เมืองหลวงของราชวงศ์อวิ๋นเหวิน
เย่พู่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานพาผู้ฝึกยุทธหญิงป๋ายเริ่นกลับมาที่นครอวี้ป่านด้วยกัน
ในคลังสมบัติของวังหลวง สภาพน่าเวทนาจนแทบมิอาจทนมองได้
และยังมีคลังสมบัติของขุนนางราชสำนักอวิ๋นเหวินอีกกลุ่มใหญ่ เมื่อมีฐานะสูงอยู่ในราชสำนักย่อมต้องมีสมบัติพัสถานที่ผู้ฝึกตนหลายรุ่นในตระกูลสะสมมาอย่างยากลำบาก บัดนี้กลับถูกยกเค้าเสียหมดเกลี้ยง เงินเก่าเก็บก้นกรุที่ไม่เคยขยับเคลื่อนย้ายไปไหน คาดว่าคงจะมีอายุพอๆ กับราชวงศ์อวิ๋นเหวินแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ถูกฮ่องเต้ในแต่ละยุคแต่ละสมัยริบเอาไป แต่กลับต้องมาถูกเซียนกระบี่สองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ดันไม่ตายจากการแลกชีวิตกับราชาบนบัลลังก์เก่าใหม่มากวาดเอาไปจนเกลี้ยง จะไม่ให้ก็ไม่ได้จริงๆ เพราะหากลังเลแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องเจอกับแสงกระบี่หนึ่งเส้น
เวลานี้ในท้องพระโรงของเมืองหลวง ผู้ฝึกตนเฒ่าจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทันได้สวมชุดขุนนางกำลังตีอกชกตัว ผู้ฝึกตนหญิงบางส่วนที่มีตำแหน่งขุนนางใหญ่โตก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังว่าฮ่องเต้จะช่วยทวงความยุติธรรมให้พวกเขา
เย่พู่ที่ต้องเสียค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งไปยิ่งหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม ในนครอวี้ป่านแห่งนี้ คนที่สูญเสียพลังต้นกำเนิดและบาดเจ็บสาหัสที่สุดควรจะเป็นเขาที่เป็นฮ่องเต้ถึงจะถูก
ป๋ายเริ่นหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริก สองมือของนางกำเป็นหมัดแน่น ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในระเบียงหอสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายกลกระบี่ นางถูกเฉินผิงอันที่แต่งกายเป็นนักพรตใช้นิ้วจิ้มหน้าผากแค่ทีเดียวก็กระเด็นลอยออกไปนอกเมืองหลวง ขอบเขตผู้ฝึกยุทธลดจากปลายทางมาเป็นยอดเขา!
นางเหลือบตามองสตรีคนหนึ่งที่เคยมีสัมพันธ์ชู้สาวกับเย่พู่ ก้าวออกไปหนึ่งก้าวแล้วปล่อยหมัดแสกหน้า จากนั้นรัวหมัดสังหารนังจิ้งจอกโอสถทองผู้นั้นจนตายดับ
ป๋ายเริ่นโบกชายแขนเสื้อ สลายกลิ่นคาวสาบสางขุมนั้นทิ้งไป หันหน้าไปมองเจ้าพวกคนที่อึ้งตะลึงทำอะไรไม่ถูก แล้วนางก็หาเหตุผลมาอ้างส่งๆ ว่า “บังอาจสมคบคิดกับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่น พยายามจะช่วงชิงบัลลังก์อย่างลับๆ ไม่รู้จักกลัวตายเสียเลย”
เย่พู่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาเป็นของหลวง”
เอากลับมาได้เท่าไรก็เท่านั้น
สำนักจิ่วเฉวียน
เจ้าสำนักมีฉายาว่าหลิงโย่ว คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่มีประสบการณ์โชกโชนคนหนึ่ง เจ้าสำนักผู้เฒ่ากับหมี่จือบรรพจารย์ผู้คุมกฎขอบเขตหยกดิบพากันออกจากภูเขา ทะยานลมมายังร้านเหล้าแห่งนั้น
เถ้าแก่ร้านมอบเงินร้อนน้อยที่ลู่จือทิ้งไว้ให้ รวมถึงเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีถิงจี้
หลิงโย่วยิ้มรับเงินเทพเซียนทั้งสองเหรียญเอาไว้
หมี่จือเป็นกังวล ทำท่าจะพูดไม่พูด คล้ายว่าจะไม่เห็นด้วยที่เจ้าสำนักผู้เฒ่ารับเงินเทพเซียนเอาไว้
หลิงโย่วจึงหัวเราะร่วนเอ่ยว่า “ได้โจ๊กก็อย่ารังเกียจว่าข้าวน้อยเกินไป ขายุงก็ยังเป็นเนื้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งด้วย”
หมี่จือนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง แม้จะบอกว่านางไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า ทว่าสภาพเละเทะน่าสังเวชที่ร้านเหล้าแห่งนี้ นางกลับไม่สนใจสักนิดเลยจริงๆ ไม่รู้สึกตกอกตกใจแม้แต่น้อย อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เหตุการณ์เช่นนี้จะนับเป็นอะไรได้ นางหยิบเหล้ากาหนึ่งที่หมักเองออกมาจากชายแขนเสื้อ เจิบเหล้าเซียนหนึ่งอึก ใช้เสียงในใจถามว่า “สำนักจิ่วเฉวียนรับเงินเทพเซียนสองเหรียญที่ฉีถิงจี้และลู่จือจงใจทิ้งไว้ให้ หลังจบเรื่องทางฝั่งภูเขาทัวเยว่จะซักไซ้เรื่องนี้แล้วจงใจเอาเงินเทพเซียนสองเหรียญมาเป็นข้ออ้าง หาเรื่องสร้างความลำบากให้พวกเราหรือไม่? หากพูดให้เล็กหน่อยก็เป็นสำนักจิ่วเฉวียนที่ไม่ได้เรื่อง ขัดขวางพวกเขาไม่อยู่ แต่หากพูดให้ใหญ่ก็คือสมคบคิดในนอกตีขนาบประสานกับพวกกากเดนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต้องเจอกับการลงทัณฑ์หรือไม่?”
หลิงโย่วยังคงมีสีหน้าไม่ยี่หระอยู่เช่นเดิม เขาลูบหนวดยิ้มเอ่ย “นับแต่โบราณมาเงินทองไม่เคยทับมือ เงินเทพเซียนก็ไม่กัดคน พวกเราต้องเชื่อในความใจกว้างของเซียนกระบี่เฝ่ยหรานสิ”
หมี่จือขมวดคิ้วมุ่น “เดิมทีพวกเราก็เป็นแค่พรรคตระกูลเล็กๆ ข้าไม่เชื่อว่าเซียนกระบี่พวกนี้บุกเข้ามาถึงใจกลางของเปลี่ยวร้างก็แค่เพื่อดื่มเหล้าของสำนักจิ่วเฉวียนพวกเราไม่กี่กาเท่านั้น”
เจ้าสำนักผู้เฒ่ายกเท้าเตะเศษซากแขนขาที่เกลื่อนอยู่ข้างฝ่าเท้าออกไป นั่งลงบนม้านั่งยาว ลูบหนวดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ต้องดูว่านอกจากพวกเราแล้วยังมีสำนักใหญ่ที่เจอกับหายนะอีกหรือไม่ หากว่ามี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเกี่ยวผายลมอะไรกับสำนักจิ่วเฉวียนพวกเราแล้ว หากว่าไม่มี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องลุ้นแล้ว หวังเพียงว่าพวกผู้ฝึกตนใหญ่สำนักใหญ่ทั้งหลายจะช่วยแบ่งเบาภาระของสำนักจิ่วเฉวียนพวกเราได้บ้าง”
เจ้าสำนักผู้เฒ่ารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “จะวางตัวเป็นคนแบบนี้ได้อย่างไร? ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว”
เพียงไม่นานก็มีกระบี่บินส่งข่าวมาจากทางสำนักบ้านตน เซียนกระบี่ผู้เฒ่าใช้นิ้วคีบกระบี่บินเอาไว้ ถอนหายใจเอ่ย “นครอวี้ป่านของเย่พู่ถูกฉีถิงจี้กับลู่จือยกเค้าไปรอบหนึ่ง ส่วนนครเซียนจาน…ก็ถูกอิ่นกวานที่แต่งกายเป็นนักพรตฟันจนขาดออกเป็นสองท่อน ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วนั่นจะใช่เฉินผิงอันตัวจริงหรือไม่ กลับไม่มีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด ผู้ฝึกตนที่เดินทางมาท่องเที่ยวพากันหนีตายออกจากนครเซียนจาน พวกเขาพูดอย่างมั่นใจว่าจะต้องเป็นอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นแน่นอน ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์นครเซียนจาน…ช่างเถิด ไม่มีศาลบรรพจารย์อะไรอีกแล้ว ดูเหมือนจะถูกคนทุบเละไปแล้ว”
“ต้องเป็นเฉินผิงอันแน่นอน”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ได้เดินทางผ่านที่นี่หรือไม่”
ฟังมาถึงตรงนี้ หมี่จือก็ถามอย่างกังขาว่า “ทำไมจะต้องเป็นเขาแน่นอน?”
เซียนเหรินผู้เฒ่าแกว่งสุราที่อยู่ในชาม “มีเพียงอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะสามารถโยกย้ายฉีถิงจี้ หนิงเหยาและลู่จือให้ติดตามเขาออกเดินทางไกลมาปล่อยกระบี่ที่เปลี่ยวร้างได้”
หมี่จือกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “เป็นเหตุผลนี้จริงๆ เสียด้วย”
เซียนเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ตอนนี้มาลองมองดูแล้ว ยังคงเป็นสำนักจิ่วเฉวียนเราที่มีหน้ามีตานะ”
อาเหลียง ฉีถิงจี้ ลู่จือ หากยังบวกกับเฉินผิงอันอิ่นกวานคนสุดท้ายเข้าไปด้วยอีกคนเล่า?
หมี่จือดื่มเหล้า หันหน้าไปมองถนนด้านนอกที่เงียบสงัดวังเวง “ไม่รู้ว่าจะยังได้พบหน้าหมี่อวี้สักครั้งหรือไม่”
สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่มีแซ่เดียวกับตนคนนี้ หมี่จือได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมานานมากแล้ว แต่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อน
หลิงโย่วเหลือบมองผู้ฝึกตนผู้คุมกฎที่มีรูปโฉมงามล้ำ เอ่ยสัพยอกว่า “อยากจะเจอหมี่ผ่าเอวไปทำไม เจ้าเอวบางร่างน้อยถึงเพียงนี้ ดูท่าแล้วคงรับกระบี่ของเขาได้แค่ไม่กี่ทีหรอก”
หมี่จือกรอกเหล้าเข้าปากแรงๆ พูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “แค่เคยได้ยินว่ามีวัวที่เหนื่อย ไหนเลยจะมีนาที่ถูกไถจนพรุน”
ใบหน้าของเซียนเหรินเฒ่าเปลี่ยนมาเป็นกระจ่างแจ้งในบัดดล ลูบคลำปลายจมูกที่แดงก่ำของตน อยู่ดีๆ ก็เอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “จู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดสัปดนบนโต๊ะเหล้าของอาเหลียงขึ้นมาเสียแล้ว”
นครเซียนจาน
ตัวอิ๋นลู่รองเจ้านครไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดตนเองถึงไม่ตาย แต่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณกลับถูกคนผู้นั้นใช้เวทลับกักขังพาไปแล้ว เป็นเหตุให้เซียนเหรินอิ๋นลู่ขอบเขตถดถอยกลายเป็นหยกดิบ
นครสูงสองท่อนที่เดิมทีได้รับการขนานนามว่าสูงเป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ตอนนี้ถูกยันต์ภูเขาสายน้ำสองเส้นกั้นขวาง ต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันหลายร้อยลี้ ไม่อาจกลับมาประกบเชื่อมติดกันได้ดังเดิมอีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้อิ๋นลู่มีความสามารถนั้น ก็ไม่มีทางกล้าให้นครเซียนจานกลับคืนรูปลักษณ์เดิมอย่างแน่นอน เจ้านครคนใหม่ที่ตกใจจนขวัญแทบกระเจิงรู้สึกว่าต่อให้ตนเป็นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน เจอกับเจ้าคนผู้นั้นก็ยังเป็นกระดาษเปียกอยู่เหมือนเดิม
น่านน้ำของลำคลองเย่ลั่ว
เฟยเฟยไม่มีเวลามาสนใจความเสียหายบนมหามรรคา อาศัยลมปราณส่วนนั้น นางรีบหดย่อพื้นที่มายังใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งทันที นางข่มกลั้นความอึดอัดในใจลงไป ก่อนจะรีบเอาอย่างสตรีล่างภูเขายอบกายคารวะอย่างขัดเขิน เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เฟยเฟยคารวะอาจารย์ป๋าย”
ต่อให้อยู่ในการประชุมที่ตำหนักอิงหลิงก่อนหน้านี้ เผชิญหน้ากับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ หรือมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่เป็นราชาบนบัลลังก์ตำแหน่งสูงเหล่านี้ นางก็ยังไม่เคยมีท่าทีอ่อนโยนอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน
ป๋ายเจ๋อเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว เท้าสัมผัสพื้น ยืนอยู่ข้างกายของเฟยเฟย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรียกชื่อข้าตามตรงก็พอ”
ป๋ายเจ๋อหันมามองเฟยเฟยแวบหนึ่ง ในดวงตาที่เป็นสีแดงก่ำของนางคู่นั้นคล้ายจะเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ป๋ายเจ๋อถาม “พวกเจ้าไม่ควรเคียดแค้นอยู่ในใจหรอกหรือ?”
เฟยเฟยในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นโฉมงามสภาพน่าเวทนา นางคลี่ยิ้มกว้าง ยกหลังมือเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ส่ายหน้ากล่าว “ไม่กล้ามี และไม่มีทางมี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!