ตอน บทที่ 886.2 ปิ่นเต๋า จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 886.2 ปิ่นเต๋า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันได หยิบเอาตราประทับเปล่าสองชิ้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ปีนั้นร่วมมือทำการค้ากับเยี่ยนจั๋วที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาจึงเก็บวัสดุหินเอาไว้ไม่น้อย
จากนั้นก็เรียกไฮเหลย กระบี่บินจำลองของเซียนกระบี่ที่มาจากภูเขาชังกระบี่ออกมา
ส่วนกระบี่บินจำลองซงเจินที่จำแลงมาจาก ‘กู่ชุ่ย’ เล่มนั้น ได้ถูกเผยหมิ่นใช้สองนิ้วบีบแตกไปแล้ว
เฉินผิงอันถือไฮเหลยไว้ในมือต่างมีดแกะสลัก เริ่มแกะสลักริมขอบก่อน ก็คือเนื้อหาของ ‘เทียบชุดเขียวหยวนเจีย’ สุดท้ายถึงได้แกะสลักลงตรงก้นตราประทับเป็นสองคำว่า ‘เซียนกระบี่’
ส่วนตราประทับที่สองที่ด้านใต้เป็นคำว่า ‘ผู้เล่นระดับแคว้น’ ตรงริมขอบกลับเป็นคำสั่งสอนของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ตรงใจเฉินผิงอันมากที่สุด คือประโยคที่บอกว่าบรรยากาศทั้งสดชื่นทั้งปลอดโปร่ง ความรู้ทั้งลึกซึ้งทั้งยาวไกล ตั้งตนด้วยความแข็งแกร่งและจริงใจ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยนและหนักแน่น
ตราประทับสองชิ้นนี้ ตรงช่วงท้ายของอักษรริมขอบแยกกันแกะสลักคำว่า ‘เฉินสืออี’ และ ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว’
ใช้เวลาของเฉินผิงอันไปเกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ
หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากมีตราประทับน้อยชิ้นที่จะมีตัวอักษรริมขอบ คาดว่าป่านนี้คงแกะสลักตราประทับเสร็จไปยี่สิบอันแล้ว
เก็บกระบี่บินไฮเหลยลงไป สองมือของเฉินผิงอันถือตราประทับไว้ชิ้นละมือ ก้มหน้าเป่าลมใส่เบาๆ เป่าให้เศษผงที่อยู่ระหว่างร่องตัวอักษรของตราประทับปลิวหายไป ครั้นจึงเงยหน้ายิ้มกล่าว “นี่เรียกว่าไม่มีค่าสักหนึ่งอีแปะ ทองหมื่นชั่งก็ไม่ขาย”
เสี่ยวโม่กล่าว “คุณชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
เก็บตราประทับสองชิ้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เฉินผิงอันหยิบหลิงจือหยกขาวชิ้นหนึ่งออกมา เห็นว่าเสี่ยวโม่มองประเมินตัวอักษรสองแถวอย่างใคร่รู้ก็มอบมันให้กับเสี่ยวโม่เสียเลย เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “ร่างอาคมที่ข้าร่ายใช้ตอนเดินทางมาโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ก็เรียนรู้มาจากอดีตเจ้าของของหลิงจือหยกขาวชิ้นนี้”
เสี่ยวโม่เห็นว่าความหมายแฝงของตัวอักษรที่แกะสลักอยู่ดีเยี่ยมก็ออกปากชมไม่หยุด
คนผู้ส่องประกายแสงใสกระจ่างไร้ตำหนิพันปี ตระกูลที่ส่งกลิ่นหอมของดอกหลันจือนานร้อยปี
มอบให้กับคุณชายบ้านตนก็เหมาะสมที่สุดจริงๆ
มอบของขวัญให้กันอย่างนี้ต่างหากจึงจะถือว่ามีขอบเขต
ดังนั้นในอนาคตหากมีโอกาสก็จะต้องไปพบเจอเซียนกระบี่ที่มือเติบคนนั้นสักหน่อย
เฉินผิงอันเรียนรู้ร่างเมฆาวารีมาจากอวิ๋นเหมี่ยวเซียนเหรินของหอเซียนจิ่วเจิน มรรคกถาบทนี้มีความหมายว่าไผ่แน่นแค่ไหนก็มิขัดขวางน้ำไหลผ่าน ฟ้าสูงแค่ไหนก็มิขัดขวางเมฆขาวโบยบิน (เปรียบเปรยว่าไม่ว่าเบื้องหน้าจะอันตรายมากแค่ไหนก็มิอาจเปลี่ยนแปลงปณิธานของตัวเองได้)
อวิ๋นเหมี่ยวยังมีวิชาอภินิหารก้นกรุอีกบทหนึ่งที่ได้รับคำเรียกขานอย่างไพเราะว่า ‘ขอบเขตแห่งแก่นน้ำ’ สามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ค่อนข้างจะไม่ธรรมดา
ตอนที่แบกรับตบะขอบเขตสิบสี่ของลู่เฉินเอาไว้ เฉินผิงอันที่ท่องเที่ยวไปทั่วทิศในแจกันสมบัติทวีปไม่ได้อยู่ว่างเลย พยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือให้เต็มที่ ไม่ปล่อยให้สิ้นเปลืองสักนิด ตรวจสอบค้นหาภาพแห่งกาลเวลาตอนที่ประลองเวทกับอวิ๋นเหมี่ยวในทะเลสาบหัวใจ ใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเอง อนุมานไปบนมหามรรคา จำแลงออกมาเป็นคาถาบทนี้ จึงมีความเหมือนขอบเขตแก่นน้ำที่อวิ๋นเหมี่ยวสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองด้านรูปร่างแล้วหลายส่วน เรื่องนี้เมื่อเทียบกับการอนุมานฉากสายฟ้าวิชาลับของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วถือว่าง่ายกว่ามาก
หลังจากการประลองบนลำคลองของเกาะยวนยาง เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวที่สงสัยผีสงสัยเทพ เนื่องจากได้รับจดหมายลับจากเฉินผิงอันไปหนึ่งฉบับ อวิ๋นเหมี่ยวจึงรีบส่งจดหมายฉบับหนึ่งตอบกลับมาอย่างนอบน้อม และได้ส่งมอบหลิงจือหยกขาวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนไปให้ที่สวนกงเต๋อ
ในอนาคตเมื่อไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หากเฉินผิงอันเกิดความขัดแย้งกับใคร แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งจากใจจริงว่าข้าไม่ใช่อวิ๋นเหมี่ยว คาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ
เสี่ยวโม่คืนหลิงจือหยกขาวให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถือหลิงจือหยกขาวไว้ในมือ เคาะลงกลางฝ่ามือเบาๆ
รอให้เรื่องการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างเสร็จสิ้น ปิดด่านฝึกตนช่วงระยะเวลาหนึ่ง พยายามหวนกลับไปสู่ขอบเขตหยกดิบและชั้นคืนความจริงของขอบเขตปลายทาง เฉินผิงอันก็คิดว่าจะลากเอาหลิวจิ่งหลงไปท่องเที่ยวในใต้หล้าไพศาลด้วยกัน เส้นทางจะเริ่มที่อุตรกุรุทวีปก่อน แล้วจึงเป็นธวัลทวีป ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทักษินาตยทวีป จากนั้นจึงไปฝูเหยาทวีป เดินทางขึ้นเหนือต่อไปยังเกราะทองทวีป หลิวเสียทวีป
นอกจากอาณาเขตทางทิศเหนือแล้ว อันที่จริงพื้นที่อื่นๆ ของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันล้วนคุ้นเคยดี ส่วนธวัลทวีป ตระกูลสกุลหลิวของเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ศาลเหลยกงของเพ่ยอาเซียง ล้วนจะต้องไปเป็นแขก
ส่วนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สถานที่ที่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนหรือไม่ก็แวะระหว่างที่ผ่านทางก็ยิ่งมีมากยิ่งกว่า จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ พื้นที่มงคลเหล่าเคิงของฝูลู่อวี๋เสวียน ภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ราชวงศ์ต้าตวนที่เฉาสืออยู่ ราชวงศ์เสวียนมี่ที่อวี้พ่านสุ่ยเป็นไท่ซ่างหวง…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่งดงามมีชื่อเสียงอีกมากมายที่บันทึกอยู่ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ กับจารึกเสริมสองเล่มเลย
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป เห็นว่าบนม่านราตรีที่ห่างไปไม่ไกลมีประกายแสงเปล่งวาบหนึ่งที ก่อนจะมีผู้ฝึกตนคนหนึ่งซึ่งคล้ายทะยานลมเดินทางไกล จากนั้นก็มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งตามอีกฝ่ายไปติดๆ พริบตาเดียวก็ลากเอาเส้นสีทองยาวร้อยจั้งที่เปล่งแสงวาบตามไป
ผู้ฝึกลมปราณเผ่นหนีอย่างฉุกละหุก เปลี่ยนแปลงเส้นทางอยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นก็ยังถูกเชือกสีทองเส้นนั้นตามรัดพันข้อเท้าราวกับเงา จากนั้นก็กระชากเขาลงมาบนพื้นอย่างแรง ผู้ที่หนีและผู้ที่ไล่ตาม ต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเซียนดิน
แสงกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณร่วงลงไปยังจุดหนึ่งพร้อมกัน ห่างจากโรงเตี๊ยมไปประมาณหนึ่งลี้ เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ ไปดูเรื่องสนุกกันดีกว่า”
ในเมืองหลวงต้าหลีที่กฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้ ถึงกับมีผู้ฝึกลมปราณที่กล้าทะยานลมแหวกอากาศ ประชันเวทคาถากับผู้อื่นโดยพลการเชียวหรือ?
สามารถทะยานลมอยู่ที่นี่ได้ นอกจากผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของสกุลซ่งต้าหลีแล้วก็มีแค่เจ้าของป้ายสงบสุขที่มีบันทึกชื่ออยู่ในกรมอาญาต้าหลีเท่านั้นแล้ว
เหมือนอย่างเฉินผิงอันเอง ทุกครั้งที่เดินทางออกจากเมืองยังต้องหยิบป้ายสงบสุขปลายแถวของกรมอาญาแผ่นนั้นมาแขวนไว้ให้พอเป็นพิธี
ขยับเท้าไปพร้อมกับเสี่ยวโม่ หดย่อพื้นที่มาหยุดอยู่ตรงจุดที่แสงกระบี่ร่วงลงไป
เมืองหลวงต้าหลีกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมนี้ถือเป็นอาณาเขตที่ทั้งไม่ร่ำรวยและไม่สูงศักดิ์ เพียงแค่ว่าดีกว่าที่พักของโจวไห่จิ้งอยู่หลายส่วนเท่านั้น
ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “กลัวก็แต่เจ้าจะไม่หนีน่ะสิ หากไม่เป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีวิธีจัดการเจ้าจริงๆ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าส่ายหน้ากล่าว “ในฐานะผู้ฝึกตน ทะยานลมกลางอากาศเหนือเมืองหลวงโดยพลการ ถือเป็นการละเมิดกฎร้ายแรงอันดับหนึ่ง จะมาบอกว่าถูกใส่ร้ายได้อย่างไร? ใช่ว่านั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันไม่ได้เสียหน่อย เจ้าประมุขฟ่านเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดแล้ว”
ทว่าเสียงในใจกลับเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง “เจ้าตะพาบน้อย คืนนี้ข้าผู้อาวุโสจะรั้งตัวเจ้าไว้ ต่อให้หลังจบเรื่องทางกรมพิธีการกำหนดโทษ กรมอาญาซักไซ้เอาผิด เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็ยังดีกว่าไม่น้อย”
พูดจาเหลวไหลได้หน้าตาเฉย คนฉลาดพูดจาโง่เขลา
รอกระทั่งสงครามครั้งนั้นสิ้นสุดลง ราชวงศ์ต้าหลีก็ยังควบคุมตระกูลเซียนบนภูเขาเข้มงวดเหมือนเดิม ทว่าทุกวันนี้ราชวงศ์สกุลซ่งกลับมีเมตตาต่อเรื่องราวในยุทธภพและคนในยุทธจักรมากเป็นพิเศษ ให้อภัยได้มากกว่าเก่า ขอแค่ไม่ก่อเรื่องที่เกินกว่าเหตุ ที่ว่าการน้อยใหญ่ในเมืองหลวงก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องในยุทธภพเท่าใดนัก ดังนั้นพรรคในยุทธภพของต้าหลีจึงเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก จอมยุทธพเนจรของแต่ละแคว้นที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงสำรองต้าหลีหลายคนก็มักจะเดินทางขึ้นเหนือไปพร้อมกับขบวนพ่อค้า
สัมผัสได้ถึงสายตาสอบถามจากเสี่ยวโม่ที่หันหน้ามามอง เฉินผิงอันก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “คนดีคนเลวกับเรื่องราวที่ถูกหรือผิด ง่ายที่จะปะปนกัน กฎหมายของราชวงศ์ต้าหลีเหมาะกับเรื่องไม่เหมาะกับคนมาโดยตลอด”
ศูนย์ฝึกยุทธบริเวณใกล้เคียงแห่งหนึ่งมีบุรุษวัยฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งพากันออกมา กฎระเบียบของศูนย์ฝึกยุทธเข้มงวด มีการห้ามเข้าออกยามวิกาล อาจารย์ยังไม่อนุญาตให้พวกเขาไปก่อเรื่องข้างนอก จึงได้แต่แอบออกมาร่วมวงความครึกครื้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบนหัวกำแพงมีคนชิงตัดหน้ายึดพื้นที่ไปก่อนแล้ว ชายฉกรรจ์ที่ลักษณะเปี่ยมไปด้วยพละกำลังคนหนึ่งจึงถามขึ้นว่า “พี่น้อง ที่นี่?”
เฉินผิงอันขยับไปทางเสี่ยวโม่ เว้นที่วางให้อีกฝ่าย ยิ้มเอ่ยว่า “มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้น เชิญพวกเจ้าตามสบาย”
แต่ละคนจึงก้าวเร็วๆ มาทางหัวกำแพงแล้วกระโดดตัวขึ้นสูง ใช้สองมือคว้าจับหัวกำแพงไว้แล้วพลันออกแรงดึงตัวขึ้นไปบนหัวกำแพง
คือการทะเลาะวิวาทระหว่างพรรคในยุทธภพที่คลื่นลมก่อตัวมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่าวกวนอ้อมค้อมไปมา ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไปดึงเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานเมฆขี่หมอกกลุ่มนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้ เหมือนเกี๊ยวที่ถูกจับโยนลงหม้อต่อเนื่อง โอกาสเช่นนี้หาได้ยากนัก
ชายผู้นั้นกดเสียงต่ำถาม “พี่น้องก็เป็นผู้ฝึกยุทธเหมือนกันหรือ?”
ลมหายใจหนักแน่น มีลมปราณขุมนั้นอยู่
แน่นอนว่าคนที่จะปีนกำแพงสูงขนาดนี้ได้ต้องไม่ใช่บัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่แน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยฝึกวิชาหมัดเท้าอยู่ไม่กี่วัน พอจะเป็นศาสตร์การต่อสู้อยู่บ้าง ที่บ้านทำการค้าเลยได้ขึ้นเหนือล่องใต้เป็นประจำ พอจะมีวิชาติดตัวบ้างเล็กน้อยให้ชีวิตพอสงบสุข”
อาจารย์ด้านวรยุทธวัยหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายชายผู้นั้นแอบกลอกตามองบน ยังเป็นศาสตร์การต่อสู้ด้วย ต้องเป็นคุณชายบ้านคนรวยที่อ่านหนังสือผุๆ มาหลายเล่มแน่นอน เพราะคนจนเรียนบุ๋นคนรวยเรียนบู๊นี่นะ
บุรุษถามต่ออีกว่า “พี่น้องท่านนี้เคยได้ยินชื่อศูนย์ฝึกยุทธหยางหย่วนของพวกเราหรือไม่ เจ้าศูนย์อู๋ของพวกเรา แม้ว่าจะอายุมาก แต่กลับเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพในเมืองหลวงเชียวนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!