เสี่ยวโม่พาเซียนเว่ยเดินไปที่แผงดูดวงด้วยกัน ในสายตาของเซียนเว่ย แผงนี้ค่อนข้างจะโกโรโกโสไปสักหน่อย มีแค่โต๊ะหนึ่งตัวกับกระบอกเซียมซีหนึ่งใบ ไม่มีธงผ้าสักผืนเขียนว่าปากเหล็กทำนายดุจเทพอะไรด้วยซ้ำ แม้ว่าเฉาโม่ผู้นี้จะเป็นเซียนซือ แต่หากจะพูดถึงประสบการณ์ในยุทธภพก็ไม่โชกโชนมากพอสักเท่าไร ช่างเถิดๆ ในเมื่อทุกวันนี้ตนต้องมาติดตามอยู่ข้างกายเฉาโม่ ถ้าอย่างนั้นก็จะยอมสอนสุดยอดเคล็ดวิชาให้เขาแบบเปล่าๆ สักวิชาก็แล้วกัน
เพียงแต่เว่ยเซียนก็รู้สึกคลางแคลงขึ้นมาอีก จึงอดไม่ไหวถามว่า “เสี่ยวโม่ สุดท้ายทำไมเฉาโม่ถึงไม่รับเงินเทพเซียนเหรียญนั้นเอาไว้? หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นั่นเป็นเงินเกล็ดหิมะที่พวกเซียนบนภูเขาใช้อย่างที่เล่าลือกันเลยนะ”
เทพเซียนบนภูเขาไม่เห็นเงินเป็นเงินขนาดนี้เชียวหรือ?
เสี่ยวโม่กล่าว “รักเงินยากสละ คนที่สามารถสละเงินทองได้จึงจะเป็นผู้สูงส่ง”
เซียนเว่ยฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป หลักการเหตุผลในตำราที่ไม่มีประโยชน์กะผายลมพวกนี้ หากตอนเอามาเรียบเรียงเป็นเล่มคงบรรจุได้หลายกระบุงโกยทีเดียว ทว่าเงินในกระเป๋าก็ยังเกลี้ยงเกลากว่าหนังหน้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เห็นว่าเฉาโม่ทำท่าจะเก็บกระบอกเซียมซีบนโต๊ะ เซียนเว่ยก็ร้อนใจขึ้นมาทันใด จะเก็บแผงแล้วหรือ? เรื่องของการหาเงินจะทำอย่างลวกๆ แบบนี้ได้อย่างไร!
เซียนเว่ยนั่งแปะลงไปบนม้านั่งยาว รับกระบอกเซียมซีมาจากมือของเฉินผิงอันแล้วเขย่ากระบอกไม้ไผ่อย่างแรงจนเซียมซีชิ้นหนึ่งร่วงลงมา เพ่งสายตามองไป พึมพำกับตัวเองพักหนึ่ง มองดูเหมือนกำลังพูดคุยกับท่านเซียนที่สวมชุดเต๋าสีเขียว สีหน้าของเซียนเว่ยเดี๋ยวตะลึงเดี๋ยวตกใจ เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็พยักหน้า บางครั้งยังเอ่ยถามหนึ่งประโยค จากนั้นก็พลันหน้าแดงก่ำ ตะเบ็งเสียงดังเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่าท่านเซียน เซียมซีใบนี้แม่นยิ่งนัก เทพในร่างมนุษย์ ท่านเซียนเหมือนเทพในร่างมนุษย์จริงๆ! เซียนเว่ยลุกขึ้นยืน ก้มหัวคารวะตามขนบของลัทธิเต๋าอย่างเข้าท่าเข้าที จากนั้นก็ควักทองหยวนเป่าออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะหนักๆ ขอให้ท่านเซียนช่วยสอนวิธีคลี่คลายแก้ไข…
เสี่ยวโม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเจ้าทึ่มผู้นี้ทำตัวขายหน้าแล้วก็จนคำพูด ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนผู้นี้
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ เวลานี้เขามองใบหน้าของเซียนเว่ยแล้วก้มลงมองทองหยวนเป่าที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเฉินผิงอันก็คลึงขมับ ปวดหัวนัก
ที่นี่ไม่ใช่ตรอกซอกซอยในตลาด แต่เป็นท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้ากับการแสดงที่ฝีมือห่วยแตกเช่นนี้ หลอกใครไม่ได้จริงๆ
จะดีจะชั่วเจ้าเซียนเว่ยก็เป็นผู้ฝึกลมปราณอย่างครึ่งๆ กลางๆ ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายมาโดยตลอด ได้กินเนื้อและสุรามื้อหนึ่งก็ราวกับได้กินอาหารวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าถึงท้ายที่สุดกลับเก็บสะสมเงินได้เป็นทองหยวนเป่าแค่ก้อนเดียว โทษคนอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
ตัวโตขนาดนี้แล้ว หากจะพูดถึงการกะแรงไฟ ฝีมือยังสู้เผยเฉียนตอนเล็กๆ ไม่ได้เลย
แล้วยังเดือดร้อนให้ตนถูกมองเป็นพวกนักต้มตุ๋นไปด้วย
แล้วก็จริงดังคาด คนเดินเท้าที่เดินอยู่ใกล้กับแผงดูดวง หากไม่ใช่เซียนซือทำเนียบก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา หรือไม่ก็เป็นพวกคนในยุทธภพที่ประสบการณ์โชกโชน ทุกคนต่างก็ใช้สายตามองคนโง่มองมายังเซียนเว่ย
เจ้านักต้มตุ๋นสองคนนี้ต้องขาดเงินแค่ไหนถึงได้แสร้งมาทำหลอกผีหลอกเจ้าอยู่ที่ท่าเรือก่าวซู่แห่งนี้ เกินครึ่งคงจะยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้วถึงได้ทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการเช่นนี้? ก็เหมือนการไปตั้งแผงดูดวงที่หน้าประตูจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ เล่นหมากล้อมบนเมฆหลากสีที่นครจักรพรรดิขาวนั่นแหละ จะได้เงินสักกี่แดงกัน?
เฉินผิงอันผงกปลายคาง เซียนเว่ยก็สังเกตเห็นว่าพวกคนเดินเท้าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ขยับออกห่างจากแผงดูดวงคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา จึงได้แต่เก็บทองหยวนเป่าก้อนนั้นไปอย่างขุ่นเคือง ไม่กล้าเก็บไว้ในห้องพักพร้อมกับห่อสัมภาระ เพราะกลัวจะโดนขโมย ถึงเวลานั้นคงไม่มีที่ให้ไปร้องทุกข์ ต้องพกไว้ติดตัวถึงจะสบายใจ เฉินผิงอันเก็บกระบอกเซียมซีที่ทำขึ้นมาเมื่อคืนวานเก็บใส่ไว้ในชายเสื้อ จากนั้นเอ่ยเตือนเซียนเว่ยว่าลุกขึ้นได้แล้ว เฉินผิงอันยื่นมือไปตบผิวโต๊ะหนึ่งที โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทั้งโต๊ะทั้งม้านั่งก็หายวับไป ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก
เซียนเว่ยมองด้วยอาการตาค้าง นี่ก็คือเวทคาถาตระกูลเซียนที่สร้างให้มีจากไม่มีหรือ? ถ้าอย่างนั้นตนจะสามารถเรียนจากเฉาโม่เสกหินให้กลายเป็นทองได้หรือไม่?
คนทั้งสามออกไปจากท่าเรือ เดินไปบนทางหลวงที่กว้างขวางเส้นหนึ่งกลับเข้าเมืองหลวง เซียนเว่ยทอดถอนใจไปตลอดทาง เดินเท้าอีกแล้ว
เฉินผิงอันเหลือบมองปิ่นปักผมของเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกาย ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ เจ้าคิดว่าเซียนเว่ยตรงหน้าผู้นี้ ทุกวันนี้มีสภาพการณ์เป็นอย่างไร?”
สมมติว่านักพรตตัวปลอมที่ชื่อเหนียนจิ่ง นามเซียนเว่ยผู้นี้ก็คือ ‘นักพรต’ อันดับหนึ่งของโลกมนุษย์คนนั้น ถ้าอย่างนั้นหากอิงตามเอกสารลับที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ‘นักพรต’ ที่แบกโชคชะตามหาศาลไว้บนร่างได้ตายดับไปท่ามกลางสงครามเดินขึ้นสวรรค์ครั้งนั้นนานแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย เนื่องจากตอนที่เฉินผิงอันหวนกลับมายังไพศาลอีกครั้งได้เคยถามหลี่เซิ่ง และหลี่เซิ่งก็พูดเองว่าผู้อาวุโสท่านนี้กายดับมรรคาสลายไปแล้วจริงๆ
หลังจากที่นักพรตซึ่งมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อโลกมนุษย์ผู้นี้รบตายไป เป็นเหตุให้ปิ่นเต๋าชิ้นนั้นหล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์ สุดท้ายถูกบรรพจารย์เปิดขุนเขาหญิงของนครเซียนจานอย่างกุยหลิงเซียงเก็บได้บนพื้นดินของโลกมนุษย์ นับจากนั้นมานางก็เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน นางได้ครอบครองพื้นที่มงคลเหยากวง แต่กลับมุ่งมั่นตั้งใจสร้างนครเซียนจานให้สูงเทียมฟ้าขึ้นมา
โดยทั่วไปแล้วนักพรตผู้นี้น่าจะคล้ายคลึงกับการสละร่างกลับมาเกิดใหม่ และเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันในเวลานี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเศษซากจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนักพรตท่านนั้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสรวงสวรรค์เก่ากลับชาติมาเกิดใหม่ สามารถอาศัยความเป็นเทพที่บริสุทธิ์ ‘ร่างจริง’ ก็เหมือนอยู่ในสภาวะจำศีลอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะไปอยู่ในร่างของเผ่ามนุษย์หรือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ เนื้อหนังมังสามารถเสื่อมโทรมตายดับได้ และความเป็นเทพก็สามารถไม่ลดไม่เพิ่มได้ แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเซียนเว่ยเป็นผู้ฝึกตน ไม่ใช่เทพ ตามหลักแล้วหากเริ่มต้นนับที่การ ‘สละร่างใต้คมอาวุธ’ ของเมื่อหมื่นปีก่อน ทุกครั้งที่มีการจุติกลับมาเกิดใหม่ จะยังคงมีจิตวิญญาณที่กระจัดกระจายหายไปอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีการเสริมจิตวิญญาณส่วนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เวลานานวันเข้าก็จะยิ่งมีความเสียหายมากขึ้น มีแต่จะทำให้เซียนเว่ยในยุคหลังไม่เหมือนนักพรตคนนั้นในช่วงแรกเริ่มสุดเข้าไปทุกที
เว้นเสียจาก
เว้นเสียจากว่าหมื่นปีที่ผ่านมานี้ แท้จริงแล้วนักพรตคนนั้นเพียงแค่สละร่างกลับมาจุติใหม่ไม่กี่ครั้ง หรืออาจถึงขั้นที่ว่ามาเกิดใหม่แค่ครั้งเดียว?!
เสี่ยวโม่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “เรื่องแบบนี้ เสี่ยวโม่ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช คุณชายถามข้าก็เหมือนถามทางกับคนตาบอดนั่นแหละ”
เกี่ยวพันกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ของผู้ฝึกตน เสี่ยวโม่เป็นคนที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างจริงแท้แน่นอน เพราะว่าเมื่อหมื่นปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ ความเป็นความตายก็แทบจะมีแค่ภพชาติเดียวเท่านั้น
เรื่องของเวทคาถา หมื่นปีให้หลังกับเมื่อหมื่นปีก่อน อันที่จริงระดับความสูงของก่อนหลังค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ความต่างไม่ถือว่ามีมากนัก
แต่หากจะพูดถึงประเภทของผู้ฝึกลมปราณที่มีมากมายและเส้นสายที่ซับซ้อนในทุกวันนี้ พูดถึงแค่จำนวนและระดับความกว้าง ไม่พูดถึงพลังพิฆาตอันบริสุทธิ์หรือมรรคกถาสูงส่งยาวไกล เมื่อเทียบกับเมื่อหมื่นปีก่อน เวทคาถาก็มีมากนับพันนับหมื่นอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันพยักหน้า ไม่เป็นไร วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน
จะให้ใช้วิธีอำมหิตโหดร้ายอย่างการกักขังจิตวิญญาณบางส่วนเพียงแค่เพื่อยืนยันตัวตนและขอบเขตของเซียนเว่ยก็คงไม่ได้ เฉินผิงอันทั้งไม่ยินดีแล้วก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเซียนเว่ยมีความเกี่ยวข้องกับนักพรตผู้นั้นจริง หรือจงใจปิดบังอำพราง ยกตัวอย่างเช่นเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้นครเซียนจานที่ถูกเฉินผิงอันทำลาย ด้วยฝีมือของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ
แต่เฉินผิงอันเชื่อว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก เป็นการใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชนแล้ว เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือผู้บรรลุมรรคาที่ยอมสละเรือนกายตัวเองเพื่อเปิดทางขึ้นสวรรค์ให้กับโลกมนุษย์อย่างไม่เสียดาย
หรือจะบอกว่าอีกฝ่ายใช้เวทลับที่น่าเหลือเชื่อบางอย่าง อาศัยการหลอกตัวเองมาหลอกลวงสวรรค์? ปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรมาหมื่นปีแล้ว?
นอกจากนี้เฉินผิงอันยังกังวลว่าจะเป็นแผนการของโจวจื่อผู้นั้นหรือไม่ หรือควรจะบอกว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจวจื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!