกิริยา นางเหลือบตามองฉีถิงจี้ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยินดีลงหลักปักฐานอยู่ในใต้หล้าไพศาลจริงๆ แล้ว”
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขาดหนุ่มหล่อสาวงาม เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องถือเป็นคนหนึ่งในนั้นได้แน่นอน
ฉีถิงจี้ให้คำตอบว่า “ตามความเห็นของข้า ใต้หล้าไพศาลแห่งหนึ่งก็เหมือนเรือนกายหนึ่งของมนุษย์ หากจิตใจเต็มเปี่ยม แม้แขนขาทั้งสี่จะเจ็บป่วยก็ยังไม่ได้เป็นภัยใหญ่หลวง อีกทั้งทุกครั้งที่หายดีก็จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง ดังนั้นเดิมทีแล้วที่แห่งนั้นจึงเหมาะกับการก่อตั้งสำนัก แตกกิ่งก้านสาขาอยู่แล้ว อีกอย่างวันหน้าพวกเรายังต้องมีสำนักเบื้องล่าง ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับใต้หล้าห้าสีที่ต่างต้องสร้างสำนักไว้ที่ละหนึ่งแห่ง ปกครองดูแลตระกูลก็ดี ขยับขยายสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับสำนักก็ช่าง ล้วนแตกต่างจากการที่คนคนหนึ่งก้มหน้าก้มตาฝึกตนราวฟ้ากับเหว”
ลู่จือได้ยินเรื่องที่เป็นการเป็นงานพวกนี้ก็ให้เสียอารมณ์ จึงยกชามเหล้าขึ้นมา แหงนหน้ากระดกดื่มหมดรวดเดียวอีกรอบ
ลู่จือพลันหันขวับไปมอง ฉีถิงจี้ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อครู่นี้ยามกลางวันกับกลางคืนสลับสับเปลี่ยน หยินและหยางเดินสลับสวนทางกันในเสี้ยววินาที สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับฟ้าดิน
ภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติเช่นนี้หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ย่อมทำไม่ได้ ดูจากทิศทางคร่าวๆ แล้วเหมือนจะพุ่งเป้าเล่นงานไปที่กุยซวีฉิงจี?
ลู่จือเลิกสนใจอย่างรวดเร็ว นางคร้านจะคิดมาก คนในกลุ่มมีทั้งฉีถิงจี้ที่ประสบการณ์โชกโชนแผนการลึกล้ำ แล้วก็มีอิ่นกวานหนุ่มที่ทำอะไรรอบคอบรัดกุม นางต้องสิ้นเปลืองสมองคิดด้วยหรือ?
ตรงโต๊ะอื่นในร้านเหล้า ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายวาบ ยกก้นกระดกขึ้น สายตามองนิ่งไม่ขยับ จ้องไปยังภาพอันเย้ายวนชวนฝันเบื้องใต้เอวบางของสตรีผู้นั้นลงไป เขม้นมองอยู่หลายที “สตรีผู้นี้หน้าตาอัปลักษณ์ แต่กลับมีขาอวบอิ่มเรียวยาวนัก! หากปิดบังใบหน้า…”
สหายร่วมโต๊ะรีบรับคำต่อทันใด “จะต้องปิดหน้าให้เสียเวลาทำไม ก็ให้นางนอนคว่ำโก่งก้นมาให้สิ”
ลู่จือตบขาอ่อนตัวเอง พูดขึ้นโดยไม่ได้หันหน้าไปมอง “มาลูบตรงนี้”
เสียงผิวปากหวือ เสียงตบโต๊ะอย่างแรงดังระงมขึ้นมาในร้านเหล้า ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นคนเปิดปากพูดก่อนเป็นคนนำขบวน
เถ้าแก่ร้านเหล้าเห็นจนชินตาเสียแล้ว ดื่มเหล้าเข้าปาก ใครเล่าไม่ใช่เซียนกระบี่ ดื่มไปมากพอก็เป็นราชาบนบัลลังก์คนใหม่ได้แล้ว
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหัวเราะดังลั่น “จริงหรือ? เจ้าเป็นคนขอร้องข้าเองนะ?”
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่อาเหลียงก็ยังไม่กล้าทำ
ฉีถิงจี้รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม เหล้าในกาลดระดับถึงลงไปจนมองเห็นก้นกาแล้ว ดื่มเหล้าชามนี้หมดก็ควรจะไปที่ลำคลองอู๋ติ้งได้แล้ว ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันที่อยู่ที่นั่นต้องการทำอะไร
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นยืน สตรีขายาวก็เพียงแค่ดื่มเหล้า ทว่าในร้านกลับมีแสงกระบี่พุ่งฉวัดเฉวียนออกไปในเสี้ยววินาที ทั่วทั้งร้านเจิดจ้าไปด้วยประกายแสงสีขาวหิมะ
ตั้งแต่หัวจรดเท้าของผู้ฝึกตนที่ลุกขึ้นยืนเหมือนถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ถูกแยกร่างคาที่ หนึ่งร่างแบ่งออกเป็นสามส่วน
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่นั่งดื่มเหล้า บ้างก็มีแสงเส้นหนึ่งปาดลำคอ ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดผ่าเอว
นอกจากเถ้าแก่ร้านที่ยังคงสบายดีซึ่งตอนนี้ขาสองข้างอ่อนยวบ ได้แต่ใช้ข้อศอกยันโต๊ะคิดเงินไม่ให้ตัวเองล้มไปกองกับพื้น หลีกเลี่ยงไม่ให้มีลมพัดต้นไม้ไหวแล้วเซียนกระบี่หญิงคนนั้นจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการท้าทายแล้ว ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจอีกสิบกว่าคนที่เหลือซึ่งมาดื่มเหล้าที่นี่ล้วนตายสิ้นในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา
พลาดทำร้ายให้บาดเจ็บ? ฆ่าผิดตัว?
ที่นี่ไม่ใช่โต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหน่อย
ลู่จือเหลือบมองกาเหล้าว่างเปล่าสองใบที่อยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “คิดเงิน”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าของร้านเหล้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งเท่านั้น ปากคอของเขาแห้งผาก ยืนอึ้งพูดไม่ออก
ลู่จือควักเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!