นักพรตเฒ่ารีบลุกขึ้นยืนทันใด “ข้าจะพาจิ่วเอ๋อร์และฮวาเซิงไปรอที่เรือนด้านหลังเดี๋ยวนี้ แล้วจะแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้คุมกฎทราบอย่างลับๆ”
เฉินหลิงจวินพยักหน้า สวมรองเท้าแล้วเดินไปที่หน้าประตูร้านเพียงลำพัง ใช้เสียงในใจเตือนสือโหรวว่าให้ระวังตัวหน่อย ดูแลคงโหวกับอาหมานให้ดี ต่อจากนี้ไม่ว่าจะมีความเคลื่อนไหวอะไรก็อย่าโผล่หน้าไปเด็ดขาด
แขกสามคน ชายสองหญิงหนึ่ง ต่างก็เป็นแปลกหน้า
คนหนึ่งคือบุรุษรูปโฉมอ่อนเยาว์ บุคลิกสุภาพสง่างาม อีกคนหนึ่งคือบุรุษที่เรือนกายแกร่งกำยำ มีกลิ่นอายของคนโบราณ สะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้ายหนักอึ้งไว้บนไหล่เอียงๆ
และยังมีสตรีเรือนกายสูงโปร่งคนหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นสาวงามอะไร แต่บุคลิกองอาจผึ่งผาย ตรงเอวของนางห้อยดาบยาวด้ามไม้ป๋ายหยางเล่มหนึ่ง
คนทั้งสามเดินลงมาจากยอดบนสุดของบันไดตรอกฉีหลง สตรีใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สถานที่แห่งนี้มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นจริงๆ ปราณมังกรก็หนาแน่น ผิดจากปกติทั่วไป มิน่าเล่าตอนนั้นอาจารย์ถึงได้มาหยุดอยู่ที่นี่”
ในอาณาเขตของหลงโจว นอกจากแม่น้ำเถี่ยฝูที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังมีแม่น้ำชงตั้น อวี้เย่และซิ่วฮวาสามสายมาบรรจบกันที่เมืองหงจู๋
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้หยางฮวาเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูได้ย้ายไปรับหน้าที่อยู่ที่ลำน้ำใหญ่แล้ว
คนหนุ่มยิ้มเอ่ย “สหายหลิงจวิน”
เฉินหลิงจวินถามอย่างสงสัย “เจ้าคือ?”
คนหนุ่มยกมือปาดไปบนใบหน้าหนึ่งที ถอนเวทอำพรางตาทิ้งไป เผยให้เห็น ‘โฉมหน้าดั้งเดิม’ อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้
เฉินหลิงจวินยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็คืออาจารย์ผู้เฒ่าเฉินนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
รู้จักอีกฝ่าย แต่ไม่ได้คบค้าสมาคมกันสักเท่าใด
ในอดีตอีกฝ่ายเคยทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้งช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้ยินมาว่าเป็นผีขี้เหล้าที่ติดเหล้าสุดชีวิต ภายหลังเขาออกเดินทางไกลไปที่อื่น เนื่องจากชื่อเสียงไม่โด่งดัง ความสามารถในการสอนหนังสือก็ธรรมดา ทางโรงเรียนจึงไม่มีใครสนใจเขา
เพราะตอนเด็กเผยเฉียนเคยไปเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน เฉินหลิงจวินไม่วางใจจึงมักจะแอบไปนั่งยองบนหัวกำแพง เคยเห็นอาจารย์ผู้เฒ่าอยู่สองสามครั้ง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชื่อว่าเฉินเจินหรง ฟังห่านขาวใหญ่เล่าว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจากต่างถิ่นคนนี้มาจากทักษินาตยทวีป มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับอริยะหร่วนฉง
คนสองคนที่อยู่ข้างกายของอาจารย์ผู้เฒ่าเริ่มแนะนำตัวเอง ชายฉกรรจ์เรียกตัวเองว่าลั่วซานมู่เค่อ ฉายาว่าซงจือ
สตรีคลี่ยิ้มจริงใจ เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าชื่อฉินปู้อี๋ เป็นคนของเมืองถงหลงแห่งแผ่นดินกลาง”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความปวดกบาล มู่เค่ออะไร ถงหลงอะไรกัน จะทำให้นายท่านใหญ่เฉินสับสนอย่างนั้นหรือ? หากนายท่านอยู่ก็ดีน่ะสิ ตนไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไรเลย
ความคิดพลันบังเกิด เฉินหลิงจวินจึงตะโกนเรียก “พี่ใหญ่เจี่ย มีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนที่ร้านแล้ว”
นักพรตเฒ่าตาบอดรีบวิ่งห้อออกมารับรองแขกอย่างกระตือรือร้นทันใด พอดีกับที่มีโต๊ะสุราอยู่ เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเฉินหลิงจวิน
นอกจากลั่วซานมู่เค่อที่พูดไม่เก่ง แต่กลับดื่มเหล้าไม่น้อยแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าเฉินและฉินปู้อี๋ต่างก็เป็นคนเปิดเผย พูดจาตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยใคร่ครวญในใจพลางยิ้มดื่มสุราคารวะไม่หยุด เพียงไม่นานก็มั่นใจได้แล้ว ที่แท้บุรุษเงียบขรึมที่มีฉายาว่าซงจือก็เพิ่งเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้ คิดจะมาเป็นร้านผ้าห่อบุญที่ภูเขาหนิวเจี่ยวสักครั้ง ส่วนฉินปู้อี๋นั้นได้ยินว่าภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่เยอะ แล้วยังมีปรมาจารย์ที่ได้รับการประเมินด้านวิถีวรยุทธอยู่ด้วย ไม่ได้คิดจะมาเพื่อขอความรู้ประลองฝีมืออะไร นางก็แค่รู้สึกสนใจอย่างมาก อยากรู้ว่าจะขึ้นไปเดินเล่นบนภูเขาได้หรือไม่
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ยาก แค่ต้องบอกกล่าวกับทางภูเขาลั่วพั่วก่อน แล้วก็ถือโอกาสชมภูเขาของตัวเองไปคำรบใหญ่ บอกว่าอากาศดี แมกไม้พืชพรรณเขียวขจีมองสบายตา ทัศนียภาพงดงามยิ่ง ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็มีมากมาย แต่กลับไม่กล้าพูดคำว่าที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าเป็นย้ายหวังขายแตง (มาจากประโยคยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง เปรียบเปรยถึงคนคุยโวโอ้อวด)
ฉินปู้อี๋ยิ้มถาม “เถ้าแก่เจี่ย ขอถามหน่อยว่าเจ้าขุนเขาของพวกเจ้าเป็นคนอย่างไรหรือ”
เจี่ยเฉิงจิบเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มตอบ “พูดถึงเจ้าขุนเขาของพวกเราหรือ ถ้าอย่างนั้นผินเต้าคงมิอาจถ่อมตัวได้แล้ว อบอุ่นอ่อนโยนพูดจาไพเราะ ประพฤติตนเที่ยงตรงปรองดองกับผู้อื่น”
อาจารย์ผู้เฒ่าที่ชื่อจริงคือเฉินหรงหลุดหัวเราะพรืด
นี่ถือเป็นคำชมเชยที่สูงจนเกินกว่าจะปีนป่ายได้แล้ว
ฉินปู้อี๋ยิ้มถาม “นักพรตเจี่ยเลื่อมใสอาจารย์หนันเฟิงมากหรือ?”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความมึนงง
เจี่ยเฉิงวางถ้วยเหล้าลง ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ที่ไหนกัน อันที่จริงเจ้าขุนเขาบ้านข้าชอบบทความของอาจารย์ผู้เฒ่าเฉิงอย่างมาก แล้วยังแนะนำให้ข้าอ่านบ่อยๆ ด้วย บอกว่ายิ่งความเรียงปกิณกะของอาจารย์หนันเฟิงก็ยิ่งเขียนร้อยเรียงกันได้อย่างสวยงาม มีเหตุมีผล เปี่ยมไปด้วยความหมาย มองปราดๆ คล้ายไม่โดดเด่น แต่แท้จริงแล้วกลับมีความนัยชวนให้ขบคิด”
ฉินปู้อี๋ยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าขุนเขาเฉินของพวกเจ้าจะชื่นชอบเฉพาะบทความของอาจารย์หนันเฟิง ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”
เมื่อเทียบกับพวกป๋ายเหย่ ซูจื่อและหลิ่วชีแล้ว ความเรียงปกิณกะของอาจารย์เฉิงก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าจริงๆ
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยรีบยิ้มอธิบายทันใด “ก็ไม่ถือว่า ‘เฉพาะ’ เพียงแค่ว่าเมื่อเทียบกันแล้วชอบมากกว่า ในเรื่องของการศึกษาหาความรู้ แท้จริงแล้วเจ้าขุนเขาบ้านข้าเชิดชูในคำกล่าวที่ว่า ‘แค่เปิดอ่านก็ได้ผลประโยชน์’ มากที่สุด เจ้าขุนเขายังเคยยิ้มเอ่ยกับข้าว่า เพียงแค่เพราะตอนเด็กฐานะทางบ้านยากจน จึงไม่เคยไปเรียนหนังสือในโรงเรียน เป็นเหตุให้บนเส้นทางการฝึกตนในภายหลังมักจะต้องออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลเสมอ ก็เลยได้ใช้หนี้อ่านตำราส่วนนั้นให้ครบถ้วนได้พอดี”
ฉินปู้อี๋กับชายฉกรรจ์เงียบขรึมที่เรียกตัวเองว่าลั่วซานมู่เค่อหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
ถือเป็นงานเลี้ยงสุราที่พูดคุยกันอย่างเบิกบาน เฉินหรงที่มีชาติกำเนิดมาจากสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปพาสหายรักสองคนไปหาโรงเตี๊ยมพักแรมก่อน รอคอยข่าวจากทางภูเขาลั่วพั่ว
ทุกครั้งที่เจอกับคนแปลกหน้า เฉินหลิงจวินมักจะกลัดกลุ้มอยู่เสมอ
โชคดีที่ยังมีพี่ใหญ่เจี่ยที่พึ่งพาได้มากที่สุด นอกโต๊ะสุรา ไม่ว่าเจอใครก็ล้วนไม่หวั่นกลัว
ในอดีตตอนที่เว่ยเซี่ยนผ่านทางมาที่ตรอกฉีหลงพร้อมกับหลูป๋ายเซี่ยง ได้มานั่งอยู่ที่นี่พักหนึ่ง พี่ใหญ่เจี่ยเจอกับเว่ยเซี่ยนกลับขลาดกลัวเสียได้ ภายหลังเผยเฉียนเป็นคนเปิดเผยความลับถึงได้รู้ว่าตัวเองสร้างเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า รู้ว่าคำว่าคอแข็ง ‘ดื่มได้เท่าน้ำในมหาสมุทร’ ของเว่ยเซี่ยนนั้น ที่แท้แล้วเป็นสุราปริมาณเท่าใด
เดินไปส่งตลอดทางจนสุดตรอกฉีหลง ตอนที่ย้อนกลับมาที่ร้าน เฉินหลิงจวินก็กระโดดตบไหล่พี่ใหญ่เจี่ย “คุยกันได้ไม่เลว”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยลูบหนวดยิ้ม “เรื่องอย่างการต้อนรับขับสู้ผู้คนนี้ เอ่ยประโยคที่ไม่ถ่อมตัว ไม่กล้าพูดว่ามีความสามารถครึ่งหนึ่งของเจ้าขุนเขา แต่สองสามส่วนกลับยังพอมีอยู่บ้าง”
ผู้คุมกฎฉางมิ่งที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะเดินลงมาจากขั้นบันไดของตรอกฉีหลงช้าๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มประดับ
สตรีผู้นี้มักจะยิ้มตาหยีอยู่ตลอดทั้งปี แต่ไม่มีใครคิดว่านางเป็นคนพูดง่ายจริงๆ แม้แต่อาหมานร้านข้างๆ ที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เจอกับฉางมิ่งก็ยังสิ้นท่า ยอมเป็นเจ้าใบ้น้อยไปแต่โดยดี
คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของฉางมิ่งวันนี้จะเผยความจริงใจออกมาให้เห็น เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่ตกตะลึงเพราะได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝันไม่กล้าหลงระเริง รีบก้มหัวค้อมเอว สองมือโบกเบาๆ ไปทางนอกประตู จากนั้นขยับเท้าเบี่ยงตัวหันข้าง ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา คลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ผู้คุมกฎเชิญด้านใน เชิญด้านใน”
ฉางมิ่งเอนตัวพิงประตู ผงกศีรษะให้กับนักพรตเฒ่าตาบอด จากนั้นค่อยเอ่ยกับเฉินหลิงจวินว่า “คนกลุ่มนี้ เกินครึ่งคงมาเพราะเจ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!