ตำหนักฉางชุนทำการตรวจสอบสถานะของคนผู้นี้อย่างรวดเร็วโดยดูจากรายงานของทางฝั่งตัวเองและของทางสายลับต้าหลี ถึงได้ค้นพบว่าถึงกับเป็น ‘อวี๋หมี่’ ที่มี ‘ขอบเขตชมมหาสมุทร’ ผู้นั้น
รอกระทั่งภูเขาลั่วพั่วเกิดความขัดแย้งกับภูเขาตะวันเที่ยง แล้วก็จริงดังคาด คือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ชอบดื่มเหล้านอนอยู่บนก้อนเมฆหลากสี หมี่อวี้ผู้นั้นจริงเสียด้วย!
หมี่ฮู้ผู้เป็นพี่ชายก็ยิ่งเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่เคยมีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน
กองทัพชายแดนต้าหลีเคยมีคำกล่าวว่า ยิ่งเคยเห็นคนตายมามากเท่าไร สายตาที่มองคนเป็นยามอยู่บนสนามรบก็ยิ่งเหมือนสายตาที่มองคนตายมากเท่านั้น ระหว่างที่ฆ่าคน มือมั่นคง ใจยิ่งสงบนิ่งมากกว่า
สนามรบล่างภูเขาเป็นเช่นนี้ คิดดูแล้วที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงจะยิ่งเป็นหลักการเดียวกัน หรืออาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นหญิงชราผู้อาวุโสของตำหนักฉางชุนที่ทำหน้าที่ปกป้องมรรคา เนื่องจากระหว่างที่เดินทางไปหาประสบการณ์ได้พูดจากระทบกระเทียบเหน็บแนม ‘อวี๋หมี่’ ไปไม่น้อย ทุกวันนี้จึงมักจะรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ ราวกับว่าตัวเองไปเดินวนอยู่หน้าประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง
เฉินผิงอันสงสัยอยู่บ้าง ด้วยสถานะที่โดดเด่นบนภูเขาต้าหลีของตำหนักฉางชุน ไม่เคยผูกปมแค้นใดๆ กับภูเขาลั่วพั่ว กานอี๋เจอกับเจ้าขุนเขาเช่นตน ตามหลักแล้วนางก็ไม่ควรจะระมัดระวังตัวขนาดนี้ถึงจะถูก
แต่อันที่จริงควรต้องเป็นอย่างนี้ต่างหาก
เพราะเฉินผิงอันในทุกวันนี้ยังไม่รู้เรื่องหนึ่ง
นอกจากพวกสำนักและพรรคต่างๆ แล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็มี ‘ภูเขาลูกเล็ก’ ที่ไม่มีการแบ่งเขตแดนของภูเขาอยู่เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นระหว่างผู้ดูแลเรือข้ามฟากของแต่ละฝ่ายที่พบเจอหน้ากันข้างนอกเป็นประจำก็มักจะมีการสานสัมพันธ์ส่วนตัวที่ระดับความสนิทสนมไม่เท่ากันอยู่ ถึงขั้นที่ว่ายังมีการใช้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาติดต่อกัน เพื่อสะดวกในการทำให้เส้นทางการหาเงินของแต่ละฝ่ายเปิดโล่ง
และอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเขาก็ต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘ศึกของเรือนชุนฟาน’ ที่ภูเขาห้อยหัวในปีนั้น ทำให้บารมีของเขาในกลุ่ม ‘พรรค’ ที่กระจัดกระจายอย่างเรือข้ามฟากนี้สูงส่งจนมิอาจจะจินตนาการภาพได้
พูดเล่าลือกันไปปากต่อปากจนกลายมาเป็นความลี้ลับมหัศจรรย์ถึงขีดสุด
เนื่องจากทุกวันนี้ศาลบุ๋นยกเลิกคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำแล้ว เมื่อไม่มีข้อห้ามใดๆ อีก คำเล่าลือก็ยิ่งกระจายออกไปอย่างน่าอกสั่นขวัญผวา…
เป็นเหตุให้ระหว่างผู้ดูแลเรือข้ามฟากของใต้หล้าไพศาลค่อยๆ เกิดการเปรียบเทียบจากต่ำถึงสูงที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง
ผู้ดูแลที่ในมือได้ครอบครองเรือข้ามทวีปดูแคลนผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่ได้แต่บินไปบินมาอยู่ในอาณาเขตของหนึ่งทวีป ผู้ดูแลเรือข้ามทวีปที่เคย ‘อาศัยกำลังอันน้อยนิดของตัวเอง’ โชคดีได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลนพวกเรือข้ามทวีปที่ไม่เคยทำการค้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่เคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวทั้งยังเคยเดินเข้าประตูใหญ่ไปทำการค้าในเรือนชุนฟานดูแคลนพวกแมลงน่าสงสารที่ไม่เคยได้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ของเรือนชุนฟาน
ส่วนพวกคนที่เคยไปเยือนเรือนชุนฟานทั้งยังเคยเข้าร่วม ‘การประชุมบนยอดเขา’ ครั้งนั้นก็จะต้องดูแคลนพวกคนที่ไม่เคยได้สัมผัสกับ ‘มาดของอิ่นกวาน’ กับตัวเองมาก่อน
ทุกวันนี้ผู้ดูแลเรือข้ามฟากกลุ่มเล็กกลุ่มนี้ เวลาออกไปข้างนอก แต่ละคนตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร ยามปฏิบัติต่อผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนอื่นๆ ที่เหลือ ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยประโยคว่าพวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นขยะไร้ค่าเท่านั้น
พวกเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคลื่นใต้น้ำในการประชุมครั้งนั้นมีอันตรายเพียงใด ชีวิตของพวกเราแขวนอยู่บนเส้นด้าย ลูกคลื่นในเรือนชุนฟานลูกหนึ่งเพิ่งสงบลงก็มีลูกใหม่โถมตัวขึ้นมาอีก? ทั้งสองฝ่ายต้องคอยคุมเชิงกัน
อิ่นกวานนำพาเซียนกระบี่สิบกว่าท่าน อีกนิดเดียวก็เกือบจะปิดประตูฟันคนอยู่แล้ว
กานอี๋ที่เป็นผู้ดูแลเรือข้ามฟากหลี่เฉวียน แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินข่าวลือลับที่มีเมฆหมอกล้อมวนมาบ้าง
ดังนั้นกานอี๋จึงรู้ชัดเจนดีว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร
ไม่ใช่เจ้าขุนเขาเฉินอะไร แล้วก็ไม่ใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งด้วย แต่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
คราวก่อนที่มีการประชุมในศาลบรรพจารย์ตำหนักฉางชุน เจ้าตำหนักเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำ
ต้าหลีของพวกเราอยู่ห่างจากอุตรกุรุทวีปไม่ไกลนัก
กานอี๋พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าขุนเขาเฉินไม่รีบร้อนเดินทางต่อ สามารถลองชิมเหล้าหมักของตำหนักฉางชุนพวกเราดูได้”
เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “อย่าดีกว่า ข้ากับเสี่ยวโม่ไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้”
ปีนั้นตำหนักฉางชุนถูกราชสำนักต้าหลีเสนอให้เป็นหนึ่งในตัวสำรองที่จะได้เลื่อนเป็นสำนักอักษรจง ถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องไปช่วงชิงกับใครด้วยซ้ำ
การประชุมของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก่อนหน้านี้ ซ่งจ่างจิ้งยังขอรายชื่อของสำนักอักษรจงจากศาลบุ๋นเพิ่มมาอีกสามรายชื่อ ตำหนักฉางชุนเองก็ไม่ได้วิ่งเต้นหาช่องทางไปทั่วเหมือนภูเขาตะวันเที่ยงและภูเขาเมฆาเรือง ไม่คิดจะช่วงชิงพื้นที่แห่งหนึ่งมาให้กับตัวเอง คาดว่าคงจะกลัวสกุลซ่งต้าหลีต้องลำบากใจเพราะเรื่องนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าตำหนักฉางชุนรู้จักวางตัวอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ดีธรรมดาเท่านั้น
แม้ตัวเฉินผิงอันจะรู้ดีว่ารายชื่อสามชื่อนั้น ราชสำนักต้าหลีมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว แบ่งออกเป็นสำนักเบื้องล่างที่จู๋หวงแห่งภูเขาตะวันเที่ยงตั้งชื่อว่า ‘สำนักกระบี่หวงซาน’ วัดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหลงชิวภูเขาเยี่ยนตั้ง บวกกับอารามเต๋าของเฉาหรง
เป็นเหตุให้ตำหนักฉางชุนไม่มีทางกลายเป็นข้อยกเว้นที่ได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักเพราะเหตุนี้ แต่สถานะตัวสำรองสำนักอักษรจงก็ไม่ใช่ตำแหน่งว่างเปล่าดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรอะไร หากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีสร้างคุณความชอบไว้ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อีก ต่อให้ตำหนักฉางชุนจะยังไม่มีขอบเขตหยกดิบ แต่ก็ยังจะได้รับอนุญาตจากทางศาลบุ๋น สามารถขยับเข้ามาเสริมตำแหน่งที่ขาด ทว่าสำนักโองการเทพหรือภูเขาเมฆาเรืองนั้นไม่เหมือนกัน กว่าจะได้ถึงคราวสำนักเบื้องล่างของพวกเขาก็ยังต้องเป็นช่วงท้ายๆ แล้ว
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีจะหยุดอยู่ต่อเพื่อดื่มเหล้า กานอี๋ก็มีท่าทางผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
นางก็แค่ไม่กล้าล้อเล่นกับเฉินผิงอันอย่างส่งเดชเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นกานอี๋ก็ยังมีคำพูดจากใจจริงที่ไม่ใช่การล้อเล่นอะไรที่อยากจะพูดกับใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้อย่างมาก
ขอแค่เจ้าขุนเขาเฉินยินดีไปเป็นแขกที่ตำหนักฉางชุน ต่อให้จะแค่ดื่มเหล้าไม่กี่จอกแล้วจากไป ลำพังเพียงแค่ตัวเลือกคนที่จะมารับหน้าที่ยกเหล้าวางบนโต๊ะ หญิงบ้ากลุ่มนั้นคงแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกโดยไม่สนมิตรภาพของคนร่วมสำนักเป็นแน่
ต้องรู้ว่าผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุน แต่ไหนแต่ไรมาก็เปิดกว้างในเรื่องความรักชายหญิงมาโดยตลอด
เคยมีผู้ฝึกตนหญิงป่าวประกาศไว้แล้วว่าหากเซียนกระบี่เฉินมาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง แล้วข้าสามารถเผยหน้าตา ยกสุราไปให้ได้ จะต้องทำเป็นว่าไม่ทันระวังขาแพลง ไม่คาดหวังว่าจะต้องล้มลงในอ้อมอก แต่ถูกเซียนกระบี่เฉินยื่นมือมาประคองเอาไว้ รับรองว่าหนีไม่พ้นแน่!
ตอนนี้เฉินผิงอันหรือจะรู้เรื่องลับในภูเขาลูกอื่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกพวกนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!