เสี่ยวโม่มีนิสัยตรงไปตรงมาจึงใช้เสียงในใจพูดถึงเรื่องนี้ทันที
เฉินผิงอันไม่ต้องใช้ความคิดเท่าไรด้วยซ้ำ หลุดปากตอบไปโดยตรงว่า “สามารถเรียกว่าหอเหลี่ยงหมางหรานได้”
เสี่ยวโม่พลิกเปิดบทรวมกวีที่มีชื่อเสียงร้อยกว่าเล่มในทะเลสาบหัวใจอยู่ชั่วขณะก็พลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “ยอดเยี่ยม!”
เป็นผู้ฝึกกระบี่ เก็บสะสมตำราเป็นงานอดิเรก
บทกวีโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ทั้งพกตำราทั้งพกกระบี่เดินไปบนเส้นทางที่กว้างใหญ่ (เหลี่ยงหมางหมาง)
ตำราและกระบี่ สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่มิอาจประมาณการณ์ (เหลี่ยงหมางหมาง) ถูกต้องแล้ว (หรานเหย่) หอเหลี่ยงหมางหราน!
เฉินผิงอันพูดง่ายๆ ว่า “แน่นอนว่าจะใช้ชื่อนี้หรือไม่ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง”
เสี่ยวโม่พูดด้วยสีหน้าสดใส “คุณชาย ใช้ชื่อนี้ตั้งหอตำราดีมากเลยจริงๆ เสี่ยวโม่ตัดใจปาวประกาศให้คนอื่นรู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ผลคือคุณชายเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เหล่ตามองมา
เสี่ยวโม่รีบพูดอย่างรู้กาลเทศะทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เถอะ มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขกันถ้วนหน้า”
ท่ามกลางม่านราตรี เหลาสุราสองฝากฝั่งของลำคลองชางพูบ้างสูงบ้างต่ำ ทอดยาวเรียงรายเป็นสายไปตลอดทาง
โคมไฟแสงสี ครึกครื้นจอแจ เสียงการละเล่นในวงสุราดังขึ้นๆ ลงๆ ราวกับว่าเสียงทายหมัดดังลอดทะลุหน้าต่างออกมา ทั้งยังมีเสียงขับร้องอ่อนหวานดังคลอลอยมาตามสายลม
เล่าลือกันว่าบางคนที่ชอบดื่มเหล้าทั้งยังไม่ขาดเงิน สามารถอยู่ที่ลำคลองชางผูแห่งนี้ตั้งแต่สายัณห์จนถึงเช้าตรู่ของอีกวันได้เลย เพียงแค่ขยับเท้าเล็กน้อยก็สามารถดื่มเหล้าได้ถึงสี่ห้ามื้อ
วันนี้ลูกหลานสกุลกวนอี้โจวคนหนึ่งที่น้อยครั้งจะมาดื่มเหล้าที่นี่ได้จัดงานเลี้ยงสุราส่วนตัวอย่างหาได้ยาก
เขาลากตัวจิ่งควนที่เป็นเพื่อนร่วมงานแต่ไม่ใช่สหายออกมาจากที่ว่าการด้วยกัน จากนั้นคนทั้งสองก็ตรงดิ่งมาที่ลำคลองชางผู
กวนอี้หรานกับจิ่งควน ชาติกำเนิดของคนทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สามารถพูดได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ทุกวันนี้ตำแหน่งขุนนางกลับเหมือนกัน
แม้ว่าคุณความชอบด้านการสู้รบของกวนอี้หรานจะมีมากพอ ประสบการณ์ในวงการขุนนางก็ดีมาก เป็นตัวสำรองรองเจ้ากรมได้อย่างไม่ต้องกังขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จิ่งควนที่มีชาติกำเนิดยากจน สามารถรับหน้าที่เป็นหลางจงในกองชิงลี่บางฝ่ายทั้งที่อายุแค่สามสิบต้นๆ กลายเป็นหนึ่งในขุนนางหลักของสิบแปดฝ่ายในกองชิงลี่กรมคลังได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเส้นทางการเลื่อนขั้นขุนนางของวงการขุนนางต้าหลีนั้นกว้างขวางเพียงใด
ก่อนหน้านี้มีคนลูบหัวแล้วเงยหน้าร้องด่าอย่างเดือดดาล ที่แท้ก็เจอคนถล่มเสลดหล่นลงมาจากฟ้า
จิ่งควนเอ่ยเสียงเบา “อี้หราน ข้าค่อนข้างตื่นเต้น ได้เจอกับเซียนกระบี่เฉินท่านนั้นแล้วควรจะพูดอะไร บรรยากาศถึงจะไม่เย็นชาเกินไป?”
เนื่องจากกวนอี้หรานออกจากเมืองหลวงเข้าร่วมกับกองทัพมาตั้งนานแล้ว อันที่จริงจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้พอๆ กับจิ่งควน ดังนั้นจึงต้องคอยถามทางกับคนอื่น พอได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็เพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
จิ่งควนกล่าวต่ออีกว่า “มีข้อห้ามอะไรบ้างเจ้าก็รีบบอกให้ข้ารู้หน่อยเถอะ อย่าแสร้งทำตัวเป็นคนใบ้อยู่เลย”
กวนอี้หรานเอ่ยสัพยอก “ข้อห้าม? แค่อย่างเดียว ถึงเวลานั้นหากเจ้าคอไม่แข็งพอ ทำให้เซียนกระบี่เฉินของพวกเราดื่มได้ไม่สาแก่ใจ กลายเป็นว่ามาด้วยความฮึกเหิมแต่ต้องกลับไปด้วยความห่อเหี่ยว วันหน้าเจ้าต้องถูกหมายหัวแน่”
จิ่งควนยังคงไม่ว่าใจ “ถึงอย่างไรก็เป็นเทพเซียนบนภูเขาคนหนึ่ง แล้วยังหนุ่มขนาดนั้น จะไม่เจ้าอารมณ์สักนิดเลยหรือ? หรือจะรอให้ข้าทำตัวขายหน้า เจ้าจะได้ชมเรื่องสนุก?”
สหายของสหาย อันที่จริงไม่ได้อยู่ร่วมด้วยได้ง่ายอย่างที่คิด
กวนอี้หรานกลอกตามองบน “ใต้เท้าหลางจง ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ เจ้าใช้วิธีของพวกขุนนางให้น้อยๆ หน่อยเถอะ หากงานเลี้ยงสุราพูดจาด้วยความเหมาะสมจนน้ำสักหยดก็ไหลผ่านไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปทำอะไรบนโต๊ะสุรากันอีก เหล้ามื้อนี้ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงสุราน้อยใหญ่ที่เจ้าเคยร่วมดื่มในอดีต หากเจ้าไม่เชื่อใจข้า อีกเดี๋ยวเจอเซียนกระบี่เฉินแล้ว เจ้าก็บอกว่าตัวเองไม่เคยดื่มเหล้า ได้แต่มองอย่างเดียวเท่านั้น”
เจ้าจิ่งควนผู้นี้อะไรก็ดีหมด ก็แค่ระมัดระวังตัวมากเกินไป ไม่รู้จักปล่อยตัวเปิดกว้าง ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเขาไปดื่มสุราเคล้านารีที่ ‘แนบเนื้อเล็กน้อย’ ที่อื่นกับเพื่อนร่วมงานกรมคลังคนหนึ่งซึ่งอายุพอๆ กัน จิ่งควนก็ยังนั่งหลังตรงอย่างสำรวม หากมีสตรีมาแนบชิดก็ทำท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
ต่อมาทั้งสองก็เจอคนคุ้นเคยคนหนึ่ง สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้า
เขายืนอยู่หน้าเหลาสุราแห่งหนึ่ง ดูท่าน่าจะกำลังรอพวกเขาอยู่
จิ่งควนจำอีกฝ่ายได้ในทันที คือคนต่างถิ่นที่ไปนั่งดื่มชาอยู่กับกวนอี้หรานในที่ว่าการกรมคลังก่อนหน้านี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ห่างจากคราวก่อนที่เจอหน้ากันในที่ว่าการไม่นานนัก อีกทั้งอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนที่สามารถคุยเล่นกับกวนอี้หรานได้ตามสบายด้วย
ทำให้จิ่งควนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อที่ทางร้านให้มาคอยเรียกลูกค้าอยู่ข้างหน้า จึงมีแขกที่อยู่หน้าร้านถึงกับเริ่มสอบถามอะไรบางอย่างกับเขาแล้ว
และคนผู้นั้นก็ไม่หงุดหงิด ยังคลี่ยิ้มผายมือเชิญเข้าไปในเหลาสุรา คาดว่าคงจะช่วยบอกทางให้กับอีกฝ่าย
กวนอี้หรานเดินเร็วๆ ขึ้นหน้า เหลือบตามองป้ายร้านของเหลาสุรา “จุ๊ๆ รู้จักเลือกสถานที่จริงๆ ร้านเหล้าร้อยกว่าร้านก็เป็นร้านนี้ที่เหล้าธรรมดาที่สุดแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ธรรมดาส่วนธรรมดา แต่ค่าใช้จ่ายของอาหารมื้อหนึ่งก็ไม่น้อยหรอกนะ”
กวนอี้หรานโบกมือเอ่ย “ไปร้านติดกัน ไปร้านติดกัน! ใต้เท้าจิ่งข้างกายข้าคนนี้ชอบกินคาวไม่ชอบกินเจ”
เฉินผิงอันยิ้มมองไปทางหลางจงกรมคลังที่อายุน้อยแต่มากความสามารถ ตามคำกล่าวของกวนอี้หราน คนผู้นี้ยังควบตำแหน่งดูแลภาพอวี่หลินในห้องเก็บเอกสารเหนือของกรมคลังด้วย
อันที่จริงคราวก่อนที่พบเจอกัน เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นแล้วว่าด้านหลังของขุนนางหนุ่มคนนี้มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่เทพภูเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายแขวนไว้มากถึงหกดวง ด้านบนโคมล้วนเป็นตัวอักษรที่เขียนด้วยวิธีการลับของจวนหรือศาลบางแห่ง ดังนั้นในสายตาของนักมองลมปราณ ใต้เท้าหลางจงท่านนี้จึงมีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันต่อให้คนผู้นี้ขึ้นเขาลงห้วย เดินท่องอยู่ในป่าลึกเพียงลำพัง เสนียดชั่วร้ายต่างๆ ย่อมหลีกหนี ภูตผีเกิดความขลาดกลัว เป็นฝ่ายหลีกทางอ้อมไปทางอื่นด้วยตัวเอง
จิ่งควนรีบเอ่ย “ที่นี่ก็ดีแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใต้เท้าหลางจง แน่ใจหรือว่าจะไม่เปลี่ยนร้าน? บอกไว้ก่อนนะว่า หากใต้เท้าหลางจงเกรงใจข้า ข้าจะไม่เกรงใจจริงๆ แล้วนะ”
เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ขยับเท้า ดูเหมือนบุรุษชุดเขียวจะรอให้ตนเปลี่ยนใจ จิ่งควนจึงได้แต่กดเสียงต่ำถามกวนอี้หรานอย่างสงสัยว่า “เซียนกระบี่เฉินท่านนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!