สรุปเนื้อหา บทที่ 886.3 ปิ่นเต๋า – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 886.3 ปิ่นเต๋า ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เฉินผิงอันเอ่ย “เป็นข้าที่หูตาคับแคบแล้ว”
ไม่ว่าเจ้าศูนย์จะใช้ลูกผู้ชายตัวจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือศูนย์ฝึกยุทธต้องขาดเงินแน่นอน
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเจอใครข้างทางก็ลากมาเข้าพวกด้วย ให้มาเป็นถุงเงินคอยหลอกเอาเงินอย่างนี้
พรรคในยุทธภพต้องการคนเลี้ยงดู อันที่จริงก็เหมือนกับที่ศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำต้องการผู้แสวงบุญรายใหญ่นั่นแหละ
เห็นว่าคนผู้นั้นคล้ายจะหมดความสนใจ ชายฉกรรจ์ก็ยังไม่ถอดใจ “พี่น้องคนนี้ ถึงอย่างไรก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของจอมยุทธใหญ่ซือถูชิวถิงที่ได้ฉายาว่า ‘หมัดเทพหกกร’ บ้างกระมัง? นั่นคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งต้าหลีเชียวนะ เป็นลูกพี่ใหญ่ในแถบทางเหนือของเมืองหลวงพวกเราเลยล่ะ เรื่องบางอย่างที่ทางการจัดการไม่ได้ก็ล้วนเป็นเขาผู้อาวุโสที่ออกหน้า เจ้าศูนย์ของพวกเรามักจะไปดื่มเหล้ากับจอมยุทธใหญ่ซือถูบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ อันที่จริงอายุของอีกฝ่ายก็ไม่ถือว่ามาก ก็คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ได้เงินค่ายาก้อนหนึ่งไปจากลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของตน ก็ไม่รู้ว่าจอมยุทธใหญ่หมัดเทพหกกรผู้นี้คิดอะไรอยู่ ดูเหมือนว่าจะเอาเงินก้อนนั้นไปบูชาไว้ด้วย หากเป็นนิสัยของเผยเฉียนตอนที่นางยังเป็นเด็ก จุดจบของจอมยุทธใหญ่ท่านนี้ก็คงน่ากังวลแล้ว
แต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในยุทธภพ ขอบเขตแค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว
หวนนึกถึงตนเองในอดีตที่พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ใต้หล้าแห่งหนึ่งมีทั้งอาจารย์จ้ง คนลับมีดหลิวจง พวกเขาในเวลานั้นยังไม่ได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่านี่เป็นการกระทำอย่างตั้งใจของเจ้าอารามผู้เฒ่า และยังเกี่ยวข้องกับการสยบกำราบบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นของพื้นที่มงคลด้วย
ชายฉกรรจ์ถาม “พี่น้องคงเป็นคนต่างถิ่นกระมัง?”
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมาจากชายแขนเสื้อ หันหน้ามากุมหมัดยิ้มเอ่ย “พี่ชายสายตาดีนัก ข้าเป็นคนต่างถิ่นจริงๆ มาจากสถานที่เล็กๆ แซ่เฉานามโม่ โม่จากประโยคที่ว่าช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า ไม่เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเข้าใจ ตัวอักษรนั่นเขาไม่รู้จัก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ถ่วงรั้งการเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “โม่เดียวกับคำว่าฟองน้ำลาย”
คุณชายหล่อเหลาคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนถนน สองนิ้วคีบหูกาเหล้า ท่าทางเมามาย สวมเสื้อคลุมขนห่าน ดวงตาหรี่ปรือ
ชายฉกรรจ์ตาเป็นประกาย “น้องเฉา เมืองหลวงของพวกเราเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบนะ ไม่เพียงแต่มีปรมาจารย์ผู้เฒ่าของพรรคแห่งหนึ่งที่เดินไปสู่ยอดสูงสุดของเส้นทางการเรียนวรยุทธ ยามลงมือมีพลังอำนาจหนักหน่วงดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง ไม่แพ้เทพเซียนบนภูเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วยังมีสี่สาวงาม รวมไปถึงยอดฝีมืออายุน้อยอีกสี่คน แต่ละคนพรสวรรค์เลิศล้ำ ล้วนเป็นคนมีความสามารถด้านการเรียนวรยุทธทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือหนึ่งในยอดฝีมืออายุน้อย เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกับน้องเฉา อยู่ที่เมืองหลวงแค่สามปีห้าปีก็สร้างชื่อเสียงใหญ่โตให้กับตัวเองได้แล้ว ว่ากันว่าเขามักจะเข้าออกถนนฉือเอ๋อร์เป็นประจำ”
ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณมีเพียงบนภูเขา ส่วนในสายตาของคนในยุทธภพก็มีแค่ยุทธภพเท่านั้น
ศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายชายฉกรรจ์คิดในใจว่า ศิษย์พี่ใหญ่ไปฟังนักเล่านิทานที่สะพานหรือไม่ก็เหลาสุรามาบ่อยๆ นับว่าไม่ได้ฟังมาเสียเที่ยว เงินที่จ่ายไปก็ไม่เสียเปล่า
บนหัวกำแพงมีเด็กหนุ่มจากศูนย์ฝึกยุทธคนหนึ่งบิดก้น ก่อนที่เสียงผายลมจะดังออกมา
ชายฉกรรจ์หันหน้าไปด่าขำๆ “ตดดังไม่เหม็น ตดเหม็นไม่ดัง แต่พอเป็นเจ้ากลับดีนัก ใครใช้ให้เจ้ากินกลีบกระเทียมต่างข้าวอย่างนั้น ตอนนี้ล่ะดีนัก ผายลมทีก็รมให้คนตายได้เลย เจ้าระวังหน่อย ได้ยินมาว่าคุณหนูของบ้านนี้ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอ เจ้าผายลมดังขนาดนี้ ระวังจะทำให้นางตกใจจนขวัญบินเสียล่ะ”
“หลิวเสี่ยวขุย ทำปากให้มันสะอาดหน่อย พูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”
ที่แท้ในเรือนหลังนี้ก็มีดรุณีน้อยสองคนที่เตรียมจะเอาบันไดมาพาดกำแพง มีสตรีเรือนกายบอบบางคนหนึ่งคีบผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกไว้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ข้างกายของนางก็คือเด็กสาวลักษณะเหมือนสาวใช้สองคนรับผิดชอบคอยจับบันได จะได้ให้คุณหนูบ้านตัวเองชมภาพเหตุการณ์ภายนอกได้สะดวก สาวใช้คนหนึ่งนิสัยค่อนข้างเผ็ดร้อน เวลานี้นางยกสองมือเท้าเอวฉับ หันมาถลึงตาดุร้ายใส่ชายฉกรรจ์บนหัวกำแพงที่ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง
เพียงแต่ว่าคนทั้งสามไม่ได้ขับไล่พวกเขาไป
สาวใช้อีกคนหนึ่งรีบเอ่ยเตือน “เบาๆ หน่อย เบาเสียงหน่อย หากนายท่านรู้เข้า พวกเราสองคนซวยแน่ แล้วยังจะเดือดร้อนให้คุณหนูโดนกักบริเวณด้วย”
ชายฉกรรจ์ที่มีชื่อว่าหลิวเสี่ยวขุยหันตัวมา ยิ้มเอ่ย “โอ้ นี่มันแม่นางเฟิ่งเซิงไม่ใช่หรือ ได้ยินมาว่าช่วงก่อนหน้านี้พวกเจ้าเชิญนักพรตมาทำพิธี ทุกวันนี้ในเรือนสงบแล้วรึ? นักพรตที่เป็นฝ่ายมาเยือนถึงบ้านเพื่อช่วยขับไล่เสนียดชั่วร้ายผู้นั้น บนร่างมีหนังสือรับรองการออกบวชติดมาด้วยหรือไม่? ข้าดูแล้วเขาไม่น่าจะใช่คนดีสักเท่าไร พวกเจ้าอย่าปล่อยให้เขาหลอกเอาเงินไปได้ล่ะ ถ้าถามข้านะ เชิญให้เจ้าศูนย์ของพวกเราแสดงฝีมือ ช่วยเฝ้าบ้านของพวกเจ้าตอนกลางคืน แค่นั่งอยู่เฉยๆ ด้วยปราณหยางที่โชติช่วงบนร่างของเจ้าศูนย์พวกเรา สิ่งสกปรกทั้งหลายต้องตกใจหนีหายกันไปแน่ ไม่ต้องให้พวกเจ้าเสียเงินด้วย เป็นอย่างไร?”
สาวใช้ร้องถุยหนึ่งที “หลิวเสี่ยวขุยเจ้าจะไปเข้าใจกะผายลมอะไร นอกจากบนร่างมีกล้ามเนื้อไม่กี่จินแล้วยังจะทำอะไรได้อีก? ศูนย์ฝึกยุทธเล็กๆ ที่ดีแต่จะหลอกเอาเงินคนอื่นไม่ต้องมาแส่ยุ่งเรื่องบนภูเขาที่มีเพียงเซียนซือในทำเนียบเท่านั้นถึงจะจัดการได้หรอก!”
หลิวเสี่ยวขุยยิ้มตาหยี ไม่โมโหแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่เถียงกลับ เพียงแค่ยืดคอยาวไปมองหน้าอกของเด็กสาวคนนั้น มองจากตรงนี้ไป ทัศนียภาพงดงามยิ่ง
เฉินผิงอันฟังเสี่ยวโม่ที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างถ่ายทอดเสียงในใจและการรวมเสียงให้เป็นเส้นจากทางถนนใหญ่ พลางหันหน้าไปมองในเรือนด้วย เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย เมืองหลวงแคว้นเล็กทั่วไปก็ยังไม่เท่าไร อาจจะมีภูตจิ้งจอก มีผีบ้านผีเรือน หรือไม่ก็เทพศาลเถื่อนคอยออกอาละวาดอยู่จริง แต่ในเมืองหลวงต้าหลีแห่งนี้กลับมีสถานการณ์ที่ผีวิญญาณเร่ร่อนไปทั่วด้วยหรือ? ที่นี่นอกจากจะมีศาลเทพอธิบาลเมือง ศาลเทพแห่งผืนดินแล้ว ที่ว่าการอื่นๆ อีกมากมาย ลำพังแค่เทพท่องทิวาราตรีก็สามารถทำให้พวกภูตผีสิ่งชั่วร้ายหวาดกลัวกันทั่วหน้าแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าออกมาเตร็ดเตร่ล่องลอยอย่างกำเริบเสิบสาน นี่ก็ไม่เหมือนพวกหัวขโมยตัวเล็กๆ ปลายแถวที่ตอนกลางวันไปยืนอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภออย่างผ่าเผย คอยยั่วยุพวกมือปราบที่ทำหน้าที่จับขโมยโดยเฉพาะ เจ้ามาจับข้าสิ มาตีข้าให้ตายสิหรอกหรือ?
ในบ้านของคนมีฐานะหลังนี้มีกลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายเป็นกลุ่มๆ ไหลเวียนไม่หยุดนิ่งอยู่จริง เพียงแต่ว่าเจือจางอย่างมาก แล้วยังอ้อมผ่านสถานที่ที่มีภาพเทพทวารบาลติดอยู่ แค่ป้วนเปี้ยนอยู่ในเงามืดตามมุมต่างๆ ของเรือนเท่านั้น พวกคนที่ปราณหยางค่อนข้างเข้มข้นก็สามารถทำให้มันหลีกหนีไปได้ เฉินผิงอันมองไปที่สีหน้าของหญิงสาวสามคนตรงมุมกำแพงอีกทีก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น หนึ่งคือมีคนร่างกายอ่อนแอ จิตวิญญาณไม่มั่นคง ปราณหยางไม่มากพอ ทั้งยังไปละเมิดข้อห้ามอยู่นอกบ้าน ไปชักนำสิ่งสกปรกตามคำกล่าวของชาวบ้านให้เข้ามาในบ้าน หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือคนในบ้านมีพฤติกรรมชั่วร้าย เดือดร้อนให้คนในบ้านสูญเสียการปกป้องคุ้มครองจากร่มเงาบรรพบุรุษ เพียงแต่ว่ามองดูแล้วบ้านหลังนี้ไม่น่าจะเป็นสถานการณ์ทั้งสองอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งก็คงต้องเป็นฝีมือของนักพรตคนนั้นที่มือซ้ายมอบออกไปมือขวารับกลับมาแล้ว เขาตั้งใจสร้างความวุ่นวายให้กับตระกูลคนมีเงินที่พอจะมีกำลังทรัพย์แห่งนี้ก่อน ทำให้คนตกใจกลัวจะได้หลอกเอาเงินมาได้ง่าย
ก็เหมือนอย่างเทพทวารบาลที่ป้องกันภูตผีเสนียดชั่วร้ายได้ แต่มิอาจป้องกันใจคนที่ชั่วร้ายได้
สาวใช้ที่เรือนกายอวบอิ่มยื่นมือมาบังตรงหน้าอก ถลึงตาใส่เจ้าคนบ้าก้ามที่นั่งเรียงอยู่บนหัวกำแพงเหมือนนกกระจอก สองคนในนั้นไม่คุ้นหน้า โดยเฉพาะคนหนึ่งที่ยังมองเข้ามาในบ้านของตน นางจึงหันหน้าไปเอ่ยเตือนเบาๆ “คุณหนู ข้าว่าคนผู้นั้นน่าจะไม่ใช่คนดีอะไรพอๆ กับหลิวเสี่ยวขุยนะเจ้าคะ”
นักพรตหนุ่มยังคงไม่ลุกขึ้นยืน แค่เงยหน้ามองคนสองคนที่ข้ามธรณีประตูเข้ามา คนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวเป็นคนปิดประตู
นักพรตหนุ่มปิดตำราลัทธิเต๋าที่พิมพ์ขึ้นอย่างหยาบๆ ในมือเข้าหากัน แล้วก็นั่งนิ่งไม่ขยับดุจภูผาอยู่อย่างนั้น โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า “ขออู๋เลี่ยงเทียนจุนอำนวยพร”
จากนั้นก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ผลักจอกเหล้าว่างเปล่าบนโต๊ะใบหนึ่งให้ขยับไปด้านหน้าเล็กน้อย ครั้นจึงผายฝ่ามือข้างหนึ่งให้กับแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสอง คลี่ยิ้มสง่างามเอ่ยว่า “เมฆและน้ำไหลคล้อย ผู้ที่มาเยือนล้วนเป็นแขก มีเพียงสุราขุ่นๆ หนึ่งจอก ผินเต้ายากจน คงรับรองได้ไม่ดีพอแล้ว ส่วนพวกเจ้าสองคน สรุปแล้วใครจะเป็นคนดื่มเหล้า ก็ต้องดูที่โชควาสนาของใครของมัน”
“คุณชาย มองดูแล้วเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งเท่านั้น ภายนอกมองดูเหมือนสงบเยือกเย็น แต่อันที่จริงเส้นเอ็นหัวใจกลับกระตุกอย่างแรง ตื่นเต้นอย่างมาก”
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจเอ่ย “เว้นเสียจากว่า…เว้นเสียจากว่าจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เชี่ยวชาญการอำพรางเรือนกายมากกว่าลู่เหว่ยหรือเฉาหรง อีกทั้งยังเป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่ชอบลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ด้วย”
เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หยิบจอกเหล้าขึ้นมา หิ้วกาเหล้าขึ้น รินเหล้าให้ตัวเองเงียบๆ หนึ่งจอก
นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เซียนบนภูเขาไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้จริงๆ นิสัยของมนุษย์ธรรมดาในโลกมีความโง่เขลาดึงดัน”
จากนั้นก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะตรงริมขอบจอกเหล้าของตัวเองเบาๆ “ชีวิตนี้ข้าเดินทางมานาน หวังอยากขึ้นเขาให้เร็วกว่านี้”
เสี่ยวโม่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันฟังด้วยความมึนงงสนเท่ห์ เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้กำลังทายปริศนาธรรมอยู่หรือไร?
“โอ้ย เจ็บๆๆ”
พริบตานั้นนักพรตหนุ่มก็เริ่มแสยะปากแยกเขี้ยว ที่แท้เฉินผิงอันก็มาโผล่ข้างกายแล้วคว้าแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้
เฉินผิงอันเอ่ย “พวกเราเป็นคนของที่ว่าการ เจ้าทำความผิดอะไร ตัวเจ้าเองรู้ตัวดีที่สุด”
นักพรตหนุ่มหน้าซีดขาว ตะโกนเสียงดัง “ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ควรไปหลอกผีหลอกเจ้าที่บ้านหลังนั้น…”
พอได้ยินว่าคนทั้งสองทำงานอยู่ในที่ว่าการ นักพรตคนนี้ก็เสแสร้งต่อไปไม่ไหว เล่าเคล็ดลับที่ตัวเองใช้หลอกลวงคนอื่นออกมาเป็นพรวนราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่
มาจากแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีหนังสือรับรองการออกบวชของนักพรตอะไร ยิ่งไม่กล้าสวมกวานเต๋าส่งเดช เพราะถึงอย่างไรการสวมรอยเป็นนักพรตที่ออกทัศนาจรไปทั่วทิศ กับการปลอมตัวเป็นนักพรตที่มาจากสายลัทธิเต๋าบางสาย ความใหญ่เล็กของโทษทัณฑ์ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว หนึ่งเป็นที่ว่าการของราชสำนักที่เป็นคนจัดการ อีกหนึ่งคือนายท่านเทพเซียนลัทธิเต๋าบนภูเขาเป็นผู้จัดการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!