ภูเขาลั่วพั่ว
อากาศสดชื่นปลอดโปร่ง ในลานบ้านของเรือนหลังหนึ่งแทบไม่มีที่ให้วางเท้า ตะแกรงไม้ไผ่สานขนาดใหญ่ไร้ตาหลายชิ้น ที่โกยผงจากกิ่งหลิวสานอีกหลายใบ ล้วนเอาพริกแดงมาแผ่ตากแดดให้แห้ง มองไปเห็นแต่สีแดงสดใส
ในระเบียงใต้ชายคา จูเหลี่ยนเอนกายนอนบนเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง หลับตาทำสมาธิ โบกพัดใบลานเบาๆ
วันนี้เฉินยวนจีเดินนิ่งบนเส้นทางภูเขาเสร็จแล้วจึงมานั่งพักอยู่ที่นี่
นางชอบพูดคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าจู ไม่เพียงแค่เพราะจูเหลี่ยนเป็นคนพานางขึ้นเขา นำพาให้นางเดินไปบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธเท่านั้น บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ เฉินยวนจียังเห็นอาจารย์ผู้เฒ่าจูเป็นผู้อาวุโสที่ใกล้ชิดเหมือนญาติแท้ๆ เพียงหนึ่งเดียวด้วย
อาจารย์ผู้เฒ่ามักจะโน้มน้าวให้นางลงจากภูเขาบ่อยๆ กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ตัวจังหวัดบ้าง บอกว่าต่อให้จะถูกเร่งรัดให้แต่งงานก็ไม่ต้องหงุดหงิด ยิ่งไม่ต้องเห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นสถานที่ที่เอาไว้หลบซ่อนตัวเพื่อหาความสงบ
เรื่องบางอย่างหนีไม่พ้น ต่อให้หลบเรื่องที่ ณ เวลานั้นทำให้หงุดหงิดใจได้พ้น ก็หลบความเสียใจภายหลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ไม่พ้น
ความพยายามที่เปล่าประโยชน์ที่สุดในชีวิตคนก็หนีไม่พ้นการหวนคิดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจนั่นเอง
คนที่พเนจรไปต่างถิ่น คือว่าวกระดาษที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง มีเพียงความคิดในใจเท่านั้นที่จะกลายเป็นเชือกเส้นนั้น หากคนคนหนึ่งไม่มีความรักความผูกพันต่อคนในครอบครัวและบ้านเกิด ก็จะกลายเป็นว่าวตัวหนึ่งที่สายป่านขาดจริงๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นความสุขความทุกข์ การพบเจอการจากลาทั้งหลายก็ล้วนเป็นดั่งต้นหญ้าที่ขึ้นบนทุ่งกว้าง งอกงามโรยราล้วนขึ้นอยู่กับฟ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง อาจารย์ผู้เฒ่ายังบอกด้วยว่าเฉินยวนจีนั้นถือว่าโชคดีแล้ว ได้อยู่ใกล้บ้านเกิดขนาดนี้ อยากกลับบ้านก็แค่เดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่อยู่ใกล้ก็มีความน่าหงุดหงิดใจของคนอยู่ใกล้
การที่เฉินยวนจีชอบพูดคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าจู คงเป็นเพราะอาจารย์ผู้เฒ่าพูดจามีเหตุผล ไม่เคยวางมาดผู้อาวุโส ไม่เคยบังคับให้ผู้เยาว์ต้องรับฟังเหตุผลของเขาอย่างเดียวเท่านั้น
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “ยวนจี เดินนิ่งมาหลายปีแล้ว สะสมหมัดได้เท่าไรแล้ว”
เฉินยวนจีตอบ “หากนับถึงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ก็ได้สองล้านหมัดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้นับอีก”
จูเหลี่ยนถามอีก “ทำไมถึงไม่นับแล้วล่ะ? เพราะรู้สึกว่าจำเรื่องนี้ไปก็ไม่มีความหมาย หรือว่าจู่ๆ ก็ลืมนับไป หลังจากนั้นก็เลยคร้านจะนับอีก?”
เฉินยวนจีตอบตามสัตย์จริง “หากจงใจจำเรื่องนี้ก็ง่ายที่จะเสียสมาธิยามฝึกหมัด ราวกับว่าฝึกหมัดก็เพียงแค่เพื่อนับจำนวนเท่านั้น”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ดีมาก คุณชายเคยพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าเมื่อไหร่ที่แม่นางเฉินไม่จงใจจดจำจำนวนครั้งที่ตัวเองปล่อยหมัดออกไปก็เป็นเวลาที่วิชาหมัดของนางได้เดินเข้าห้อง (เปรียบเปรยถึงการมีความชำนาญ) แล้ว”
เฉินยวนจีกล่าว “พรสวรรค์ในการเรียนหมัดของเจ้าขุนเขาดีกว่าข้ามากจริงๆ”
นางจำต้องฝืนใจยอมรับเรื่องนี้
จูเหลี่ยนถาม “แล้วยังมีอะไรอีก?”
เฉินยวนจีส่ายหน้าอย่างซื่อตรง “ไม่มีแล้ว”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “คนนี่นะ ต่างก็ชอบคนที่ชอบ รังเกียจคนที่รังเกียจ”
พูดให้อ้อมค้อมไปอย่างนั้นเอง
แต่เฉินยวนจีก็ไม่ได้โง่ นางย่อมฟังเข้าใจ
เฉินยวนจีอธิบายว่า “ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าขุนเขาเฉิน เขาเป็นคนดีมาก ก็แค่ว่าภาพจำครั้งแรกค่อนข้างแย่ไปสักหน่อย จึงทำให้ชอบเขาไม่ลงจริงๆ ภายหลังอยู่บนภูเขา ข้าก็ไม่ค่อยสนใจเจ้าขุนเขาสักเท่าไร แต่อันที่จริงแล้วก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าเจอหน้ากันแล้วควรจะพูดอะไร”
“เข้าใจได้”
จูเหลี่ยนพยักหน้า “ยวนจี บอกตามตรง สำหรับเส้นทางการเรียนวิชาหมัดของเจ้า เจ้าขุนเขาล้วนเห็นดีในตัวเจ้ามากมาโดยตลอด หากไม่เป็นเพราะรู้ดีว่าเจ้าจะไม่มีทางตอบตกลง แล้วยังกังวลว่าเจ้าคิดจะมากไปถึงเรื่องที่ไม่มีจริงเหล่านั้น คุณชายก็อยากรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดด้วยซ้ำ อืม ก็เหมือนจ้าวซู่เซี่ยนั่นและ การเห็นดีของคุณชายที่ว่านี้ ไม่ใช่รู้สึกว่าเจ้าหรือจ้าวซู่เซี่ย ในอนาคตจะต้องมีผลสำเร็จด้านการเรียนวรยุทธสูงสักเท่าไร ก็แค่รู้สึกว่าผู้ฝึกยุทธบนภูเขาลั่วพั่วแบ่งได้เป็นสองประเภทเท่านั้น หนึ่งอยู่ที่วิชาหมัด หนึ่งอยู่ที่ใจ ฝ่ายแรกนั้นปณิธานหมัดอยู่บนร่าง เข้าใจสัจธรรมแห่งหมัด เรียนรู้วิชาหมัดได้อย่างรวดเร็ว ส่วนฝ่ายหลังเมื่อเทียบกันแล้วจะไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไร แต่มีความยืนหยัดด้วยจิตใจอันแน่วแน่ ไม่สนใจความคิดและสายตาของผู้อื่น”
เฉินยวนจีรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางอืมรับเบาๆ “ความคิดของเจ้าขุนเขาดีมากเลย”
เฉินยวนจีนั่งอยู่ด้านหลังเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งที่วางไว้ข้างระเบียงทางเดิน จูเหลี่ยนที่ถือพัดใบลานอยู่ในมือจึงโบกมือเป็นวงกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย
ใบหน้าจูเหลี่ยนประดับยิ้ม พึมพำเอ่ยว่า “ต้นหลิวที่จุดพักม้าส่ายใบเหลือง ต้นท้อริมลำน้ำแตกใบเขียว คนเหมือนภูเขาเขียวใจเหมือนสายน้ำ ขุนเขาเขียวยังสามารถตั้งตระหง่านดุจสายพิณ ยังมีที่มาที่ไป ชีวิตคนเดียวดาย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไยจะไม่ใช่ความเจ็บปวด”
แค่ฟังเฉินยวนจีก็สัมผัสได้ถึงความเสียใจอ่อนจาง
จูเหลี่ยนหันหน้ามายิ้มเอ่ย “หยวนเป่าชอบเฉาฉิงหล่าง ใช่ไหม?”
เฉินยวนจีกลั้นยิ้ม พยักหน้าตอบ “นางชอบเฉาฉิงหล่างมาก ก็แค่ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดอย่างไร เอาเป็นว่าทุกครั้งที่เฉาฉิงหล่างอ่านหนังสืออยู่หน้าประตู หยวนเป่าจะต้องจงใจเดินเร็วๆ รีบร้อนหมุนตัวเดินขึ้นเขาฝึกหมัดต่อเสมอ”
จูเหลี่ยนเอ่ยต่ออีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเด็กหยวนไหลแอบชอบเจ้า เจ้าเองก็แอบรู้เหมือนกันใช่ไหม?”
เฉินยวนจีหน้าแดงเรื่อ “รู้น่ะรู้ แต่ข้าไม่ชอบเขานี่นา”
จูเหลี่ยนวางพัดใบลานลง เอ่ยเสียงเบา “คนที่เคยเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ยากจะถูกน้ำของที่อื่นดึงดูดได้ ผู้ที่ลุ่มหลงในรักไปแล้วก็ยากที่จะถูกรักอื่นชักนำไป”
“ความสุขความทุกข์ของความรักชายหญิง ก็แค่ว่าคนในความคิดกลายมาเป็นคนในความทรงจำ หรือไม่ก็คนในใจกลายไปเป็นคนข้างหมอนแล้ว”
หากเป็นเฉินยวนจี ต่อให้จะเป็นคำพูดแบบเดียวกัน แต่ออกมาจากปากของอาจารย์ผู้เฒ่าจูกับออกมาจากปากของเจิ้งต้าเฟิง กลับยังคงมีความหมายที่ไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งคือผู้เฒ่าใจดีมีเมตตาที่มากประสบการณ์ อีกหนึ่งคือคนเสเพลหยาบช้าที่ไม่รู้จักควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี โชคดีที่เจิ้งต้าเฟิงนับว่ามีแค่ความคิดของโจรแต่ไม่มีความกล้าพอจะเป็นโจร ไม่เคยมือไม้ยุ่มย่ามกับนาง
เฉินยวนจีพลันเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาออกเดินทางไกลอีกแล้วหรือ”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที เอ่ยเนิบช้าว่า “คนคนหนึ่งยุ่งมาก วิถีทางโลกก็จะได้มีเวลาว่าง”
……
ลูกจ้างและเถ้าแก่ในสองร้านของตรอกฉีหลง จำนวนคนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สือโหรวตัวแทนเถ้าแก่ของร้านยาสุ้ย โจวจวิ้นเฉินที่มีฉายาว่าอาหมาน ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมีเด็กชายผมขาวที่ชื่อว่าคงโหวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ตัวแทนเถ้าแก่ของร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันคือนักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร นอกจากอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่ง ซึ่งลูกศิษย์คือจ้าวเติงเกากับเถียนจิ่วเอ๋อร์แล้ว ยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ชื่อชุยฮวาเซิงมาเพิ่ม นางบอกว่าตัวเองเป็นน้องสาวของชุยตงซาน ทำเอาเฉินหลิงจวินขำเกือบตาย
วันนี้เฉินหลิงจวินคุยเล่นกับน้องป๋ายที่ศาลาเสร็จก็เดินเตร็ดเตร่มาถึงเมืองเล็ก เดินก้าวอาดๆ เข้าไปในร้านยาสุ้ยก็พูดกลั้วหัวเราะทักทายเสียงดัง “น้องสาวคงโหว!”
คงโหวที่ถูกเฉินหลิงจวินเรียกอย่างสนิทสนมว่าน้องสาวก็คือเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชาย คู่รักของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู
เด็กชายผมขาวยังเป็นแค่ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกของภูเขาลั่วพั่วชั่วคราว จึงมาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้าน
มันตั้งฉายาให้กับตัวเองว่าคงโหว (เครื่องสายโบราณชนิดหนึ่งของจีน)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!