เฉินผิงอันปล่อยมือ มองนักพรตหนุ่มขวัญกล้าเทียมฟ้าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่ออกเลยสักนิด
นักพรตหนุ่มหน้ามุ่ย นวดคลึงแขนของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เอ่ยถามอย่างขลาดๆ ว่า “ขอถามนายท่านทั้งสอง เงินสามสิบตำลึงต้องโดนที่ว่าการเมืองหลวงโบยกี่ไม้ ต้องกินข้าวแดงนานกี่วัน?”
เจ้าคนที่มีชื่อจริงว่าเหนียนจิ่ง นามเซียนเว่ย แล้วยังตั้งฉายาให้กับตัวเองว่า ‘นักพรตซวีเสวียน’ ผู้นี้ แค่ฟังที่เขาพูดก็รู้แล้วว่าทำความผิดมาจนชิน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “นักพรตซวีเสวียน การทำพิธีครั้งนั้นทำให้เจ้าได้เงินไปสามสิบตำลึงเงิน ตอนนี้บนร่างยังเหลือเงินอีกกี่ตำลึงล่ะ?”
นักพรตหนุ่มเหลือบมองตำราและกาสุราบนโต๊ะแวบหนึ่ง “ค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงค่อนข้างสูง จึงเหลืออยู่ไม่เยอะ เหลือแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก นักพรตหนุ่มรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “เรียนนายท่าน หากรวมกับเงินสะสมที่มีอยู่ก็ยังเหลืออีกยี่สิบตำลึงเงิน”
เฉินผิงอันเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน นักพรตหนุ่มสูดจมูก หัวใจเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีดเถือ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ยังมีทองหยวนเป่าอีกก้อนหนึ่ง”
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าน่าขำ เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ฉี่ราดให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเลยล่ะ
เพียงแต่ว่าชั่วพริบตานั้นเสี่ยวโม่กลับเตรียมจะก้าวถอยหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก ทว่าอาศัยจิตแห่งมรรคาที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดทำให้ฝืนข่มกลั้นไม่ก้าวถอย กลับกันเสี่ยวโม่ยังขยับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน กำลังจะใช้เสียงในใจเอ่ย คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเปิดปากพูดก่อนแล้ว “ไม่เป็นไร ข้ารู้แล้ว”
เสี่ยวโม่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเรียกออกมาครบสี่เล่มด้วย
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “เก็บกระบี่บินลงไป”
เสี่ยวโม่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เห็นว่าคุณชายมีสีหน้ายืนกรานก็ได้แต่เก็บกระบี่บินลงไปเงียบๆ
ที่แท้ตรงมวยผมของคนหนุ่มที่สวมรอยเป็นนักพรตก็มีปิ่นไม้ชิ้นหนึ่งปักไว้อยู่ รูปลักษณ์ธรรมดาเรียบง่าย แต่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ปิ่นเต๋าชิ้นนี้ช่างคุ้นตาเสี่ยวโม่ยิ่งนัก!
แม้ว่าปิ่นไม้ที่อยู่บนผมของนักพรตหนุ่มตรงหน้าจะไม่มีทางเป็นปิ่นที่ได้เห็นในปีนั้นแน่นอน แต่ลำพังเพียงแค่รูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันก็ทำให้จิตใจของเสี่ยวโม่สั่นไหวได้แล้ว
เฉินผิงอันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางสีหน้า
นี่คงเป็นผลกรรมอย่างหนึ่งจากการที่เขาทำลายนครเซียนจานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้หักออกเป็นสองท่อนกระมัง?
“ดูท่าพวกเจ้าน่าจะเดาตัวตนของผินเต้าออกแล้ว”
คนหนุ่มคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืนช้าๆ สะบัดชายแขนเสื้อสองข้างของเสื้อคลุมเต๋า กำลังจะเปิดปากพูด ผลคือต้องร้องโอ้ย เจ็บๆๆ มือจะหักแล้ว นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย…ขึ้นมาอีกรอบ
ในใจโอดครวญไม่หยุด ต่อให้จะเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าน้ำเสียง พูดจาเหลวไหลได้คล่องปากแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานคำว่าเจ็บได้ไหวจริงๆ คนของทางการพวกนี้มีแต่พวกมุทะลุบุ่มบ่าม ชอบกระทำการหยาบช้า ไร้อารยธรรมเสียจริง…
พา ‘นักพรตซวีเสวียน’ ผู้นี้เดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม นักพรตหนุ่มสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ แน่นอนว่าไม่ลืมไปจ่ายเงินค่าห้องที่โต๊ะคิดเงินด้วย
ขุนนางหนุ่มที่นิสัยค่อนข้างย่ำแย่ผู้นั้นบอกว่าจะให้เขาเปลี่ยนไปพักในสถานที่ที่กว้างขวางกว่านี้ คนหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ข้าวแดงในคุกไม่อร่อยเลยจริงๆ
อยู่ดีๆ ก็มอบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งให้เขา บอกว่าเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟอะไรสักอย่าง บอกกับเขาว่าพรุ่งนี้ให้เอาไปแปะที่หน้าประตูศาลบรรพชนของบ้านหลังนั้น
เดิมทีนึกว่าจะไปยังที่ว่าการ นึกไม่ถึงว่าเดินอ้อมเส้นทางไปตลบหนึ่ง เดินจนนักพรตหนุ่มเหงื่อแตกเต็มสันหลัง สุดท้ายไปถึงตรอกเล็กตรอกหนึ่ง นักพรตหนุ่มพลันหยุดเดิน สีหน้าตื่นตระหนก เป็นฝ่ายปลดห่อสัมภาระยื่นส่งให้กับเจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าเฉาโม่ที่อยู่ข้างกาย พูดเสียงสั่นฟันกระทบกัน “เอาทรัพย์สินไปย่อมได้ แต่อย่าได้ฆ่าแกงกันเลย! หากรวมทองหยวนเป่าก้อนนั้น ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้ารวมกันแล้วไม่ถึงสองร้อยตำลึงเงิน อย่าถึงขั้นฆ่าคนเลยนะ!”
พูดมาถึงสุดท้าย คนหนุ่มก็เอนหลังพิงพนัง น้ำเสียงเริ่มเจือสะอื้นบ้างแล้ว
หลิวเจียกับจ้าวตวนหมิงที่อยู่ในลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวเห็นงิ้วที่อยู่นอกประตูฉากนี้ อาจารย์และศิษย์สองคนก็หันมามองหน้ากันเองตาปริบๆ อาจารย์เฉินพาสมบัติมีชีวิตกลับมาด้วยหรือ?
“ห่อสัมภาระเจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ เงินน้อยนิดแค่นี้ไม่เข้าตาข้าหรอก เหนียนจิ่ง…ช่างเถิด เรียกเจ้าว่าเซียนเว่ยค่อนข้างคล่องปากมากกว่า ส่วนชื่อเดิมก็เหลือค้างไว้ก่อนแล้วกัน”
เฉินผิงอันโบกมือ ยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนบนภูเขา วันหน้าเจ้าก็ติดตามข้าไปฝึกตนเถอะ”
เซียนเว่ยที่อึ้งค้างไร้คำพูดเหมือนกำลังฟังตำราสวรรค์ ในใจคลางแคลง หรือจะเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าภูเขาลูกหนึ่งมักมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ ตนมาเจอกับยอดฝีมือที่พูดจาเหลวไหลได้เก่งยิ่งกว่าเสียแล้ว? อีกฝ่ายนอกจากจะหลอกเอาเงินแล้วยังคิดจะทำอะไรอีก? ปัญหาคือยังจะสามารถทำอะไรได้ ตนไม่ใช่สตรีสักหน่อย…พอคิดมาถึงตรงนี้ เซียนเว่ยก็เหลือบตามองผู้ติดตามข้างกายเฉาโม่ผู้นั้น ความเศร้าโศกพลันบังเกิดขึ้นในใจ โยนห่อผ้าให้เฉาโม่แล้วไม่สนใจอีก นั่งแปะลงบนพื้น ให้ตายก็ไม่ยอมขยับไปไหนแล้ว
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน ได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เรียกตราประทับห้าอสนีขึ้นมากลางฝ่ามือ ประกายแสงไหลเวียนวนสาดส่องตรอกเล็กให้สว่างจ้า
เซียนเว่ยเหม่อลอย พลันคืนสติกลับมา คว้าห่อผ้าที่หล่นอยู่บนพื้นมาอย่างว่องไว เอามาสะพายไว้บนบ่าอีกครั้ง เดินตามเฉาโม่เข้าไปในตรอกเล็ก ลูกผู้ชายตัวจริง ต่อให้ต้องขึ้นเขามีดลงทะเลเพลิงก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่ครั้งเดียว
“อาจารย์เฉา หรือว่าเห็นข้ากลางตลาดแล้วถูกใจในฐานกระดูกตระกูลเซียนของข้าเพียงแค่มองแวบเดียว? รู้สึกว่าข้าคือวัตถุดิบที่สามารถสร้างได้?”
“ขอถามเฉาเซียนซือว่ามาจากจวนเซียนบนภูเขาแห่งใดในแจกันสมบัติทวีปหรือ? ใช่เทพเซียนพสุธาที่บอกว่าเอื้อมมือคว้าดวงจันทร์เด็ดดวงดาวที่กล่าวถึงในตำนานหรือไม่?”
“เฉาเซียนซือ ไม่สู้ให้ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ดีกว่าไหม พิธีการยิบย่อยอย่างการกราบอาจารย์คารวะน้ำชาไหว้ภาพเหมือนอะไรนั่น สามารถชะลอไว้ก่อนได้ อาจารย์ ทุกวันนี้ข้ามีศิษย์พี่ชายหญิงหรือไม่? เมื่อไหร่ถึงจะได้พบเจอพวกเขาหรือขอรับ?”
เห็นว่าเทพเซียนบนภูเขาท่านนั้นไม่ต่อคำ เซียนเว่ยก็ลูบท้อง บากหน้าเปลี่ยนมาเรียกคำว่าเฉาเซียนซือใหม่อีกครั้ง ถามหยั่งเชิงว่า “มีของกินหรือไม่? เดินมาตลอดทางแล้ว ข้าหิวมากเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!