ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยว่า “ชื่อติดกุ้ยป่าง (กระดานประกาศผลสอบระดับมณฑล) ดื่มสุรางานเลี้ยงลู่หมิง” (งานเลี้ยงสำหรับผู้ที่สอบติดระดับเคอจวี่)
“รู้ได้อย่างไร? หรือว่าอาจารย์ผู้เฒ่าดูดวงเป็นด้วย?”
“ดูดวงหรือ ก็พอจะเป็นอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าอริยะปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องของการดูดวง คนโบราณไม่ทำเรื่องแบบนี้ คนมีความรู้ก็ดูแคลนที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
บุรุษอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น โบกตำราอริยะที่เพิ่งจะถูกยกเลิกคำสั่งห้ามมาได้ไม่นานเล่มที่อยู่ในมือ “มีเหตุผล มีเหตุผล คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “นั่นสิ นั่นสิ คิดไม่ถึงว่าสายตาของคนหนุ่มจะเฉียบแหลมเช่นนี้”
บุรุษม้วนตำราเล่มนั้น กุมหมัดเขย่า “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้สมพรปากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วกัน ขอแค่สอบผ่านระดับมณฑล ข้าจะเลี้ยงเหล้าอาจารย์ผู้เฒ่าเอง”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
บุรุษเก็บตำราสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่ายังยิ้มมองมาที่ตนก็ตบหัวตัวเองหนึ่งที เอ่ยอย่างคนที่เพิ่งจะเข้าใจ “เกือบจะลืมบอกกับอาจารย์ผู้เฒ่าไปแล้ว ข้าชื่อหลูหลิงชาง วันที่ประกาศผลสอบ หากสอบติดเป็นจวี่เหริน ข้าจะมาตั้งกระดานหมากรออาจารย์ผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ หากสอบไม่ติดก็คงต้องกลับบ้านเดิมไปโดยตรงแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “น้องหลู ขอให้ข้าพูดมากสักคำสองคำ รูปโฉมดีร้ายไม่ใช่ตัวกำหนดโชคดีหรือโชคร้าย ความสามารถสูงก็มิควรอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน”
หลูหลิงชางพยักหน้ายิ้มรับ แต่ก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร รอให้ข้าผู้อาวุโสสอบติดจวี่เหรินแล้วค่อยสอบจิ้นซื่อ ในอนาคตได้เป็นขุนนางแล้วค่อยมาพูดกันถึงเรื่องคุณธรรมและความสามารถทัดเทียมกันอะไรนั่นก็แล้วกัน
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนขอตัวลา หลูหลิงชางนั่งยองอยู่บนพื้น เมื่ออาจารย์ผู้เฒ่าเดินออกไปได้สองสามก้าวแล้วหันหน้ากลับมามองอีกครั้ง บุรุษก็ยิ้มพลางโบกมืออำลา
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินจากไป
ลมเหนือพัดอากาศสกปรกจากไป ลมใต้พัดพาเสียงแห่งความตายมาเยือน อุปสรรคในชีวิตสร้างความทุกข์ให้ข้าอย่างแท้จริง
ยามเยาว์วัยไม่มานะ ยามแก่เฒ่ายังเกียจคร้าน ศึกษาหาความรู้ได้หนึ่งพลาดสิบ น้ำแข็งบนบกกับเมฆแข็งบนฟ้า แค่เห็นดอกเหมยสายตาก็จ้าแจ่ม
ซิ่วไฉเฒ่าเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งกลอน รู้สึกเพียงว่าเป็นบทกวีที่ดี ต่อให้น้องป๋ายเหย่มาอยู่ที่นี่ก็คงต้องข่มกลั้นความวู่วามที่อยากจะตบโต๊ะโห่ร้องชอบใจเลยกระมัง
ตรอกที่ตั้งของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ข้างกายหลี่ซีเซิ่งมีชุยซื่อเด็กรับใช้ติดตามมาด้วย พวกเขาพากันมาเที่ยวเยือนเมืองหลวงต้าหลี
ก่อนหน้านี้หลังจากที่หลี่ซีเซิ่งออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับมายังอุตรกุรุทวีป ก็ได้ไปศึกษาหาความรู้อยู่ในหอหนังสือที่แคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งนั้นต่อ จู่ๆ ก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาเยือนถึงบ้าน ภายหลังระหว่างที่หลี่ซีเซิ่งเดินทางลงใต้ก็ได้เจอกับนักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งและเจ้าอารามผู้เฒ่าคนหนึ่งพอดี
อันที่จริงการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในคราวนี้ สำหรับหลี่ซีเซิ่งแล้ว เขาออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋ากลับบันเทิงเริงใจอย่างมาก
ทุกวันนี้หลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแห่งไพศาลได้กลับมาเจอกับมรรคาจารย์เต๋าผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองอีกครั้ง สรุปแล้วควรจะก้มกราบคารวะแบบลัทธิเต๋าหรือควรจะประสานมือคารวะแบบลัทธิขงจื๊อดีเล่า?
ผลคือหลี่ซีเซิ่งก้มหัวกราบคารวะมรรคาจารย์เต๋าก่อน จากนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะ
หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็พาชุยซื่อมาที่เมืองหลวง หลักๆ แล้วเป็นเพราะก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวของที่นี่รุนแรงเกินไป หลี่ซีเซิ่งที่อยู่ไกลถึงอุตรกุรุทวีปก็ยังสัมผัสได้ทางจิต
กองทัพม้าเหล็กต้าหลี กล้าหาญไร้เทียมทาน
ใต้หล้าสะเทือนเลือนลั่นแต่ใจคนไม่พรั่นผวา
ด้านหน้าของตรอกเล็ก หลิวเจียเห็นบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อบุคลิกไม่ธรรมดายืนอยู่นอกตรอกเล็ก จากนั้นก็ขยับเท้าเดินเข้ามาในตรอก
ผู้ฝึกตนเฒ่ารีบหันไปมองลูกศิษย์ตัวเองทันที
เด็กหนุ่มใช้สายตาแทนคำตอบ ทำไมหรือ
ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นเขาหัวทึบก็ได้แต่ใช้เสียงในใจถามว่า “ควรจะขวางไว้หรือไม่?”
จ้าวตวนหมิงใช้เสียงในใจตอบ “เอาเป็นว่าข้าไม่รู้จักเขาก็แล้วกัน”
“แน่ใจรึ? ไม่ลองดูอีกทีก่อนหรือ?”
“อาจารย์ ไม่รู้จักจริงๆ”
“ภาพเหมือนของอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นมีเยอะขนาดนั้น เจ้าหนูเจ้าลองคิดดูให้ดีๆ อีกครั้ง เอาสายตาที่ลูกหลานสกุลจ้าวเทียนสุ่ยสมควรมีออกมาใช้หน่อย”
“อาจารย์ท่านไม่รู้สึกรำคาญบ้างหรือไร ข้าไม่รู้จักเขาจริงๆ ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด!”
“ตวนหมิง เจ้าสาบานสิ”
“อาจารย์ แค่พอสมควรก็พอแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์อาจารย์และศิษย์ระหว่างพวกเราสองคนจะจืดจางจริงๆ แล้วนะ”
หลิวเจียวางใจลงได้จึงเผยกาย ถามว่า “ใครกัน?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มตอบ “ข้าชื่อหลี่ซีเซิ่ง บ้านเกิดคืออำเภอไหวหวงจังหวัดหลงโจวต้าหลี”
หลิวเจียเอ่ยด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณี “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคนบ้านเดียวกับเฉินผิงอันสินะ ขอโทษด้วย เจ้าต้องหยุดเดินเสียตั้งแต่ตรงนี้”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ยังมีนักพรตเรือนกายสูงใหญ่มาเยือนคนหนึ่ง ข้างกายมีนักพรตเด็กหนุ่มที่เกินครึ่งน่าจะมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของเขาติดตามมาด้วย
พวกเขาเองก็เคยปรากฏตัวที่นี่ แต่ต้องหยุดเท้าอยู่นอกตรอกเล็ก หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กยืนเคียงบ่ากัน หันหน้ามามองในตรอกเล็กอยู่หลายที
แน่นอนว่าถูกหลิวเจียขวางเอาไว้แล้ว ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เช่นนั้น เหมาะสมแล้วหรือ
ในเมื่อเป็นคนของลัทธิเต๋า เขาเองก็มีภาระหน้าที่ติดตัว ยังต้องกลัวอะไร?
แล้วนับประสาอะไรกับที่นักพรตสองคนนั้นก็ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋าของลัทธิเต๋าสามสายแห่งป๋ายอวี้จิงอะไรด้วย
……
ในเรือนของเฉินหน่วนซู่แขวนปฏิทินเล่มหนึ่งและตารางแผ่นใหญ่ไว้หนึ่งแผ่น
และยังมีสมุดเล่มเล็กหนึ่งเล่ม หนึ่งปีหนึ่งเล่ม ทุกๆ วันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปีจะต้องเอามาเย็บรวมเข้าเล่ม สามร้อยหกสิบห้าหน้า หนึ่งวันหนึ่งหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!