เฟยเฟยเองก็ไม่เก็บงำความคิด ถามป๋ายเจ๋ออย่างตรงไปตรงมา “อาจารย์ป๋าย ท่านกังวลถึงความปลอดภัยของลูกศิษย์คนแรกของท่านบรรพบุรุษใหญ่หรือ?”
ป๋ายเจ๋อพยักหน้า
หวนกลับคืนสู่บ้านเกิดครานี้ ป๋ายเจ๋อจะต้องปลุกเผ่าปีศาจกลุ่มน้อยที่จำศีลหลับใหลมายาวนาน จากนั้นตั้งข้อกำหนดกับพวกมันว่าต้องมาคอยติดตามอยู่ข้างกายตน
ส่วนพวกที่พยศยากจะกำราบซึ่งต้องมีอยู่ในบรรดาคนกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ก็ให้ทั้งร่างจริงและชื่อจริงของพวกมันนอนหลับต่อไปพร้อมกันอีกสักหลายพันปีก็แล้วกัน
ออกจากบ้านเกิดไปนับหมื่นปี คนของบ้านเกิดที่ป๋ายเจ๋อพะวงเป็นห่วง เดิมทีก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันนี้คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกก็เหลือแค่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่แล้ว
แน่นอนว่าหยวนซงเป็นเพียงแค่นามแฝงของลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างเท่านั้น อันที่จริงนามจริงของมันมีความหมายดีมาก หยวนจี๋
หยวนจี๋ที่มาจากประโยคชุดเหลืองมงคล ทั้งยังมาจาก ‘หยวนจี๋’ จิตวิญญาณแห่งความโชคดี
เมื่อหมื่นปีก่อน ผ่านการประชุมริมลำคลองหลังจากความขัดแย้งภายในครั้งนั้นไป ศึกของบนฟ้าล่างฟ้าล้วนยุติลงแล้ว
ตามข้อตกลงเดิม ผู้ฝึกกระบี่และสำนักการทหารสามารถครอบครองใต้หล้าแห่งหนึ่ง ปฐมบรรพบุรุษของสำนักการทหารถึงกับสามารถตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบรรพบุรุษได้ด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าปฐมบรรพบุรุษสำนักการทหารที่มีความทะเยอทะยานผู้นั้น กับผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่เว้นจากพวกเฉินชิงตู หลงจวิน กวานจ้าว และปีศาจใหญ่ส่วนหนึ่งที่กระเหี้ยนกระหือรือกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ สุดท้ายทั้งสามฝ่ายต่างก็พ่ายแพ้
ภายหลังก็เป็นเผ่าปีศาจที่ได้แบ่งเอาใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ไปครอง
หลังจากที่บรรพบุรุษใหญ่ของเปลี่ยวร้างพาเด็กคนหนึ่งไปพักอาศัยอยู่ในใต้หล้าแห่งนั้นก็เริ่มเดินขึ้นเขา หรือก็คือภูเขาทัวเยว่ในยุคหลัง
ตอนนั้นคนที่ติดตามอาจารย์และศิษย์คู่นี้มาด้วยยังมีป๋ายเจ๋ออีกคน
ขยับเข้าใกล้ยอดเขา ผู้ฝึกตนเฒ่าหยุดเดิน ยิ้มเอ่ย ‘ป๋ายเจ๋อ เจ้ามีความรู้มาก ไม่สู้ช่วยตั้งชื่อให้เด็กคนนี้เถอะ จำไว้ว่าขอให้เป็นนิมิตหมายที่ดี’
ป๋ายเจ๋อก้มหน้ามองเด็กชายที่ดวงตาใสแจ๋ว คิดแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ให้ชื่อว่าหยวนจี๋ดีไหม?’
เวลานั้นเด็กชายเผ่าปีศาจที่เพิ่งจะหลอมร่างจำแลงกายได้สำเร็จ ในที่สุดก็มีคำถามมากมายอยากจะถามป๋ายเจ๋อที่มีความรู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
‘จอมปราชญ์น้อยผู้นั้น มีความสามารถในการต่อยตีมากขนาดนั้นเลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ชื่อว่าจอมปราชญ์ใหญ่ล่ะ?’
‘ท่านชื่อป๋ายเจ๋อ เป็นเพราะว่าท่านแซ่ป๋ายนามว่าเจ๋อหรือ? ทำไมใครๆ ต่างก็ชอบเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ กันล่ะ อาจารย์บอกว่าคำนี้มีความหมายว่าเกิดก่อน อายุเยอะ แล้วอาจารย์พ่อล่ะ หมายความว่าอะไร เป็นเพราะว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นทั้งบิดาเป็นทั้งอาจารย์หรือ?’
‘พวกเราแบ่งได้ใต้หล้าแห่งนี้มาครอง ได้ยินว่าอาณาเขตของที่นี่คล้ายจะใหญ่ที่สุดเลยนะ เป็นเพราะพวกเราสร้างคุณูปการไว้ใหญ่ที่สุดหรือ?’
ระหว่างเส้นทางเดินขึ้นเขา ป๋ายเจ๋อที่มีความอดทนดีเยี่ยมค่อยๆ ไขข้อข้องใจให้เด็กชายไปทีละข้อ
เดินไปถึงบนยอดเขา บรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายยิ้มเอ่ยว่า ‘ป๋ายเจ๋อ ภูเขาลูกนี้ยังไม่มีชื่อ คนที่มีความสามารถมากย่อมต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น เจ้าก็ตั้งชื่อให้มันไปพร้อมกันเลยดีไหม?’
กาลเวลาไหลหายไปเหมือนสายน้ำ แสงจันทร์แม้จะหล่นลงมาแต่ไม่เคยผละจากฟากฟ้า
ป๋ายเจ๋อจึงตั้งชื่อให้ภูเขาสูงใต้ฝ่าเท้าว่าภูเขาทัวเยว่ (ค้ำยัน/ประคองจันทร์)
สุดท้ายป๋ายเจ๋อลูบศีรษะเด็กชาย ยิ้มเอ่ยว่า ‘เริ่มต้นศักราชใหม่ สรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนใหม่ วันหน้าต่างคนต่างฝึกตน หากมีโอกาสก็มารำลึกความหลังใหม่กันอีกครั้ง’
ป๋ายเจ๋อถอนสายตากลับมาจากภูเขาทัวเยว่
เฟยเฟยเปิดปากถาม “ครั้งนี้อาจารย์ป๋ายจะยืนอยู่ข้างพวกเรา ใช่หรือไม่?”
ป๋ายเจ๋อพยักหน้า
……
ห่านขาวใหญ่ตัวหนึ่งรีบเดินทางจากภูเขาห้อยหัวมายังร้านตีเหล็ก มือเท้าทำท่าว่ายน้ำอยู่กลางอากาศ พอหยุดยืนนิ่งก็สะบัดชายแขนเสื้อดังพึ่บพั่บ
เสียงดังจนหลิวเสี้ยนหยางที่นั่งงีบหลับบนเก้าอี้ไม้ไผ่ลืมตาขึ้นมาทันใด
ใต้ชายคาวางเก้าอี้ไว้สามตัว มีตัวหนึ่งที่ว่างอยู่จึงเอามาใช้รับรองแขกได้พอดี ชุยตงซานบิดหมุนตัว ดีดปลายเท้าหนึ่งที ทิ้งตัวดีดร่างปลิวกระเด็นออกไปด้านหลัง ก้นร่วงลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ตรงกลางพอดิบพอดี ก่อนจะขยับทั้งตัวคนทั้งเก้าอี้ไปอยู่ข้างกายหลิวเสี้ยนหยาง
จากนั้นคนสองคนที่รู้ใจกันดีก็ยกศอกถองกันไปมา สองฝ่ายที่เจ้าถองข้า ข้าถองเจ้าทำเอาคนมองตาลายยิ่งนัก
“พี่ใหญ่หลิว!”
“น้องชุย!”
แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวริมสุดกลอกตามองบน
ยามทั้งสองฝ่ายเอ่ยคำเรียกขาน น้ำเสียงถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อย
ชุยตงซานเช็ดปาก ยืดคอยาวไปทางลำคลองหลงซวี “พี่ใหญ่หลิว มีเป็ดผัดหน่อไม้แห้งหรือไม่?!”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะหึหึ ถูมือเอ่ยว่า “มีหรือไม่มี ข้าไม่ใช่คนตัดสินใจสักหน่อย”
อวี๋เชี่ยนเยว่หันหน้ามาถลึงตามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่คิดเพ้อเจ้อด้วยสายตาเดือดดาล
หลิวเสี้ยนหยางรู้ใจโดยพลัน รีบหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “สตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหนแต่หากไม่มีวัตถุดิบก็ยากจะปรุงอาหารเลิศรสได้ น้องชุยโปรดอภัยด้วย”
จากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “มีธุระจะปรึกษาหรือ?”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อ “เปล่าหรอก ก็แค่มาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ เมล็ดแตงบนภูเขาเหลือไม่เยอะแล้ว นี่ข้าก็ได้รับโองการจากผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาให้ลงจากภูเขามาช่วยซื้อไม่ใช่หรือ หึ จากราคาที่หมี่ลี่น้อยบอกมา ไม่แน่ว่าข้าอาจได้กำไรมาเล็กน้อยด้วย”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เงินของหมี่ลี่น้อย เจ้าก็กล้าหลอกเอามาด้วยหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจแล้ว เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่จงใจมอบเงินค่าเดินทางให้ข้าเป็นรางวัลต่างหาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!