อ่านสรุป บทที่ 862.1 เปิดภูเขา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 862.1 เปิดภูเขา คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เฉินผิงอันถือกระบี่ด้วยมือซ้าย
ตรงหน้ามีภูเขาใหญ่ขวางทาง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในนครเซียนจาน กายธรรมนักพรตของเฉินผิงอันไม่ได้ร่ายใช้เวทกระบี่ใดๆ เลือกที่จะใช้แค่สองหมัดเขย่านครสูง เป็นการเตือนเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงว่า อันที่จริงทั้งสองฝ่ายยังมีบัญชีเก่าที่ยังไม่ได้ชำระกัน
ภายหลังที่ลู่เฉินวาด ‘ภาพทราบแล้ว’ ที่เป็นรูปจักจั่นเกาะอยู่บนเส้นตรงเส้นหนึ่ง ไยจะไม่ใช่การมอบของขวัญตอบแทนกลับคืน เป็นการบอกเฉินผิงอันโดยนัยว่า คิดจะปล่อยกระบี่ไปยังภูเขาทัวเยว่ให้สำเร็จ กระบี่ยาวเย่โหยวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนยังคงไม่พอ ต้องใช้กระบี่เล่มใหม่
ตอนที่อยู่ในนครเซียนจาน เฉินผิงอันอดนึกถึงภาพตอนที่เป็นเด็กหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เพราะไม่เคยจงใจปิดบังความคิดในจิตใจ ลู่เฉินที่ให้ยืมมรรคากถาขอบเขตสิบสี่ทั้งร่างได้แต่พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น พักพิงอยู่ในจิตวิญญาณของเฉินผิงอัน เขาจึงเหมือนได้มองม้วนภาพแห่งกาลเวลาภาพหนึ่งที่ค่อยๆ คลี่กางออก ถึงได้มีการวาด ‘ภาพทราบแล้ว’ ของลู่เฉินในภายหลัง
ไม่เป็นไร
วันหน้าเมื่อไปเที่ยวเยือนป๋ายอวี้จิง แม้แต่เต๋าเหล่าเอ้อที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นก็ยังจะต้องถูกฟันอยู่เหมือนเดิม
หวนนึกถึงปีนั้น ระหว่างเส้นทางที่ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มเฉินผิงอันสวมรองเท้าสานถือมีดผ่าฟืน ช่วยเปิดทางขึ้นภูเขาให้กับคนอื่นด้วยความเคยชิน
เคยเผชิญหน้ากับภูเขาสูงที่เพิ่งจะมาทราบชื่อภายหลังว่าเป็นภูเขาสุ้ยซานด้วยกัน เคยมีการถามตอบครั้งหนึ่ง
นางถามเฉินผิงอัน หากมีขุนเขาใหญ่สกัดขวางมหามรรคา ควรจะทำเช่นไร?
ตอนนั้นเฉินผิงอันตอบว่าปีนข้ามไป ไม่ใช่เดินอ้อมผ่านไป
นางถามอีกว่าหากในมือมีกระบี่ล่ะ? เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่าเปิดภูเขาแล้วเดินผ่านไป
‘เดินทางไปด้วยกัน!’
ครานั้น ก่อนที่เฉินผิงอันจะปล่อยกระบี่ ทั้งสองฝ่ายได้เอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างใจตรงกัน
กระบี่ยาวที่เด็กหนุ่มถืออยู่ในมือร้องครางสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง
ประหนึ่งมีจักจั่นใบไม้ร่วงที่อยู่เดียวดายมาหมื่นปี เกาะอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงที่สุดของโลกมนุษย์แล้วเปล่งเสียงไปยังฟ้าดิน
เบื้องหน้ามีภูเขาทัวเยว่ สูงตระหง่านเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ ภูเขาลูกนี้ในอดีตหลังจากที่บรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างได้หอบินทะยานแห่งหนึ่งไปครอบครอง ก็ยังมิอาจหลอมใหญ่ได้สำเร็จ สุดท้ายจึงทำเพียงแค่หลอมกลางเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง เป็นการผสานมรรคากับรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งภูเขาทัวเยว่และหอบินทะยาน ตั้งตระหง่านอยู่ในฟ้าดินมาหมื่นกว่าปีแล้ว
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่บัญชาการณ์ภูเขาทัวเยว่ในทุกวันนี้ คือบุรุษสวมชุดเหลืองคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขา มีฉายาว่าหยวนซง แล้วก็เป็นคนเฝ้าภูเขาคนแรกในประวัติศาสตร์ของภูเขาทัวเยว่ด้วย ในช่วงเวลาที่อาจารย์หายตัวไปก็เป็นเขาที่ปกป้องดูแลใต้หล้าทั้งแห่ง ในฐานะศิษย์พี่ของซินจวงและหลีเจิน ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้าง ชื่อเสียงของหยวนซงกลับไม่โดดเด่น หนึ่งเพราะน้อยครั้งที่จะออกไปจากภูเขาทัวเยว่ อีกอย่างก็คือตอนหลังเขาเองก็ไม่ได้ปรากฎตัวในกระโจมเจี่ยจื่อและใต้หล้าไพศาล เป็นเหตุให้ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็คิดกันว่าลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ท่านนี้ไม่มีตัวตน
เวลานี้หยวนซงยืนอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของภูเขาทัวเยว่ เอาสองมือไพล่หลัง หลุบตาลงมองอิ่นกวานหนุ่มที่ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นจึงหันไปมองผู้ฝึกกระบี่ที่แยกกันยืนอยู่สี่ทิศ “ให้พวกเขาออกกระบี่ได้ตามสบาย”
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนนี้ไม่เชื่อจริงๆ ว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะสามารถฟันจนเกิดเป็นผลลัพธ์อะไรได้
เว้นเสียจากว่าผู้ฝึกกระบี่สี่คนที่ต่างก็มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนสามารถฟันกระบี่ได้มากถึงหมื่นกว่าครั้ง อีกทั้งยังต้องฟันสำเร็จในทุกกระบี่ สามารถเปิดภูเขาได้ทุกครั้ง
ปีศาจใหญ่หยวนซงผสานมรรคากับภูเขาทัวเยว่มาหมื่นกว่าปีแล้ว
ดังนั้นถึงได้เก็บตัวสันโดษ น้อยครั้งนักที่จะเผยโฉม
เฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ ผู้นั้นเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวได้สักกี่ปีกัน? แล้วเพิ่งจะผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่กี่ปี?
เรื่องเดียวที่คนเฝ้าภูเขาในประวัติศาสตร์แต่ละรุ่นของภูเขาทัวเยว่ซึ่งมีหยวนซงเป็นหนึ่งในนั้นต้องคบค้าสมาคมกับนอกภูเขา ก็คือรับผิดชอบคอยรวบรวมดวงวิญญาณของหลงจวินและกวานจ้าวมาอย่างลับๆ
การถามกระบี่ของเมื่อหมื่นปีก่อนนั้น ราคาที่เฉินชิงตูต้องจ่ายคือการสูญเสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘ฝูผิง’ ไป
การต่อสู้ครั้งนั้น ทั้งภูเขาทัวเยว่และกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ไม่มีบันทึกไว้แม้แต่น้อยว่าสาเหตุการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามคืออะไร ขั้นตอนการออกกระบี่เป็นอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร ล้วนไม่มีการบันทึกไว้เป็นตัวอักษรแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของใต้หล้าแห่งใด จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ขอแค่พลิกเปิดปฏิทินเหลืองหน้านี้ต่างก็ต้องสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่ซัดตลบอบอวลพุ่งมาปะทะใบหน้าแล้ว
ในรัศมีหลายหมื่นลี้รอบภูเขาทัวเยว่ ฟ้าดินพลิกตลบ ขุนเขาสายน้ำพังถล่มทลาย ถูกปราณกระบี่ซัดทำลายจนกลายเป็นสถานที่ไร้อาคมที่ไม่เหมาะแก่การฝึกตน
ภูเขาทัวเยว่ก็ยิ่งถูกหลงจวินใช้กระบี่ฟันราบจนหายไปครึ่งหนึ่ง นี่ถึงได้มีเรื่องที่นครเซียนจานเป็นคนมาทีหลังแต่นำแซงหน้า กลายมาเป็นนครสูงอันดับหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
กระบี่สุดท้ายในชีวิตนี้ของกวานจ้าวฟันให้เกิดเป็นเค้าโครงของลำคลองเย่ลั่วในยุคหลังของเปลี่ยวร้าง
ขณะเดียวกันเฉินชิงตูก็ใช้หนึ่งกระบี่ฟันให้เส้นทางการขึ้นสวรรค์ของหอบินทะยานย่อยยับ ผลลัพธ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นก็คือเฉินชิงตูทำให้ต่อให้ผ่านไปอีกหมื่นปี บรรพบุรุษใหญ่ของเปลี่ยวร้างก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าได้ ยังคงขาดไปก้าวหนึ่งอยู่ตลอด
มีจุดจบที่ถูกเฒ่าตาบอดพูดหยอกเย้าว่า ‘บางทีอาจเป็นเพราะคุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้เรื่อง’
หลงจวินสูญเสียหนึ่งจิตสองวิญญาณไป ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในตำหนักอิงหลิงหรือสมรภูมิรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลงจวินเพียงแค่เผยกายต่อหน้าผู้คนด้วยสภาพอเนจอนาถในร่างของชุดคลุมยาวสีเทาตัวหนึ่ง ศีรษะของเขาก็ยิ่งถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่า ป๋ายอิ๋งที่นั่งสูงอยู่บนบัลลังก์กระดูก ตัวตนที่แท้จริงก็คือจิตหยางกายนอกกายของโจวมี่ เหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าตามใจชอบ
ส่วนร่างเดิมของหลีเจิน จุดจบของผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าวก็ยิ่งอนาถกว่าหลงจวิน เป็นการกายดับมรรคาสลายตามความหมายที่แท้จริง ร่างจริงได้แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่การถามกระบี่ครั้งนั้นปิดฉากลงแล้ว ดวงวิญญาณกระจัดกระจายอยู่ในฟ้าดิน ภายหลังถูกคนเฝ้าภูเขาของภูเขาทัวเยว่ตามหาหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดมาได้ ต่อมาก็นำดวงวิญญาณส่วนที่เหลือมาปะติดปะต่อกัน ถึงได้มีผู้สวมเสื้อเกราะของสรวงสวรรค์ใหม่อย่างในทุกวันนี้
ดังนั้นเมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างฟันจนกลายเป็นสองส่วน เฉินชิงตู หลงจวิน กวานจ้าว ผู้ฝึกกระบี่สามคน หากว่ากันในบางความหมายแล้วก็คือการกลับมาพบกันใหม่หลังจากลากันไปนานที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดครั้งหนึ่ง
ฉีถิงจี้หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างออกมาจากในชายแขนเสื้อ หมายจะใช้กระบี่เล่มนี้ปล่อยกระบี่แรกเซ่นไหว้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสองท่านของเมื่อหมื่นปีก่อนอย่างหลงจวินและกวานจ้าวอยู่ไกลๆ
ในมือของหนิงเหยาถือเทียนเจินหนึ่งในสี่กระบี่เซียน
หากคนหมื่นหมื่นคนตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาล้วนเป็นความฝันของคนคนเดียว? ไม่เพียงแต่เฉินผิงอันที่เป็นหนึ่งนั้น ในความเป็นจริงแล้วสรรพชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลาหมื่นปีของโลกมนุษย์ต่างก็เป็นหนึ่งนั้นด้วย ถ้าอย่างนั้นการฝึกตนของข้าลู่เฉินจะมีความหมายที่ตรงใด? หากตื่นจากฝันแล้วได้รู้ว่าไม่มีเผ่ามนุษย์คนใดได้เดินขึ้นสวรรค์ ไม่เคยมีการพังทลายของวิถีแห่งฟ้าอะไรมาก่อนล่ะ?
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของเฉินผิงอันอย่างเผยเฉียนเพิ่งจะมารู้เอาทีหลังว่า หอเรือนสูงในจิตธรรมของพ่อครัวเฒ่า ที่แท้ก็จำลองมาจากป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว
ระหว่างเส้นทางเดินทางไกลหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันเคยถามคำถามหนึ่งกับสี่คนในภาพวาดโดยไม่ตั้งใจ มีเพียงจูเหลี่ยนที่ยืนกรานพูดจนถึงท้ายที่สุดว่า ต่อให้ฆ่าหนึ่งคนแล้วสามารถช่วยเหลือใต้หล้าได้ เขาก็ยังไม่ช่วยอยู่ดี เพราะเขากังวลว่าตัวเองก็คือหนึ่งนั้น ปีนั้นจูเหลี่ยนพาเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว เคยเอ่ยประโยคหนึ่งโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขณะที่อยู่บนเนินสูงแห่งหนึ่งของภูเขาฉีตุน บอกว่าเมื่อตื่นจากฝันก็คือการกระโดดหน้าผาครั้งหนึ่ง บอกว่ายิ่งนานตนก็ยิ่งไม่มั่นใจว่าตัวเองกับฟ้าดินมีอยู่จริงหรือไม่ บอกว่าเพ่ยเซียงมิอาจให้คำตอบได้ สุดท้ายจูเหลี่ยนชี้ไปยังทิศไกล บอกว่าจำเป็นต้องมีคนที่เขาเชื่อใจคนหนึ่งเป็นคนมาบอกคำตอบแก่เขา เขาถึงจะยอมเชื่อ
การที่ลู่เฉินยินดีให้เฉินผิงอันยืมมรรคกถาของทั้งร่าง แท้จริงแล้วก็เพราะหวังว่าตัวอ่อนของหนึ่งนั้นจะสามารถไขข้อข้องใจให้กับตนได้!
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะให้คำตอบอะไร ขอแค่เขายินดีเปิดปาก ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับหรือปฏิเสธ ลู่เฉินก็ย่อมมีวิธีการเป็นของตัวเอง ไม่ว่าตนจะได้รับคำตอบแบบใดก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นการตื่นจากฝันครั้งที่สำคัญที่สุด เมื่อตื่นจากฝันหนึ่งได้แล้วก็จะตื่นได้จากทุกฝัน
น่าเสียดายที่เขาไม่สนใจคำถามของลู่เฉิน
ราวกับว่าบนร่างของเฉินผิงอันไม่ได้มีหนึ่งนั้นอยู่เลย
ลู่เฉินรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เจ้าดูแคลนผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งขนาดนี้เชียวหรือ?
หรือจะบอกว่าเฉินผิงอันสยบกำราบหนึ่งนั้นเอาไว้?
ระหว่างบุรพแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีป สะพานเชื่อมกลางมหาสมุทรที่เคยข้ามผ่านสองทวีปได้ถูกรื้อไปแล้ว ไม่อย่างนั้นโชคชะตาของสองทวีปจะปะปนกันมั่ว
นักพรตเด็กหนุ่มกับนักพรตเฒ่าที่เรือนกายสูงใหญ่ออกมาจากอาณาเขตของหลงโจวด้วยกัน มาเดินอยู่บนมหาสมุทร
เจ้าอารามผู้เฒ่าหันกลับไปมองแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง “ซิ่วหู่ผู้นี้ก็ถือว่าได้สร้างคุณูปการค้ำฟ้ายันมหาสมุทรที่สมชื่ออย่างแท้จริงให้กับลัทธิขงจื๊อแล้ว”
“แทนที่จะปล่อยให้โจวมี่สมหวัง ก็ไม่สู้ให้เขาเฉินผิงอันยอมรับชะตากรรม”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มบางๆ “ปล่อยให้เขาเป็นคนรับหนึ่งนี้ไปเถอะ เป็นนกในกรง ตัวเองเลือกที่จะบินวนอยู่ในกรงหนึ่งปีก็เท่ากับว่าออกจากกรงไปไม่ได้หนึ่งปี และหากบินวนอยู่ได้นานหมื่นปี ก็คือกรงขังหมื่นปี”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “บินวน? ข้ากับข้าบินวนอยู่นาน” (คำว่าบินวนนี้ภาษาจีนคือ 我与我周旋久 ใช้ได้สองความหมาย หนึ่งคือวัตถุหรือสัตว์ปีกเคลื่อนที่แบบหมุนรอบจุดศูนย์กลาง อีกหนึ่งความหมายคือการต้อนรับขับสู้ การไปมาหาสู่ การจัดการเรื่องราวต่างๆ)
นี่ก็เหมือนว่าได้ทำให้โจวมี่ที่ช่วงชิงหนึ่งนั้นเดินวนอยู่ที่เดิม ถูกผีบังตาอยู่ในกรงตามเฉินผิงอันไปด้วย
ชุยฉานและฉีจิ้งชุนปล่อยให้โจวมี่เดินขึ้นสวรรค์ กลายไปเป็นนายของซากปรักสรวงสวรรค์เก่า ก็คือการเชิญท่านลงโอ่งครั้งหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าโลกมนุษย์ในใต้หล้านี้จะยังมีกรงขังอีกแห่งหนึ่งที่กำลังรอคอยโจวมี่อยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!