สายของเหวินเซิ่ง ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคน
ต่างก็อำมหิตกับตัวเองอย่างมาก
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
คงเป็นเพราะพวกเขาทั้งสามต่างก็มีความหวังส่วนหนึ่งต่อโลกใบนี้กระมัง
ไม่ใช่ว่าวิถีทางโลกงดงามมากพอ ถึงได้ทำให้ใจคนเกิดความหวัง แต่เป็นเพราะวิถีทางโลกไม่งดงามมากพอ บนโลกมนุษย์ไม่มีเรื่องเล็กน้อย ถึงได้มีความหวังต่อวิถีทางโลกมากขึ้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “โจวมี่สั่งให้หยวนซงยืนนิ่งอยู่บนภูเขาทัวเยว่ไม่ขยับอย่างโง่งม ให้เฉินผิงอันเงื้อกระบี่ฟันไปหมื่นครั้ง ก็เพราะต้องการความเป็นเทพที่แผ่กระจายออกมาจากความเสียหายหลังปล่อยกระบี่?”
มรรคจารย์เต๋าพยักหน้า “รับมือกับคนฉลาด หลายๆ ครั้งก็มีเพียงวิธีที่โง่เขลาเท่านั้นถึงจะได้ผลดีเยี่ยม”
ขอแค่เฉินผิงอันยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะอ้อมผ่านภูเขาทัวเยว่ไปไม่พ้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าวักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือ แกว่งอยู่ในฝ่ามือเบาๆ อาศัยสิ่งนี้มาประเมินน้ำหนักของกฎระเบียบและมารยาทพิธีการของหลี่เซิ่งและใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ “ไม่ว่าเฉินผิงอันจะสามารถย้ายภูเขาได้หรือไม่ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของหลายใต้หล้าต่างก็เห็นขั้นตอนนี้อยู่ในสายตา เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็จะกลายเป็นเป้าหมายที่ถูกผู้คนเล่นงานแซงหน้าอวี๋โต้วไปก่อนเสียอีก”
อู๋ซวงเจี้ยงเคยมอบคำทำนายประโยคหนึ่งให้กับเต๋าเหล่าเอ้ออวี๋โต้ว หากท่านไม่ฝึกขัดเกลาคุณธรรม ก็คือหนทางสู่ความตาย
เพราะคนที่อยู่บนเรือจะกลายเป็นศัตรูไปหมดสิ้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหยันเสียงเย็น “อริยะผู้มีคุณูปการมีคุณธรรมในสมัยโบราณ สร้างคุณความชอบใหญ่ ช่วงชิงใต้หล้า อาศัยใจคน โจวมี่ในยุคปัจจุบันหมายจะใช้เหนือฟ้ามาช่วงชิงใต้หล้าไปครอง อาศัยชีวิตคน”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มถาม “เจ้าว่าเจี่ยเซิงแห่งไพศาลผู้นี้ ปีนั้นนาทีที่เขาข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไป ในใจกำลังคิดอะไรอยู่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าตอบส่งๆ “คงจะคิดว่า ‘โชคชะตาทรยศ โลกใบนี้มิอาจยอมรับ’ กระมัง บัณฑิตผู้นี้ยังมีจิตใจที่สูงยิ่งกว่าผืนฟ้า ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เส้นทางขึ้นฟ้าให้เดินเส้นเดียวแล้ว ข้าเดาเอาว่าผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้ไม่นานเท่าไร โจวมี่จะต้องเคยเงยหน้ามองฟ้า มั่นใจว่าฟ้าสูงแห่งนั้นต่างหากถึงจะเป็นบ้านเกิดแห่งใจของตัวเอง”
เจ้าอารามผู้เฒ่าแบมือออก ปล่อยน้ำที่สะสมอยู่ในฝ่ามือกลับลงไปในทะเล “หากถูกเฉินผิงอันย้ายภูเขาไปได้จริงๆ ใช้กระบี่สังหารหยวนซง จะได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงหรือไม่? แกะสลักอักษรอะไร? ผิง อัน? บวกกับอักษร ‘เฉิน’ ที่เฉินซีแกะสลักไว้ก่อนหน้านั้น หากยังสามารถสังหารขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งได้อีก จุ๊ๆ ถูกเจ้าเด็กนี้รวมชื่อจนครบคน ลำพังแค่เรื่องนี้ อีกหมื่นปีให้หลัง ถ้าอย่างนั้นชื่อของเขาเฉินผิงอันเกรงว่าคงต้องยิ่งใหญ่กว่าอวี๋โต้วแล้วล่ะ ไม่ถือว่าเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งหมด เพราะยังจะช่วยให้ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกผู้ฝึกลมปราณในยุคหลังพูดถึงมากขึ้น นานขึ้น”
บนภูเขามีคำกล่าวอย่างหนึ่งเผยแพร่ออกไป ถูกคนบนโลกหลงลืมอดีตที่เคยเกิดขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง ก็คือการตายอีกอย่างหนึ่งหลังจากที่คนตายไปแล้ว
มรรคาจารย์เต๋าส่ายหน้า “หากจะแกะสลักตัวอักษรจริง ก็มีแต่จะแกะสลักอักษรคำว่า ‘ผิง’ จากชื่อฝูผิงเท่านั้น” (ผิง ฝูผิงที่แปลว่าจอกแหนล่องลอยเขียนคนละแบบกับผิงในชื่อของเฉินผิงอัน)
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้า
มรรคาจารย์เต๋าพลันเอ่ยว่า “พูดคำว่าโจวมี่น้อยลง ยืนพูดไม่ปวดเอว”
เจ้าอารามผู้เฒ่าคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม
สะพานโค้งสีทอง
หร่วนซิ่วมองแสงกระบี่ที่ออกเดินทางไกลเส้นนั้น จักรวาลเวิ้งว้างนอกฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาวแต่ละดวงเล็กเหมือนเมล็ดงาที่สาดโปรยอยู่บนพื้น มากมายจนนับไม่ถ้วน มีบางส่วนที่เบียดเสียดกันถี่แน่น จับกลุ่มกลายเป็นทางช้างเผือกอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่สว่างเจิดจ้าพร่างพราว แสงกระบี่ที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามสอดลอดทะลุธารดาราประหนึ่งไฟกลางหิน ม้าขาวควบผ่านช่องแคบ พุ่งไปอย่างรวดเร็วเหนือกว่าการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเสียอีก
ส่วนโจวมี่ก็หรี่ตาลงหลุบมองโลกมนุษย์
หลีเจินฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง กะพริบตาปริบๆ “เอ๊ะ ทำไมกระแสน้ำไหลถึงเปลี่ยนช่องทางเสียล่ะ? นี่ถือว่าเป็น…ประวัติการณ์เลยหรือไม่?”
โจวมี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำท่าสมน้ำหน้าสะใจต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่นิสัยที่ดีอะไรเลยจริงๆ”
หลีเจินหันหน้าไปมองโจวมี่ ต่อให้รู้ไส้รู้พุงกันดี แต่พอมองมากหน่อยก็ยังอดไม่ไหวที่จะรู้สึกเลื่อมใสในตัวมหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้า ‘จิ้งจอกเฒ่าเหนือเมฆ’ ที่กินฝ่าเหยียนอาจารย์ของเชี่ยอวิ้นจนสิ้นซากผู้นี้ไม่ได้
หลี่เจินถอนสายตากลับมา มองไปนอกสะพานโค้งสีทอง
ในสายตาของทวยเทพชั้นสูงแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็เหมือนโชคชะตาแห่งขุนเขาสายน้ำในดวงตาของผู้ฝึกลมปราณที่ใช้ศาสตร์การมองลมปราณ นอกจากร่างทองขององค์เทพเองแล้ว ทุกหนทุกแห่งก็ล้วนมีแต่พวกมัน
ส่วนในสายตาของเทพสูงสุดกลับเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง ก็เหมือนกับบ้านไร้ผนังหลังหนึ่งที่ประกอบกันขึ้นมาจากสิ่งที่เล็กละเอียดอย่างถึงที่สุดจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงแค่ขยับ สิ่งเล็กๆ เหล่านั้นก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปได้นับแสนนับล้าน มองดูเหมือนมีระเบียบ แต่แท้จริงแล้วกลับไร้ซึ่งระเบียบ
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน จะได้เลื่อนเป็นเทพชั้นสูงของยุคบรรพกาลหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าจะสามารถมองเห็นวัตถุที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกไปได้อีกกับตาตัวเองหรือไม่
และวิถีการโคจรทุกเส้นจะมีระเบียบในช่วงระยะสั้นๆ คล้ายคลึงกับท้องน้ำบางช่วงตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ก็คือวิชาอภินิหารวิชาหนึ่ง หรือก็คือมรรคกถาจากการผสานมรรคากับฟ้าดินที่ผู้ฝึกลมปราณเผ่ามนุษย์เรียกขานกันในโลกยุคหลัง
ใต้หล้าทั้งหลาย ผู้ฝึกตนที่เดินขึ้นเขาในภายหลัง เวทคาถาเซียนมรรคกถาทุกบทที่บันทึกไว้ในตำราหรือจดจำไว้ในใจเงียบๆ ล้วนต้องอิงไปตามบรรทัดฐานของวิถีแห่งฟ้านี้ ตัวอักษรบนตำราทุกตัว เสียงในใจทุกเสียงก็คือสมอเรือที่แม่นยำ พยายามที่จะสร้างการดำรงอยู่ที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา
เพียงแต่ว่าในสายตาของเทพชั้นสูงสุด การกระทำนี้ของผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ยังคงเป็นแค่การขูดเรือหากระบี่ เป็นเรือที่ล่องไปตามน้ำ จึงต้องดึงสมอเรือที่โยนลงน้ำให้เคลื่อนที่ไปช้าๆ ซึ่งจำใจต้องทำเท่านั้น เป็นเหตุให้ยากที่จะพิสูจน์ความเป็นอมตะ มิอาจมีชีวิตยืนยาวอยู่ร่วมกับฟ้าดินได้
ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่มีเรือลำใดที่หยุดจอดลอยนิ่งได้อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีวัตถุใดที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
“ในอดีตฉีจิ้งชุนศึกษาความรู้และสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนในถ้ำสวรรค์หลีจูหกสิบปี สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงก็คือของสิ่งนี้เรื่องราวนี้”
โจวมี่เหมือนกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง “เป็นการไหลมารวมกันของสามลัทธิ พยายามที่จะก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองเป็นบรรพบุรุษ? ถ้าอย่างนั้นก็ดูแคลนปณิธานของฉีจิ้งชุนเกินไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่เขาเดินคนละเส้นทางกับข้า ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน”
สิ่งที่ฉีจิ้งชุนต้องการอย่างแท้จริงก็คือหวังว่าบนผืนแผ่นดินของโลกมนุษย์จะมีผู้ฝึกตนกลุ่มเล็กปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วค่อยนำพาคนกลุ่มใหญ่ตามมา เหมือนเป็นการเดินขึ้นฟ้าใหม่อีกครั้ง เป็นเหตุให้ทั้งล่างภูเขาและโลกมนุษย์ต่างก็ไร้ความทุกข์ความกังวล คนที่ขึ้นเขากลายมาเป็นออกเดินทางไกลไปนอกฟ้า คือการไล่ตามมหามรรคาที่แท้จริง และนี่ก็สอดคล้องกับการผสานมหามรรคาที่ ‘แสวงหากระดานหมากที่ใหญ่กว่าเดิม’ ของชุยฉานผู้เป็นศิษย์พี่
เพียงแต่หนึ่งนั้นที่เริ่มโคจรเร็วสุด ได้ถูกกุมอยู่ในมือของผู้ครองสรวงสวรรค์เก่าอยู่ตลอดเวลา
สิ่งของที่มรรคาจารย์เต๋าต้องการตามหาก็คือหนึ่งนี้ สุดท้ายตั้งชื่อให้มันว่าเต๋า (หรือเต้า มรรคา)
เคยหามาก่อน และถึงกับเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน ทว่าด้วยมรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋า กลับยังไม่อาจจับกุมมันไว้ในมือได้ เพราะมันปรากฏเพียงพริบตาเดียวก็พุ่งวาบหายไป
มรรคาจารย์เต๋าเคยเห็นมาแล้วสามครั้ง ถึงขั้นที่ว่าได้เห็นการโคจรของมหามรรคาครั้งแรกสุดที่หนึ่งนั้นเป็นผู้พามาด้วย เป็นเหตุให้ลัทธิเต๋ามีคำกล่าวที่ว่าสามก่อเกิดสรรพสิ่ง
นั่นคือทัศนียภาพที่เหนือเกินกว่าจินตนาการของผู้ฝึกตนจะไปถึง ทั้งงดงามทั้งน่าหวาดกลัว ทั้งเรียบง่ายทั้งลี้ลับมหัศจรรย์ มิอาจวาดรูปลักษณ์ของมันออกมา ไม่อาจบรรยายถึงความงดงามของมัน
หลุดพ้นจากมีไม่มี ใหญ่เล็ก จริงลวงทั้งหลายทั้งปวง คำพูดทั้งหมดบนโลกล้วนกลายมาเป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจความลี้ลับมหัศจรรย์ของมัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!