หากมีเพียงแค่จำนวนของผู้ฝึกลมปราณเผ่าปีศาจที่เพิ่มมากขึ้นดุจน้ำพุพรั่งพรูก็ยังว่าง่าย ปัญหาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คือบุคคลที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีศักยภาพสูงที่สุด มีความทะเยอทะยานสูงที่สุดและสันดานดิบที่ชอบการเข่นฆ่ามากที่สุดในบรรดาหลายๆ ใต้หล้า ฆ่าแกง กลืนกิน รุกราน ปล้นชิง…แสวงหาความแข็งแกร่งส่วนบุคคลอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่ต้องการพันธนาการใดๆ
หากพูดถึงแค่ศักยภาพในการจับขู่เข่นฆ่ากันระหว่างบินทะยาน ไม่ใช่เพียงแค่ใต้หล้าไพศาลที่เจอความยากลำบากมาอย่างเต็มกลืน มิอาจต่อกรกับเปลี่ยวร้างได้ ใต้หล้ามืดสลัวและดินแดนพุทธะสุขาวดีเองก็ไม่ต่างกัน
ราวกับว่าในสายตาของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เก้าทวีปในไพศาล มีผู้ฝึกตนบนยอดเขาสูงสุดอย่างพวกเจิ้งจวีจง จ้าวเทียนไล่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหริน ฯลฯ เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น ทุกครั้งที่พูดถึง เกินครึ่งจะต้องเพิ่มคำว่า ‘ถึงกับ’ (แสดงถึงการคาดคิดไม่ถึง) เข้าไปด้วย
และตอนที่สิงกวานหาวซู่ได้ยินลู่เฉินเล่าให้ฟังถึงศึกที่นครเซียนจาน เจ้านครเสวียนผู่ถึงกับตายดับในเวลาเพียงแค่ก้านธูปเดียว เขาก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน
ไม่กล้าเชื่อว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มรรคกถาเละเทะเช่นนี้ได้
หนันกวงจ้าวที่เป็นผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลซึ่งเป็นขอบเขตบินทะยานเช่นเดียวกัน ถูกหาวซู่ตัดหัวที่หน้าประตูภูเขาสำนักของตัวเอง แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้ สิงกวานท่านนี้ไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
สำหรับเรื่องของการฝึกตน เว้นจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ผู้ฝึกตนบนยอดเขาจะไม่จงใจหลบเลี่ยงการเข่นฆ่า การประลองเวทคาถา แต่สิ่งที่แสวงหาบนมหามรรคา ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นการอยู่ร่วมกับฟ้าดินไม่เสื่อมสลาย
ทว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่านับตั้งแต่ที่เผ่าปีศาจถือกำเนิดมา เพื่อการดำรงอยู่ของตัวเองแล้วก็ยินดีให้เกิดความพินาศวอดวายกับทุกเรื่องเว้นจากเรื่องส่วนตัวอย่างไม่รู้สึกเสียดาย การฝึกตน การหลอมเรือนกาย การไต่ขอบเขตทั้งหมดก็เพียงแค่เพื่อการเข่นฆ่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไขว่คว้าฉกฉวยมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พูดง่ายๆ ก็คือมีชีวิตอยู่จำต้องกิน ฝึกตนก็เพื่อขยายท้องให้ใหญ่มากกว่าเดิม ทุกครั้งที่เดินขึ้นสู่ที่สูงก็จะสามารถกินสรรพชีวิตในฟ้าดินได้มากกว่าเดิม
หากยังมีปีศาจใหญ่ที่ตั้งใจบุกเบิกทางลัดเดินขึ้นเขาสายหนึ่ง นำพาเผ่าปีศาจเดินไปบนทางเส้นนี้
ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าทั้งหลายก็จะถูกหอบมารวมกัน ไฟสงครามลุกลาม สรรพชีวิตมอดม้วย และความตั้งใจเดิมในการสร้างตำหนักอิงหลิงของชูเซิงก็เพื่อให้ขอบเขตสิบห้า ยกตัวอย่างเช่นป๋ายเจ๋อ นำพาขอบเขตสิบสี่สิบกว่าคน รวมไปถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอีกจำนวนมาก พยายามรวบรวมโลกมนุษย์มาไว้ในใต้หล้าแห่งเดียว
หากป๋ายเจ๋อเป็นขอบเขตสิบห้า ต่อให้ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่จะเป็นพวกพยศยากกำราบแค่ไหน ก็ต้องยอมฟังคำสั่งของป๋ายเจ๋ออย่างว่าง่าย
ถึงเวลานั้นภายใต้การนำพาของป๋ายเจ๋อก็จะสามารถเปิดประตูใหญ่ที่เชื่อมโยงใต้หล้าสองแห่งออกได้อย่างง่ายดาย จับมือกันเดินทางไกล บุกทะลวงเข้าไปเข่นฆ่าในใต้หล้าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กลืนกินไปอย่างช้าๆ
ดังนั้นแท้จริงแล้วชูเซิงจึงเคยมาหาป๋ายเจ๋อเป็นการส่วนตัว ยินดีจะเคารพป๋ายเจ๋อเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจ หวังว่าป๋ายเจ๋อจะนำพาเผ่าปีศาจเดินขึ้นสู่ยอดสูง
เพราะป๋ายเจ๋อได้ครอบครองวิชาอภินิหารฟ้าประทานบทหนึ่ง นั่นคือควบคุมชื่อจริงของเผ่าปีศาจทั้งหมดในใต้หล้า! ไม่มี? ง่ายมาก ป๋ายเจ๋อจะตั้งชื่อให้เจ้าโดยตรง
น่าเสียดายก็แต่ป๋ายเจ๋อปฎิเสธไป
ภายหลังก็เป็นการถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ที่เฉินชิงตูเป็นผู้นำ
จากนั้นต่อมาชูเซิงที่เพื่อหลบหนีมรรคาจารย์เต๋าก็จำต้องเดินทางไกลออกไปนอกฟ้า
เพราะขอแค่เจรจากันไม่สำเร็จ ผู้ฝึกตนนับพันนับหมื่นของใต้หล้ามืดสลัวจะต้องเหมือนฝนกระหน่ำที่เทลงมาจากฟากฟ้า พากันหล่นร่วงลงมายังพื้นดินของเปลี่ยวร้าง
ในบรรดาบรรพจารย์สามลัทธิ เป็นที่รู้กันโดยทั่วกันว่ามรรคาจารย์เต๋านิสัยแย่ที่สุด ต่อสู้เก่งที่สุด
ในสงครามที่ไม่มีการบันทึกไว้ครานั้น ก็เป็นนักพรตที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นที่กายธรรมตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน ในมือลากเอาเรือนกายใหญ่โตมโหฬารของบุรพาจารย์สำนักการทหารขว้างใส่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “จงใจปล่อยสำนักจิ่วเฉวียนและมหาบรรพตชิงซานไป ไม่ได้เปิดฉากเข่นฆ่าครั้งใหญ่เหมือนตอนอยู่ที่นครป่ายฮวา นครเซียนจาน ลำคลองเย่ลั่วและภูเขาทัวเยว่ พวกฉีถิงจี้เองก็ทำตามด้วย นอกจากตอนที่ลู่จือดื่มเหล้าอยู่ที่สำนักจิ่วเฉวียนแล้วมีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่เห็นสตรีแล้วเกิดความคิดชั่วร้าย จึงถูกนางฆ่าตายไป นอกจากนี้ทั้งสองสถานที่ต่างก็ไม่มีคลื่นมรสุมอะไร”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานคนสุดท้ายผู้นี้ยังใจอ่อนไปหน่อย”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเฝ่ยหรานเคยเอ่ยความในใจประโยคหนึ่ง บอกว่าบนภูเขาและล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลถูกเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เงียบงันทั้งหลายปกป้องไว้เป็นอย่างดี
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่เคยไปเยือนนอกฟ้าย่อมมีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใต้หล้าทุกแห่งก็คล้ายเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เดินทางไกลไปในจักรวาลว่างเปล่า
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดขึ้นเรือลงเรือ ไปๆ มาๆ
ป๋ายเจ๋อคล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงพลันเอ่ยว่า “การประชุมก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่ศาลบุ๋น ตอนนั้นข้าได้ยินหลินจวินปี้ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นของคฤหาสน์หลบร้อนคุยเล่นกับสหายอยู่หน้าประตู มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ ข้าต้องเอามาทดสอบเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสักหน่อย”
เฉินชิงตูหัวเราะเสียงเย็นชา “หยุดเลย”
ป๋ายเจ๋อกลับพึมพำกับตัวเองว่า “หลินจวินปี้บอกว่าในอดีตตอนอยู่คฤหาสน์หลบร้อน เฉินผิงอันเคยถามคำถามข้อหนึ่ง เหตุใดกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงสามารถตั้งตระหง่านอยู่มาได้เป็นหมื่นปีโดยที่ไม่ล้มลง หลินจวินปี้จึงเอาคำถามข้อนี้มาถามสหาย”
เฉินชิงตูขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เพราะผู้ฝึกกระบี่ต่อสู้ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ต่อยตีได้เก่งที่สุดหรอกหรือ?”
ป๋ายเจ๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูท่าแล้วเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คงเข้าไปในคฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้เหมือนกันสินะ”
เฉินชิงตูหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
ป๋ายเจ๋อให้คำตอบ
“ไม่ไพศาล”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง พยักหน้าเบาๆ
เพียงแค่สามคำ แต่กลับสามารถปลอบใจคนแก่คนหนึ่งได้ดียิ่งกว่าถ้อยคำไพเราะสละสลวยใดๆ
ป๋ายเจ๋อถอนหายใจ “จะจากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้น? ยังต้องตีฆ้องร้องป่าวด้วยหรือ?”
แล้วนับประสาอะไรกับที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดินมานับหมื่นปีก็คือสุสานที่ดีที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ นอนหลับยาวนานอยู่ที่นี่ ไม่มีทางเงียบเหงา
หลังจากนี้การส่งกระบี่ต่อโลกมนุษย์ของผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ในนครบินทะยานทุกครั้ง ก็คือการเซ่นสุราไกลๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อหน้าหลุมศพ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!