ดังนั้นนอกจากจะให้เฉินผิงอันช่วยเลือกลูกศิษย์ให้แล้ว ยังปรึกษาเรื่องหนึ่งกับเฉินผิงอันด้วย หากมีความคิดเห็นกับต้นสนโบราณต้นนั้นก็ไปเปิดปากขอซื้อกับศาลลมหิมะเอาเอง อีกอย่างเขาเว่ยจิ้นตอบตกลงกับเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้นขอแค่ศาลลมหิมะไม่มีความเห็นต่าง ส่วนภูเขาลั่วพั่วก็ออกเงินก้อนนั้นได้ไหวก็สามารถย้ายต้นสนโบราณไปไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วได้
แต่เฉินผิงอันไม่มีความคิดเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตาไม่อยากได้ใจไม่หวั่นไหว แต่เป็นเพราะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศาลลมหิมะกำลังรอให้ต้นสนหมื่นปีหลอมเรือนกายได้สำเร็จ บางทีอาจจะเดินก้าวเดียวขึ้นฟ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน จากนั้นก็กลายเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของศาลลมหิมะอย่างมีเหตุผลชอบธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวารนรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงตายไป แจกันสมบัติทวีปขาดตำแหน่งภูตห้าขอบเขตบนอีกครั้ง ก็ยิ่งไม่มีทางที่ศาลลมหิมะจะขายต้นสนหมื่นปีที่มีความหวังบนมหามรรคาต้นนั้นอีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อต้นสนโบราณมีชื่อว่า ‘ฉางฉิง’ (ความรักความผูกพันที่ยาวนาน) ก็แสดงว่าต้องมีความเกี่ยวพันบนมหามรรคากับใครบางคนแน่นอน
เฉินผิงอันไม่มีความจำเป็นต้องไปหาเรื่องให้คนรังเกียจที่ศาลลมหิมะ
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากหลี่เฉวียน เนิ่นนานกานอี๋ก็ยังมิอาจเก็บสายตาคืนมา
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนในหนึ่งทวีปล้วนเสียดายในเรื่องหนึ่ง น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะไม่ได้พาตัวอ่อนเซียนกระบี่คนสองคนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาให้แจกันสมบัติทวีปได้
ไม่อย่างนั้นอีกเจ็ดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลจะปฏิบัติต่อเด็กๆ ที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองพวกนี้อย่างไร พูดถึงแค่แจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีป พวกเขาก็สามารถเดินกร่างได้เลย
ผู้ฝึกตนบนภูเขาของสองทวีปเหนือใต้ที่เป็นเพื่อนบ้านกันล้วนจะกลายเป็นผู้ปกป้องมรรคาของพวกเขา
อันที่จริงเมื่อครู่นี้กานอี๋อยากถามคำถามหนึ่งอย่างมาก ภูเขาลั่วพั่วของเจ้าขุนเขาเฉินมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้างหรือไม่
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ นางไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไร ย่อมไม่สะดวกจะเปิดปากถาม
ขยับก้าวเดินไปข้างหน้า กานอี๋ก็พลันคลี่ยิ้มหวาน เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์หยาดเยิ้ม
ฮ่า ใต้เท้าอิ่นกวานเคยนั่งเรือข้ามฟากของบ้านตนแล้ว
วันหน้าสามารถเอาไปคุยโอ้อวดให้คนอื่นฟังได้แล้ว
ไปดื่มเหล้าดีกว่า
……
เมืองหลวงต้าหลี ยามเช้าตรู่ สวินชวี่สวี่ปันแห่งศาลหงหลูมาที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นอีกครั้ง นำรายงานของที่ว่าการหกกรมในราชสำนักส่วนหนึ่งมาส่งมอบให้กับอาจารย์เฉิน
เมื่อคืนหลังจากเฉินผิงอันกลับมาถึงเมืองหลวงก็พบว่าหนิงเหยายังปิดด่านอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันจึงมาอ่านตำราอยู่ที่หอหนังสือแห่งนี้ทั้งคืน ส่วนเสี่ยวโม่ก็ห้อยป้ายสงบสุข ร่ายเวทอำพรางตาอีกครั้งแล้วออกไปเดินเที่ยวเมืองหลวงที่แสงจากโคมไฟสว่างไสวราวกับเวลากลางวันมารอบหนึ่ง หลังหวนกลับมาที่ตรอกเล็กก็ไปอยู่ในลานบ้านด้านนอก ถักชุดคลุมอาคมสีเขียวได้หลายชุด
กังวลว่าพอติดตามคุณชายไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะเตรียมของขวัญพบหน้าไว้ไม่พอ
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินออกจากตรอกไปพบสวินชวี่
สวินชวี่สังเกตเห็นว่าข้างกายอาจารย์เฉินวันนี้มีผู้ติดตามรูปโฉมอ่อนเยาว์เพิ่มมาคนหนึ่งจากครั้งก่อน สวินชวี่รู้แค่ว่าอีกฝ่ายชื่อเสี่ยวโม่ เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว
มองดูแล้วเป็นเซียนซือบนภูเขาที่เป็นมิตรเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมาก
เฉินผิงอันเก็บรายงานใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตามข้อตกลง เขาต้องไปเที่ยวเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงกับสวินชวี่รอบหนึ่ง
คนทั้งกลุ่มเดินเท้ากันไปถึงถนนเส้นที่สองข้างทางยาวถึงหนึ่งลี้กว่า ร้านรวงข้างทางมีวางขายทั้งหนังสือฉบับสมบูรณ์หายาก ภาพอักษรแต่ละยุคแต่ละสมัย พู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก ของโบราณที่คนชอบเก็บสะสม เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่าง
เมื่อก่อนที่แห่งนี้คือเตาเผาทางการแห่งหนึ่ง เอาไว้เผากระเบื้องแก้วใสและอิฐสีเขียวสีทองโดยเฉพาะ ทุกวันนี้บนถนนเส้นนี้ล้วนมีแต่ร้านเก่าแก่อายุสองร้อยสามร้อยปี นี่ทำให้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือทุกร้านล้วนใส่ใจลูกค้า ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีทำลายป้ายอักษรทองของบ้านตัวเอง ต่อให้มีบางร้านที่รังแกลูกค้าอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ของปลอมของเลียนแบบกลับมีน้อยมาก นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง จะว่าไปแล้ว หากในกระเป๋าไม่มีเงินสักเล็กน้อย ถุงเงินตรงเอวไม่ตุงแน่นมากพอ มาที่นี่ก็ได้แต่เบิกตามองอย่างเดียวเท่านั้น ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมามือเปล่าแล้วกลับไปด้วยมือเปล่า
เฉินผิงอันได้รับสายตาบอกเป็นนัยจากสวินสวี่ปันก็ซื้อตำราที่อีกฝ่ายถูกใจมาสามเล่ม กระดาษล้วนเป็นเหมือนหยกขาว เรียกได้ว่าเป็นตำราฉบับสมบูรณ์แบบ บัณฑิตทั่วไปมาเจอกับตำราพวกนี้ก็เหมือนกับการเจอสาวงามบนถนน ได้แต่มองดูอย่างเดียวเท่านั้น มิอาจลูบคลำได้จริงๆ
แต่สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันมอบตำราให้สวินชวี่หกเล่ม สามเล่มบันทึกลงในบัญชีของศาลหงหลู ราคาประมาณสองร้อยแปดสิบตำลึงเงิน
อีกสามเล่มเป็นเฉินผิงอันที่ควักกระเป๋าจ่ายเอง มอบให้กับขุนนางหนุ่มที่สอบเคอจวี่สนามเดียวกับเฉาฉิงหล่างผู้นี้
ระหว่างที่ย้อนกลับไปยังหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น สวินชวี่ลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายก็ใช้เสียงในใจถามว่า “อาจารย์เฉินไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมข้าถึงเป็นผู้ฝึกตน?”
แน่นอนว่าด้วยตบะและขอบเขตของอาจารย์เฉินต้องมองเรื่องนี้ออกนานแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ต่างคนต่างมีโชควาสนา ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะให้ลึกซึ้ง”
ขอบเขตชมมหาสมุทรอายุสามสิบกว่าปี อันที่จริงไม่ถือว่าขอบเขตต่ำแล้ว
แจกันสมบัติทวีปในอดีต ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางหากไม่ใช่เทพเซียนก็เป็นปีศาจใหญ่แล้ว
เฉินผิงอันอดไม่ไหวยิ้มถาม “หรือเจ้าไม่รู้ว่าเฉาฉิงหล่างก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเจ้า?”
สวินชวี่อึ้งงันไร้คำพูด ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ย “มองไม่ออกเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าพวกเจ้ากลับมาพบเจอกันอีกครั้งจะได้มีเรื่องพูดคุยกันมากขึ้น สามารถคุยเรื่องการฝึกตนกันได้”
สวินชวี่อดไม่ไหวพึมพำเบาๆ ว่า “เจ้าตัวดี แกล้งทำเป็นยากจนกับข้า!”
เห็นสายตาแฝงเลศนัยที่อาจารย์เฉินมองมา สวินชวี่ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “อาจารย์เฉิน ไม่เหมือนกับเฉาฉิงหล่าง ข้าน่ะจนจริงๆ ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นคนประเภทที่รั้งเงินไว้ไม่อยู่”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “จะว่าไปแล้วเจ้าก็มีสถานะเป็นขุนนางมากกว่า คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่มักชะตาชีวิตไม่ดี ไม่มีเงินก็ดีน่ะสิ วันหน้าจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน ถือโอกาสเป็นขุนนางใหญ่ให้ได้ ในอนาคตเมื่อข้ามาที่เมืองหลวงอีกครั้งก็จะได้มีที่พึ่งเป็นขุนนางบ้างแล้ว”
สวินชวี่บื้อใบ้พูดไม่ออก
ไม่เหมือนกับเฉาฉิงหล่างสหายรักที่ร่วมสอบเคอจวี่ปีเดียวกัน แม้ว่าสวินชวี่จะเป็นจิ้นซื่ออันดับที่สอง แต่ระดับขั้นกลับต่ำมาก ดังนั้นจุดเริ่มต้นในวงการขุนนางจึงต่ำตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกจับโยนมาอยู่ที่ว่าการมนตรีเล็กนอกจากหกกรมอย่างศาลหงหลูแห่งนี้
สวินชวี่ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นขุนนางใหญ่อะไรได้จริงๆ อีกทั้งต่อให้หมวกขุนนางจะใหญ่ยิ่งกว่านี้ อยู่กับอาจารย์เฉินแล้วจะมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!