เพราะถึงอย่างไรเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ปีนั้นจึงไม่รู้ถึงความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายจากการกระโดดหน้าผา ‘กระแทกพื้น’ ของเด็กสาว ยิ่งมิอาจเข้าใจระดับความสูงของวิชาหมัดที่ ‘ใช้เรือนกายอันบริสุทธิ์ถามหมัดกับพื้นดิน’ ได้
หลายปีมานี้คอยติดตามความเคลื่อนไหวของอาจารย์เฉินและกู้ช่านมาโดยตลอด รายงานขุนเขาสายน้ำของทางสำนักเจินจิ้งก็ไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่ฉบับเดียว เพียงแต่น่าเสียดายที่ทางฝั่งของอาจารย์เฉินไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ กลับเป็นกู้ช่านที่ปีนั้นหลังแยกกันที่หลงโจวก็ราวกับสะบัดร่างเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เปลี่ยนจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินมาเป็นลูกศิษย์ของนครจักรพรรดิขาวแห่งแผ่นดินกลาง ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักอีกด้วย!
สำหรับทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีผู้ฝึกตนอิสระมากมายแล้ว นครจักรพรรดิขาวแห่งนั้นอยู่ห่างไกล ทั้งยังสูงส่งจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง
ส่วนเจ้านครเจิ้งที่ถูกขนานนามให้เป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งบนวิถีมารก็ยิ่งเป็นบุคคลที่สูงส่งราวกับอยู่บนฟากฟ้า
ในอดีตเจิงเย่ที่อยู่บนเกาะชิงเสีย ขอแค่ได้พบเจอกับกู้ช่านก็จะต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น ภายหลังติดตามกู้ช่านออกเดินทางไปทั่วสี่ทิศ สถานการณ์ถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย ถึงท้ายที่สุดขอแค่อยู่ข้างนอกก็ถึงกับรู้สึกว่ามีเพียงอยู่ข้างกายกู้ช่านถึงจะรู้สึกสงบสบายใจได้หลายส่วน
หม่าตู่อี๋เคยเตือนเจิงเย่บอกว่า อันที่จริงกู้ช่านยังคงเป็นกู้ช่าน แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมาก กลายเป็นคนที่ทำอะไรตามระเบียบขั้นตอน ทำเรื่องดีที่ตัวเองมีความสามารถพอจะทำได้อยู่หลายเรื่อง ถึงขั้นที่ว่าหลายๆ เรื่องที่กู้ช่านเป็นคนลงมือทำยังทำให้คนอื่นรู้สึกสาแก่ใจ สะใจยิ่งกว่าเรื่องที่สมเหตุสมผลเสียอีก แต่ไม่อาจคิดว่าเขาเป็นคนดีเพราะเหตุนี้ได้
ส่วนข้อที่ว่าเจิงเย่จะฟังเข้าหูหรือไม่ หม่าตู่อี๋ไม่สนใจ นางแค่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง ขอแค่อาจารย์เฉินยังอยู่บนโลกมนุษย์ กู้ช่านที่อยู่บนภูเขาก็จะเปลี่ยนเป็น ‘ดียิ่งกว่าเดิม’
ต่อให้ในอนาคตกู้ช่านจะเดินถึงยอดเขาของไพศาลได้อย่างราบรื่น ในใจของกู้ช่านก็ยังคงมีบรรทัดฐานบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ดำรงอยู่อย่างยาวนาน
อันที่จริงเจิงเย่เคยเอ่ยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังสักเท่าไร แล้วก็ทำให้ในใจของหม่าตู่อี๋รู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไรปีนั้นก็ติดตามกู้ช่านออกเดินทางไปทั่วสารทิศ จะมากหรือน้อย หม่าตู่อี๋เองก็เกิดความสนิทใจกับกู้ช่านเช่นเดียวกัน พอจะถือว่าเป็นสหายได้ครึ่งตัวกระมัง
จำต้องยอมรับว่า อยู่ร่วมกับกู้ช่านแล้วทำให้คนวางใจจริงๆ
ก็เหมือนอย่างติดตามอาจารย์เฉินออกท่องยุทธภพที่แค่กินเปล่าอยู่เปล่าติดตามเขาไป ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันออกมาจากจวนจูเสียนของเกาะชิงเสีย มาถึงที่แห่งนี้ก็พบว่าเจ้าของเกาะอย่างเจิงเย่ฝึกตนอยู่ในห้อง จึงไม่ได้ไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเทพเซียนห้าขอบเขตกลางท่านนี้ หม่าตู่อี๋นั่งโล้ชิงช้าอยู่ในลานบ้านของตัวเอง
เขาจึงไปบนยอดเขาของเกาะเพียงลำพัง เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวรั้ว ดื่มเหล้าไปช้าๆ มองทะเลสาบซูเจี่ยนที่คล้ายจะเปลี่ยนมาเป็นไม่คุ้นเคยแห่งนี้
เจิงเย่เคยวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่นานหลายปี แต่ก็เพราะสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เฉินผิงอันเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง กลิ่นอายแห่งวีรบุรุษของฟ้าดิน ต่อให้ผ่านมานานพันปีหมื่นปีก็ยังทำให้คนสัมผัสได้ถึงพลานุภาพอันน่าเกรงขาม
เฉินผิงอันโยนกาเหล้าว่างเปล่าของเหล้าอีกาครวญใบหนึ่งลงไปในทะเลสาบ
ตอนนั้นผู้ที่นั่งล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น?
หากพูดถึงโต๊ะสุราน้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถูกต้องแล้ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งกา ก่อนจะไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองก็ได้เดินทางผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง
มองทัศนียภาพอันมืดมนหดหู่ตรงหน้า ยากจะจินตนาการได้ว่าที่นี่คือทะเลสาบหนันถังที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปของอดีต
น้ำในทะเลสาบแห้งขอด ว่ากันว่าถูกปีศาจใหญ่หย่างจื่อราชาบนบัลลังก์เก่าดูดน้ำในทะเลสาบไปจนเกลี้ยง ความสูงของระดับน้ำในทุกวันนี้ไม่ได้หนึ่งส่วนของในอดีตด้วยซ้ำ
เมื่อหลายปีก่อนที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ทัศนียภาพงดงามของแจกันสมบัติทวีป ‘กระท่อมไม้สวนดอกเหมยกลิ่นอายวสันต์เข้มข้น’ ของอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง เป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด ถูกผู้คนกล่าวขานกันว่าต้องกี่ชาติถึงจะฝึกฝนจนได้ระดับของดอกเหมยนั้น
อารามเต๋าพันปี ทุกครั้งที่ดอกเหมยผลิบาน เซียนซือต่างถิ่นและจักรพรรดิอัครเสนาบดี ขุนนางชนชั้นสูงและปัญญาชนผู้มีความรู้ รถม้าเคลื่อนขบวนมาไม่ขาดสาย ทิ้งบทกวีที่พร่ำรำพรรณถึงดอกเหมยไว้นับไม่ถ้วน
หลายปีมานี้พวกผู้ฝึกตนหญิงของอารามชิงเหมย นอกจากยอมสละปราณวิญญาณอย่างไม่เสียดายเพื่อร่ายวิชาน้ำอย่างเต็มกำลัง รวบรวมก้อนเมฆให้สายฝนโปรยปรายลงมา อีกทั้งหลายปีมานี้ยังต้องคอยยืมน้ำย้ายน้ำจากแม่น้ำลำคลองของที่อื่นมาตลอด พยายามที่จะเติมทะเลสาบให้เต็มอีกครั้ง แต่สองเรื่องนี้พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งเพราะเทพภูเขา เทพแห่งผืนดินที่เลื่อนขั้นใหม่ของภูเขาหลายลูกที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็คอยเอาเรื่องไปฟ้องอยู่เนืองๆ นี่ก็โทษไม่ได้ที่พวกเขาจะยึดหลักส่วนรวมไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันไปถึงการเคลื่อนย้ายโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่ง นอกจากนี้ต้นเหมยในอารามก็เสียหายอย่างหนัก อีกทั้งเรื่องของการเติมเต็มน้ำบนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่เพียงแค่เติมเต็มกระแสน้ำไหลของแม่น้ำลำคลองเท่านั้น
เฉินผิงอันเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยกำลังทำเรื่องที่นางถนัดที่สุด นั่นคือเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ หาเงินเทพเซียน
เทพธิดาโจวแห่งอารามชิงเหมยคือผู้เชี่ยวชาญด้านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เรื่องของการ ‘ยืมทัศนียภาพ’ ก็ยิ่งทำได้อย่างสบายๆ ราวกับแค่ยกมือกวัก ในอดีตทุกครั้งที่ไปถึงสำนักบนภูเขาหรือจวนเซียน ก็จะต้องใช้วิชาลับในการคัดลอกของอารามชิงเหมยสกัดดึงมาไว้ จากนั้นค่อยเอาร่างของตัวเองฝังเลื่อมเข้าไปในภาพ จากนั้นก็ส่งไปให้กับเซียนซือบนภูเขา หรือไม่ก็ชนชั้นสูงล่างภูเขา คราวก่อนที่นางเดินทางไปท่องเที่ยวที่หลงโจว โจวฉงหลินก็ติดตามอยู่ข้างกายซ่งหยวนและหลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้ด้วย ตอนนั้นเฉินผิงอันก็พาถ่านด่านน้อยที่ใบหน้าแดงบวมฉึ่งไปด้วยกันพอดี
โจวฉงหลินในเวลานั้นไม่ยินดีจะพลาดโอกาสใดๆ ก็ตามที่จะได้ ‘เป็นสหายของสหายของสหาย’ จึงอยากจะให้ยอดเขาอีไต้เป็นสะพานเชื่อมสานสัมพันธ์กับภูเขาลั่วพั่ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ค่อยชอบที่นางทำอะไรไม่รู้กาลเทศะ เสแสร้งจงใจมากเกินไป อีกทั้งยังง่ายที่จะลากให้ยอดเขาอีไต้เดือดร้อนไปด้วย รู้สึกว่านางสนใจผลประโยชน์เกินไป พยายามเจาะหาช่องทางเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้คนนั้นไม่ผิด แต่ไม่ควรเหมือนกับนางที่ทำอะไรไม่พิถีพิถันเช่นนั้น เขาจึงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันแล้ว เผยเฉียนก็แอบบอกเฉินผิงอัน เป็นถ้อยคำที่ทำให้จิตวิญญาณเขาสะท้านสะเทือน
ตอนนั้นเผยเฉียนบอกว่านางมองเห็นว่าในหัวใจของพี่สาวที่เย้ายวนเจ้าเสน่ห์มีคนจิ๋วที่น่าสงสารเสื้อผ้าขาดวิ่น ผ่ายผอมเหมือนคนที่ใกล้หิวตายเต็มทีอยู่มากมาย เหมือนกับตนตอนเด็ก ส่วนพี่สาวคนนั้นก็เสียใจอย่างมาก ได้แต่มองจานข้าวใบใหญ่ที่ว่างเปล่า ไม่กล้ามองไปยังเด็กๆ พวกนั้น
เผยเฉียนที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กจึงไม่เข้าใจว่าถ้อยคำไร้เจตนาแค่ไม่กี่ประโยคของตัวเองจะทำให้ในอนาคตอาจารย์พ่อคอยทบทวนตัวเองบนเส้นทางของชีวิตอยู่ตลอดเวลา
เวลานี้เฉินผิงอันเอนหลังพิงต้นเหมยที่แห้งเหี่ยว มองบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนั้นที่อ้อมไปอ้อมมา แต่ไม่รู้ว่าอ้อมอีท่าไหนถึงไปเกี่ยวพันกับภูเขาลั่วพั่วบ้านตนได้
ที่แท้เรื่องของการร่วมงานพิธี ทั้งบนและล่างภูเขาในหนึ่งทวีปก็ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด หัวข้อสนทนาเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
ยิ่งเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อายุน้อยก็ยิ่งไม่เห็นด้วย มีความรู้สึกที่ย่ำแย่ต่อเซียนกระบี่หนุ่มซึ่งมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุดผู้นั้น อาศัยขอบเขตของตัวเองทำตัวกำเริบเสิบสาน ทำอะไรไม่เว้นที่ว่างเหลือไว้ให้คนอื่นแม้แต่น้อย
อันที่จริงแรกเริ่มโจวฉงหลินก็ไม่คิดจะพูดอะไรดีๆ ให้กับภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่เพราะความเคยชินเป็นเหตุ จึงพูดคุยสองสามประโยคว่าตนโชคดีได้รู้จักกับเซียนกระบี่เฉินคนนั้น คิดจะใช้สิ่งนี้มายกสถานะของตัวเองให้สูงขึ้น เป็นวิธีการในยุทธภพที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะก่อให้เกิดประเด็นร้อนดุเดือดขึ้นมาทันที ผิดแผนอย่างหนัก แต่ก็ทำให้คนทุ่มเงินเกล็ดหิมะกันลงมาไม่น้อย เพื่อจะได้พูดถ้อยคำระคายหูกับเทพธิดาโจว ทำนองว่ารับภูเขาลั่วพั่วเป็นบิดา ชอบเป็นบุตรที่กตัญญู?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!