เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็หาเบาะแสพบ
ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งใจวางแผนเอาไว้ นอกจากผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวจำนวนน้อยนิดที่ ‘ชาติกำเนิดสะอาดบริสุทธิ์’ แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนมีความเกี่ยวข้องกับพวกเทพแทบทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ที่ยิ่งต้องเป็นเทพมาจุติเกิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย จึงสืบทอดวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเทพชั้นสูงบางองค์มาส่วนหนึ่ง วิชาอภินิหารของกระบี่บินเล่มนั้นจึงเข้าใกล้ ‘นิมิตหมาย’ มากแล้ว
มองทะลุเนื้อหนังไปเห็นกระดูก อนุมาน ปะติดปะต่อจิตธรรมอย่างต่อเนื่องจนขยับเข้าใกล้ความจริงบางอย่าง
เพียงแค่เพื่อนิมิตภาพของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จงหยวน
เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในวิธีรับมือภายหลังของโจวมี่ คือเรื่องน่าประหลาดใจระคนน่ายินดีอย่างหนึ่งที่เขาจะมอบให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าไพศาล
จงหยวนหวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ถือเป็นเรื่องไม่คาดฝันหรือไม่
โลกมนุษย์ได้พบเจอจงหยวนอีกครั้ง ใช่เรื่องน่าตะลึงระคนยินดีหรือไม่
เฉินชิงตูสลายม้วนภาพแห่งกาลเวลานั้นทิ้งไป เอ่ยกับเว่ยจิ้นว่า “เลือกเรื่องสำคัญมาเล่า”
เนื่องด้วยจิตผูกพัน แก่นวิญญาณบางส่วนจึงมิอาจอยู่บนโลกมนุษย์ได้นานนัก
เว่ยจิ้นจึงเล่าเรื่องใหญ่ๆ ด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่าย
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่อยู่บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง กับบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่อยู่ตรงซากปรักร่องเจียวหลง สองฝ่ายประชันมรรคกถากันไกลๆ
อาเหลียงถูกสยบอยู่ใต้ภูเขาทัวเยว่นานหลายปี ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตสิบสี่ อันดับแรกคือไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดีก่อน แล้วค่อยหวนกลับมายังไพศาล
กระบี่เซียนสี่เล่มมารวมตัวกันครบถ้วนที่ฝูเหยาทวีป ป๋ายเหย่พกกระบี่ไปท้าทายราชาบนบัลลัง์หกท่านเพียงลำพัง ภายหลังถูกเหวินเซิ่งพาไปอยู่ที่อารามเสวียนตูใหญ่แห่งใต้หล้ามืดสลัว
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดครองใบถง ฝูเหยา เกราะทองสามทวีปได้สำเร็จ สุดท้ายถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีสกัดขวางไว้ที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป โจวมี่นำพากลุ่มคนขึ้นฟ้าจากไป
หนิงเหยาที่อยู่ในบ้านเกิดใหม่เอี่ยมซึ่งถูกตั้งชื่อให้ว่าใต้หล้าห้าสีฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกัน เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน กลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า ระหว่างนี้นางยังสังหารเทพชั้นสูงองค์หนึ่งกับมือตัวเอง
การประชุมในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง บอกว่าจะโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็โจมตีทันที
อาเหลียงพาผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งแทรกซึมเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ภายหลังจั่วโย่วพกกระบี่ออกเดินทางไกลไปช่วยอาเหลียง
เฉินผิงอันพาผู้ฝึกกระบี่สี่คนออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไม่นานมานี้
ระหว่างนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยแค่สองประโยคเท่านั้น
“น่าเสียดายที่ป๋ายเหย่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่อย่างนั้นมาที่นี่ ข้าจะได้สอนเวทกระบี่ที่เหมาะกับเขาสักสามสี่บท”
“หนิงเหยาไม่ทำให้คนประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย”
เฉินชิงตูถามคำถามอีกสองข้อ
“ทุกวันนี้จั่วโย่วเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วหรือไม่?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า อธิบายว่าความคิดของอาจารย์จั่วใหญ่เกินไป เดิมทีมีโอกาสจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ แต่เพราะแสวงหาวิถีกระบี่ที่กว้างใหญ่กว่าเดิมจึงถ่วงการฝ่าทะลุขอบเขตของเขา
สุดท้ายเฉินชิงตูถามว่า “การประชุมที่ศาลบุ๋นกับภูเขาทัวเยว่คุมเชิงกัน เป็นจอมปราชญ์น้อยที่บอกว่าจะทำสงครามหรือ?”
เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “ไม่ใช่หลี่เซิ่ง เป็นเฉินผิงอันที่เปิดปากก่อน บอกว่าจะตีก็ตีเลย”
เฉินชิงตูพยักหน้า ใบหน้าคลี่ยิ้มบางๆ
เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย
เหมือนตนอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าไม่เคยรู้สึกว่าความมีชีวิตชีวาของคนคนหนึ่งต้องดูแค่จากคำพูดคำจาที่ลิงโลดเบิกบาน หรือการลงมือที่โดดเด่นเท่านั้น
แต่เป็นในช่วงเวลาที่ต้องเจอกับทุกด่านสำคัญในชีวิต ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก คนหนุ่มสาวกลับยังคิ้วตาเบิกบาน มีปณิธานฮึกเหิม
ทำเรื่องที่เหนือการคาดคิดที่สุด ปล่อยกระบี่ออกไปเร็วที่สุด เอ่ยคำพูดที่มีน้ำหนักมากที่สุดในฟ้าดินแห่งนี้
คนที่เวลาปกติพูดน้อย บางครั้งเปล่งเสียงออกมาถึงกับทำให้คนข้างๆ ที่ไม่อยากฟังก็ยังต้องฟัง
เฉินชิงตูเก็บความคิดกลับคืนมา เบนสายตามองไปทางเฉาจวิ้น ยิ้มถามว่า “เซียนกระบี่อายุไม่น้อยผู้นี้ชื่อแซ่อะไร มาจากไหนรึ?”
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่บ้านตนอย่างเฉินผิงอัน หนิงเหยาและพวกเว่ยจิ้นแล้ว อายุร้อยกว่าปีของเฉาจวิ้นที่เป็นคนต่างถิ่นก็ถือว่าอายุไม่น้อยแล้วจริงๆ
เฉาจวิ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้เยาว์เฉาจวิ้น ภูมิลำเนาอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแจกันสมบัติทวีป อยู่ตรอกเดียวกับบ้านบรรพบุรุษของอิ่นกวาน เพียงแต่ว่าผู้เยาว์เกิดที่ทักษินาตยทวีป บรรพบุรุษเฉาซีรับหน้าที่ดูแลหอพิทักษ์มหาสมุทร”
เฉาจวิ้นอดกลั้นอยู่นาน แต่ก็ยังอดไม่ไหวเอ่ยมาอีกประโยคว่า “อันที่จริงผู้เยาว์เพิ่งจะอายุหนึ่งร้อยสี่สิบปีเท่านั้น”
เดิมทีคิดจะเอ่ยเสริมไปอีกว่า หากไม่เป็นเพราะในอดีตถูกจั่วโย่วทำลายจิตแห่งกระบี่ให้แหลกสลาย คงได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนนานแล้ว ไม่แน่ว่ายังมีหวังที่จะอยู่ขอบเขตเดียวกับเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะด้วย
เพียงแต่คิดขึ้นมาได้ว่าอยู่กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้ ดูเหมือนว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง จึงกลืนคำพูดประโยคนี้กลับลงท้องไป
เฉินชิงตูอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็อายุและขอบเขตพอๆ กับจั่วโย่ว เด็กรุ่นหลังนี่น่ากลัวจริงๆ”
เว่ยจิ้นกลั้นขำ
เฉาจวิ้นรู้สึกเพียงว่าถูกโคลนเหลืองๆ ป้ายเต็มหน้า แต่ก็ไม่กล้าเถียงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ข่มกลั้นเอาไว้จนย่ำแย่
ในที่สุดเขาก็เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแท้จริงแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่คู่ควรกับสองคำว่า ‘เซียนกระบี่’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นิสัยของแต่ละคนแปลกใหม่แจ่มจ้าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
หนิงเหยา ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ
ลู่จือ ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่านางเจอใครก็อยากฟันหลายๆ ที
ฉีถิงจี้ คนรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ชาติหน้าระวังหน่อย เซียนกระบี่ผู้อาวุโสใช้สีหน้าที่นุ่มนวลเป็นมิตรที่สุด พูดจาอำมหิตโหดร้ายที่สุด
นอกจากนั้นก็คือความปราณีน่าใกล้ชิด ท่าทางเข้ากับคนง่ายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้
แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่ครองตนอยู่ในความเที่ยงธรรมมาโดยตลอดอย่างเว่ยจิ้นก็ยังเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้าเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้’
เฉินชิงตูมองไปนอกหัวกำแพงเมือง แล้วพลันเอ่ยเสียงเบาว่า “จะไปก็ไปเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องพะวงหาแล้ว เป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว ตอนมีชีวิตอยู่ยามออกกระบี่จำเป็นต้องเลือกฝ่าย แต่ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงปณิธานกระบี่น้อยนิดแค่นี้ ยังจะต้องแบ่งแยกฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูกับผายลมอะไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!