อยู่ในเมืองหลวงต้าหลี จู๋เฟิ่งเซียนไม่กล้าก่อเรื่อง ตอนที่ควักทองก้อนหนึ่งออกมาให้เป็นรางวัลจึงฉวยโอกาสลูบคลำมือเล็กขาวนวลของสตรีผู้นั้นไปเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่จู๋เฟิ่งเซียนให้เงินก้อนเป็นรางวัล สตรีสองคนไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ
หลังจากที่เดินออกมาจากเหลาสุราพร้อมกับสหายเฒ่า จู๋เฟิ่งเซียนที่เดินอยู่ริมลำคลองชางผูก็อดเอ่ยทอดถอนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ ทองล้ำค่า ในสายตามองไม่เห็นเงินสักนิด
เวลานี้อวี่ชางหมางเหลือบมองไปยังเหยียนกวานกับหวงเหมยที่เดินขึ้นบันไดมา รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “น่าอัดอั้นนัก หากรู้แต่แรกว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้ ให้ตายอย่างไรก็คงไม่เข้าร่วมกับหอฝูสู่แล้ว เรื่องนี้ต้องโทษข้าจริงๆ ที่ลากเจ้าให้มาซวยด้วย”
พูดถึงตำแหน่งผู้อาวุโสของพรรคที่แท้จริงแล้วไม่มีอำนาจแท้จริงอยู่ในมือแม้แต่น้อย และเวลาที่มากกว่านั้นก็แค่ช่วยป้อนหมัดให้กับเด็กน้อยสองคนเท่านั้น
เหยียนกวานยังนับว่าดี ออกหมัดรู้จักหนักเบา แล้วยังเป็นคนที่ถือว่ามีคุณธรรม เพียงแต่มองแม่นางน้อยที่คิ้วตาอ่อนหวานผู้นั้นแล้ว ยามที่ลงมือนั่นต่างหากที่เรียกว่าอำมหิต เห็นพวกเขาเป็นเสาไม้เดินได้ที่เอาไว้ซ้อมมือชัดๆ
เพียงแต่จำต้องยอมรับว่าผลสำเร็จบนวิถีวรยุทธของหวงเหมยจะต้องสูงกว่าศิษย์พี่อย่างเหยียนกวานแน่นอน
แม้ทุกวันนี้จะยังเป็นแค่ขอบเขตหก แต่กลับมุ่งหน้าเข้าหาขอบเขตเดินทางไกลแล้ว หันมามองเหยียนกวาน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชีวิตนี้จะหยุดอยู่แค่ที่ขอบเขตร่างทองแล้ว ในอนาคตอย่างมากสุดก็แค่ถูกส่งให้ไปอยู่ในพรรคของศิษย์พี่บางคนเท่านั้น พูดเสียน่าฟังว่าไปฝึกประสบการณ์ทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมและเรื่องราวในโลกมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการไปคบค้าอยู่กับกิจธุระยิบย่อยกองใหญ่ในยุทธภพ
จู๋เฟิ่งเซียนยิ้มเอ่ย “ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ ไม่เป็นไร ถือเสียว่ามีข้าวให้กินเปล่าๆ คิดให้ตก สีหน้าของคนที่มอบข้าวให้กินไม่น่าดู ไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ขอแค่ถ้วยข้าวที่อยู่บนโต๊ะไม่รสชาติแย่เกินไปก็พอแล้ว”
ทางฝั่งของหัวเรือมีแขกไม่ได้รับเชิญสองคนเดินออกมา ดูจากท่าทางแล้วน่าจะตั้งใจมาหาพวกเขา
คนชุดเขียวเป็นฝ่ายกุมหมัดยิ้มเอ่ยก่อนว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ จากลากันที่แคว้นชิงหลวน ไม่ได้เจอกันนานหลายปี มาดของเจ้าประมุขผู้เฒ่ายังคงสง่างามดังเดิม”
องค์รักษ์หนุ่มที่เดินรั้งไปด้านหลังคนผู้นั้นครึ่งตัวกุมหมัดตาม
จู๋เฟิ่งเซียนพอจะรู้สึกคุ้นเคยคิ้วตาของคนตรงหน้าอยู่บ้าง จึงลองถามหยั่งเชิงว่า “ใช่คุณชายเฉินที่…พบเจอกันโดยบังเอิญที่อารามจินกุ้ยหรือไม่?”
อันที่จริงต้องเป็นเฉินเซียนซือแล้ว เพียงแต่ว่าจู๋เฟิ่งเซียนไม่รู้สึกว่าท่านผู้นี้คือเทพเซียนบนภูเขา กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนในยุทธภพมากกว่า
ปีนั้นพบเจอกันโดยบังเอิญ จู๋เฟิ่งเซียนยังให้กลุ่มของเฉินเซียนซือผู้นี้เข้าพักในเรือนที่คนของพรรคต้าเจ๋อเพิ่งจะออกเงินสร้างเสร็จพอดี ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกชะตากันมาก
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าประมุขผู้เฒ่าช่างสายตาดียิ่งนัก!”
จู๋เฟิ่งเซียนแผดเสียงหัวเราะดังลั่น คว้าจับแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ “ไป ไปดื่มเหล้าที่ชั้นสองกัน ในห้องของข้ามีสุราดีบนภูเขาอยู่ด้วย! ซื้อมาจากเมืองหลวงต้าหลี ขนาดตาเฒ่าอวี่ข้ายังตัดใจให้เขาดื่มไม่ได้เลย”
เฉินผิงอันถาม “คือเหล้าหมักเซียนของตำหนักฉางชุนที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้น่ะหรือ?”
ชั้นสอง?
อวี๋หงอาจารย์และศิษย์สามคนเหมือนจะเข้าพักอยู่ที่ชั้นสาม ต่างคนต่างมีห้องส่วนตัว
แน่นอนว่าบางทีอาจเป็นเพราะห้องที่ชั้นสามของตำหนักฉางชุนมีจำนวนน้อยเกินไป ต่อให้มีเงินเทพเซียนก็ยังเข้าพักไม่ได้
จู๋เฟิ่งเซียนถลึงตาเอ่ย “คุณชายเฉิน หากเจ้าพูดคุยกับคนอื่นแบบนี้จะไม่มีเพื่อนแล้วนะ”
เฉินผิงอันถูกลากตัวให้เดินไป ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าไม่มี แต่ในมือข้าบังเอิญมีอยู่สองสามกานะ แต่เป็นแบบที่ถูกที่สุด”
จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ากล่าว “ดี สหายอย่างคุณชายเฉิน ข้าจะถือว่าเพิ่งรู้จัก คบหาเป็นสหายด้วยแน่แล้ว!”
เสี่ยวโม่เดินตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน เห็นว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ชื่อว่าอวี่ชางหมางส่งสายตาสอบถามมาให้ตน เสี่ยวโม่ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะให้อีกฝ่าย
ไปถึงห้องชั้นสอง ระหว่างที่คุณชายกับสหายในยุทธภพสองคนเดินไปที่โต๊ะเหล้า เสี่ยวโม่ที่เดินอยู่รั้งท้ายสุดก็ปิดประตูห้องลงเบาๆ
จู๋เฟิ่งเซียนนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนแรกปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋อยากให้พวกเราพักอยู่ชั้นบน เพียงแต่ข้ากับตาเฒ่าอวี่ต่างก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองส่วนนี้ หากเป็นไปได้ล่ะก็ พวกเราอยากพักอยู่ที่ชั้นหนึ่งกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋ไม่ยอมตอบตกลง คุณชายเฉิน โดยสารเรือของตำหนักฉางชุนลำนี้ ทุกวันคงมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นจึงเป็นเหมือนเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ ไม่อาจตัดใจพักอยู่ที่ชั้นบนสุดได้ ที่นั่นลมแรงเกินไป หากไม่ทันระวังต้องกวาดเอาเงินในกระเป๋าไปจนหมดแน่”
อวี่ชางหมางที่เงียบงันมาตลอดยิ้มชอบใจ
จู๋เฟิ่งเซียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จุ๊ปากเอ่ยว่า “หากจะพูดเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเงินทองล่ะก็ ไม่ใช่แค่ว่าบนสวรรค์หนึ่งวันบนพื้นดินหนึ่งปี เทียบกับเทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ามาตบแขนเสี่ยวโม่ ยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่ เจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ดื่มเหล้าเก่งมาก อีกเดี๋ยวเจ้าจำไว้ว่าต้องคอยขวางไว้ให้ข้าด้วย”
เสี่ยวโม่ที่เดิมทีคิดว่าจะยืนอยู่อย่างนั้นถึงได้นั่งลง
จู๋เฟิ่งเซียนหยิบเหล้าออกมาสองกา ระหว่างนั้นก็เหลือบมองอวี่ชางหมางหนึ่งที ฝ่ายหลังส่ายหน้าอย่างไม่เผยร่องรอย
จู๋เฟิ่งเซียนรินเหล้าสี่ถ้วย เสี่ยวโม่โน้มกายไปด้านหน้า ใช้สองมือประคองรับถ้วยเหล้า เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
แรกเริ่มยังพูดคุยกันอย่างคลุมเครือ ส่วนใหญ่เป็นเฉินผิงอันที่ถามถึงสถานการณ์ช่วงหลายปีที่ผ่านมาของจู๋เฟิ่งเซียน รวมไปถึงเรื่องการฝึกตนของหลานสาวเจ้าประมุขผู้เฒ่าที่อยู่ในอารามจินกุ้ย
รอกระทั่งเหล้าสองสามจอกไหลลงท้องก็เริ่มคุยกันอย่างผ่อนคลายมากขึ้น จู๋เฟิ่งเซียนยกจอกเหล้าขึ้น “ข้ากับตาเฒ่าอวี่ถือว่าอายุมากแล้ว แต่เจ้ากับพี่น้องเสี่ยวโม่ต่างก็ยังหนุ่มแน่น ไม่ว่าจะอย่างไร เห็นแก่ที่พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรต้องดื่มให้หมดจอกสักหน่อย”
ต่างคนต่างดื่มสุราในจอก แล้วจู๋เฟิ่งเซียนก็รินเหล้าเต็มจอกอีกครั้ง
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก ถามว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าเข่นฆ่าบนสนามรบจนฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือ?”
จู๋เฟิ่งเซียนคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ก็แค่โชคดีเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ชี้ไปที่อวี่ชางหมาง “ตาเฒ่าอวี่ผู้นี้ต่างหากที่มีค่าพอให้พูดถึง ใช้สองหมัดต่อยให้ผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจคนหนึ่งตายไป ถือว่าเป็นลูกผู้ชายตัวจริงแล้ว”
อวี่ชางหมางส่ายหน้า “เหยียบโชคดีขี้หมาบนสนามรบ ก็แค่บังเอิญเก็บตกได้เท่านั้น เป็นที่ขบขันของทุกคนแล้ว หากเป็นการจับคู่เข่นฆ่ากันก็คงต้องแลกคุณความชอบทางการสู้รบกันแล้ว”
เซียนซือหนุ่มคนหนึ่งที่มีเงินซื้อเหล้าเซียนตำหนักฉางชุนได้ลง ไม่ใช่ซื้อได้ไหว
ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ เป็นอย่างไร อวี่ชางหมางพอจะรู้อยู่ในใจ
บนภูเขา ขอบเขตของเซียนซือทำเนียบตระกูลคนหนึ่งสูงหรือต่ำ หรือตบะมีเท่าไร ไม่ได้เป็นตัวแทนของทุกอย่าง
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่รู้จักกับจู๋เฟิ่งเซียนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายดื่มสุราคารวะตน “เก็บตกมาจากกองคนตาย ทำไมจะไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงล่ะ ผู้อาวุโสอวี่ เห็นแก่ประโยคนี้ ท่านผู้อาวุโสต้องดื่มให้หมดจอก ต่างคนต่างลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
จู๋เฟิ่งเซียนด่าขำๆ “เร็วเข้า เหล้าทั้งสองจอกต้องดื่มกันให้หมด จำไว้ว่าอย่าทำเป็นมือสั่น อิดๆ ออดๆ เหมือนสตรีล่ะ”
เหล้าของตำหนักฉางชุน ว่ากันว่าเป็นเหล้าเซียนที่สามารถรักษาบาดแผลได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับเหล้าตระกูลเซียนทั่วไปแล้วเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า อยู่บนภูเขาก็ถือเป็นของดีที่มีแต่ราคาทว่าหาซื้อได้ยาก อวี่ชางหมางมีต้นตอของโรคทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนอยู่บนสนามรบ ยังไม่เคยรักษาให้หายดีมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นไปสวามิภักดิ์กับอวี๋หง วันนี้หากดื่มได้หนึ่งจอกก็ต้องดื่มให้มากเข้าไว้
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดพวกเขาสองคนถึงไม่ไปราชสำนักต้าหลีเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้ถวายงานปลายแถวมาเป็น ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!