ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านร้านเหล้าก็พลันหยุดเดิน หันตัวเดินดิ่งเข้าไปในร้าน เพราะด้านในมีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งนั่งยึดครองโต๊ะตัวหนึ่งเพียงลำพัง กำลังดื่มเหล้า
กลายเป็นว่าตรงตามที่เซียนเว่ยพูด
เจิ้งจวีจงยกถ้วยเหล้าขึ้นยิ้มเอ่ย “บังเอิญขนาดนี้เชียว”
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะเหล้า ประสานมือคารวะเจิ้งจวีจง เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์เจิ้ง แล้วนั่งลงเงียบๆ บนโต๊ะเหล้าวางถ้วยเหล้าว่างเปล่าไว้สามใบ เห็นได้ชัดว่าเจิ้งจวีจงกำลังรอคอยให้กลุ่มของตนเดินผ่านร้านเหล้าแห่งนี้
เฉินผิงอันมั่นใจว่าเจิ้งจวีจงในสายตาของตนกับบุรุษชุดขาวในสายตาของนักดื่มมากมายในร้านเหล้าต้องเป็นคนละคนกันอย่างแน่นอน
ไม่ต้องให้เจิ้งจวีจงเอ่ยอะไร ปริศนาในใจของเฉินผิงอันก็เท่ากับว่าได้คลายออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอให้เจิ้งจวีจงมารอคอย นี่ต้องเป็นเพราะเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกายแน่นอน
เซียนเว่ยนั่งลงอย่างผึ่งผาย แต่เสี่ยวโม่หลังจากช่วยรินเหล้าให้แล้วกลับยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ร่ายเวทอำพรางตากับตน เสี่ยวโม่จึงรู้ถึงตัวตนของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า มองปราดเดียวก็จำได้
ติดตามเฉินผิงอันมายังใต้หล้าไพศาล แม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่เรื่องหนึ่งที่เสี่ยวโม่ตั้งใจอย่างมากก็คือการค้นหาข่าวคราวบนภูเขาบางอย่าง จดจำคนกลุ่มเล็กที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดของใต้หล้าไพศาลไว้ในใจเงียบๆ แน่นอนว่าทุกคนต้องเป็นบินทะยานขั้นสูงสุดทั้งหมด
เจิ้งจวีจงมองเซียนเว่ยที่นั่งร่วมโต๊ะแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ใช้ปิ่นจุ่มสุรา เพียงครู่ปิ่นก็สลายสิ้น ประหนึ่งคนฝนหมึก ทั้งกายและชื่อเสียงล้วนดับสูญ แพร่หลายยาวนานนับพันนับหมื่นปี”
เซียนเว่ยอารมณ์ดีทันใด เจ้าตัวดี คิดจะพูดเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร ข้าเอาชนะเฉาเซียนซือไม่ได้ แต่จะยังกลัวเจ้าด้วยหรือ?
สองนิ้วคีบถ้วยเหล้า ไม่ต้องร่างถ้อยคำอะไรไว้ก่อนด้วยซ้ำ นักพรตหนุ่มคนนี้ก็เริ่มพูดจาเลื่อนเปื้อนด้วยสีหน้าจริงจัง แกว่งกาเหล้าเบาๆ สูดกลิ่นสุรา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ธรรมะสูงหนึ่งฉื่ออธรรมสูงหนึ่งจั้ง ชะตาชีวิตไม่ราบรื่นสมดังใจ ได้แต่ตะโกนอย่างร้อนใจว่าจะทำอย่างไรดี”
เฉินผิงอันฟังแล้วหนังตากระตุกริกๆ
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “พูดดีทำดีดุจคนได้รับการศึกษา น่ายินดีด้วย”
เซียนเว่ยพูดอย่างแค้นใจในความผิดพลาดของตัวเอง “เกิดมาก็มีชีวิตเหมือนล่องเรือบนพื้นดินแห้งแล้ง ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก ข้าจะฟืนลิขิตสวรรค์ได้หรือ?”
ถึงอย่างไรก็มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว ใช้คำพูดแบบไหนถึงจะสยบคนได้ก็จะพูดแบบนั้น
เจิ้งจวีจงคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน จากไปทั้งอย่างนี้
บนโต๊ะมีเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้ ถือเป็นค่าสุรา
เจิ้งจวีจงใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง”
นี่น่าจะเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เฉินผิงอันว่าควรจะอยู่ร่วมกับเซียนเว่ยอย่างไรแล้ว
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบรับ “ขอบคุณคำสั่งสอนของอาจารย์เจิ้ง”
หลังจากเจิ้งจวีจงออกไปจากร้านเหล้าแล้ว เฉินผิงอันก็เก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตะโกนพูดกับเถ้าแก่ร้านว่า “พวกเราจะคิดเงินก่อน”
เซียนเว่ยมึนงง ถามว่า “อาจารย์เฉา นั่นใครกัน? พูดจาไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ยังดีที่วางตัวใช้ได้ รู้ว่าควรต้องทิ้งเงินค่าเหล้าเอาไว้”
เฉินผิงอันยังคงคร้านจะสนใจเจ้าหมอนี่ แค่จ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งให้กับเถ้าแก่ร้านเหล้า จากนั้นก็ดื่มเหล้าเซียนตำหนักฉางชุนที่อยู่บนโต๊ะกานี้
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกัน จากนั้นก็ก้มหน้าจิบเหล้าหนึ่งอึก ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ กระบี่บินสี่เล่มนั้นของเจ้า?”
ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เจอกับเซียนเว่ยในโรงเตี๊ยม เสี่ยวโม่ก็เรียกกระบี่บินสี่เล่มออกมาแล้ว
เสี่ยวโม่ไม่ได้ปิดบังอำพรางใดๆ บอกตามตรงว่า “กระบี่บินสามเล่มในนั้น หลักๆ แล้วใช้ในการโจมตี ยังมีอีกหนึ่งเล่มที่ช่วยในการฝึกตน เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เหมือนซี่โครงไก่มากเกินไป กระบี่บินสี่เล่มไม่เคยมีชื่อเรียก วันหน้าอาจยังต้องรบกวนขอให้คุณชายช่วยตั้งชื่อให้ สามเล่มแรก เล่มหนึ่งในนั้นเสี่ยวโม่รักมากที่สุด เพราะสามารถชักนำดวงดาวจากนอกฟ้าดวงหนึ่งให้หล่นลงมายังพื้นดินได้ หากถามกระบี่กับคนอื่นแล้วจำเป็นต้องทุ่มชีวิตต่อสู้อย่างแท้จริง จะแพ้หรือชนะก็อยู่ที่การกระทำนี้ ส่วนอีกสองเล่มกลับค่อนข้างจะธรรมดาแล้ว เล่มหนึ่งสามารถเลียนแบบวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินคนอื่น น่าเสียดายที่การกระทำนี้มิอาจประคับประคองไว้ได้นานนัก แล้วยังถูกลดระดับขั้นลงด้วย พลังพิฆาตจะลดน้อยลงไปไม่น้อย แต่มีก็ดีกว่าไม่มี และยังมีกระบี่บินอีกเล่มที่สามารถสร้างคุกแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ชั่วคราว ใช้กักขังดวงวิญญาณของนักพรต ยังคงถือว่าเป็นวิธีเสี่ยงอันตรายอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องของเวทกระบี่ ดังนั้นในอดีตตอนที่ข้าถามกระบี่กับคนอื่นจึงไม่ค่อยชอบเรียกกระบี่บินพวกนี้ออกมา ฉูดฉาดมากสีสัน แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง”
“กระบี่บินเล่มสุดท้าย ช่วงแรกเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างมาก เคยทำให้ข้าเดินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับการรุดหน้าเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ของคุณชายแล้วย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง กระบี่บินเล่มนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านการหลอมใดๆ ก็สามารถทำให้ข้าดูดดึงเอาปราณวิญญาณจากฟ้าดินมาได้อย่างมหาศาล กระทั่งพื้นที่ในรัศมีพันลี้กลายมาเป็น ‘ดินแดนไร้อาคม’ ตามคำกล่าวของผู้ฝึกลมปราณในทุกวันนี้ ข้าก็สามารถเก็บกระบี่บินกลับมาแล้วย้ายไปฝึกตนอยู่ที่อื่นได้แล้ว ในอดีตเมื่อข้าเลื่อนเป็นเซียนดิน…หรือก็คือขอบเขตเซียนเหรินในทุกวันนี้ ความหมายของกระบี่บินเล่มนี้ก็มีไม่ค่อยมากแล้ว ดังนั้นถึงได้บอกว่าเหมือนซี่โครงไก่”
“วันหน้าติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย หากเจอตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ถูกชะตา เสี่ยวโม่ก็จะรับมาไว้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสักสองสามคน แล้วถ่ายทอดเวทกระบี่ให้พวกเขาอย่างตั้งใจ รอวันใดที่เจอตัวเลือกที่เหมาะสมสามารถเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าได้ ขอแค่จิตแห่งมรรคาของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากพอ ข้าก็จะมอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ให้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจคนนี้”
ใบหน้าของเฉินผิงอันมีรอยยิ้มประดับ “เสี่ยวโม่อ่า อย่าเอาแต่พูดสิ ดื่มเหล้าให้มากๆ”
เสี่ยวโม่ถามด้วยสีหน้าวาดฝันอยู่หลายส่วน “คุณชาย ทุกวันนี้ในภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีตัวเลือกที่เหมาะสมหรือไม่? หากบนภูเขามีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่เป็นเช่นนี้อยู่พอดี ข้าก็ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นแล้ว แค่หาตัวลูกศิษย์คนสุดท้ายมาโดยตรงเลย”
ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นอะไร
เฉินผิงอันดื่มเหล้า โบกมือปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ไม่มีใครทำเป็นเล่นอย่างเจ้ากันหรอก ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
เห็นว่าเซียนเว่ยมีสีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เฉินผิงอันก็ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เซียนเว่ยตบหน้าท้องตัวเอง เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ดื่มเหล้าดับกระหาย แต่ไม่ช่วยให้หายหิวนะ ข้าหิว”
ก่อนหน้านี้เขาหรือจะรู้ว่าร้านเหล้าแห่งนี้ขายแต่เหล้า ไม่ขายของกิน อีกทั้งเถ้าแก่ร้านก็เป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ไม่เหมือนกับในตำราที่บอกว่าต้องมีสตรีรินเหล้าดุจไข่มุกกลมเกลี้ยงดุจหยกแวววาว ประหนึ่งเดินออกมาจากภาพวาดอะไรเลย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เดี๋ยวพอไปถึงเมืองหลวงจะให้เสี่ยวโม่ช่วยไปซื้ออาหารเช้ามาให้เจ้ากิน”
เซียนเว่ยได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่นทันใด “ยังต้องเดินอีกตั้งสิบกว่าลี้เชียวนะ เฉาเซียนซือ ด้วยฝีเท้าของข้า เดินกลับไปถึงอย่างเชื่องช้า จะไม่ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของท่านหรือ?”
เฉินผิงอันแค่ยิ้มรับ หันหน้าไปมองนอกร้าน คนเดินไปเดินมา แขกที่ผ่านทางมาเดินผ่านฝีเท้าเร่งร้อน
สิ่งที่ใช้แกล้มเหล้า
แสงจันทร์ สาวงาม คำพูดสัปดน
บ้านเกิด ความคิดถึง ความฝัน
เฉินผิงอันรอให้เซียนเว่ยดื่มเหล้าหมดอย่างเชื่องช้า คนทั้งสามก็ออกมาจากร้านเหล้าด้วยกัน เซียนเว่ยอิดๆ ออดๆ พอคิดถึงว่ายังต้องเดินอีกตั้งไกลก็ทำท่าอ่อนระโหยโรยแรง ไม่มีชีวิตชีวาใดๆ โชคดีที่เฉาเซียนซือนับว่ายังเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ถึงได้เดินออกไปจากถนนทางหลวง พอไปถึงริมน้ำตื้นที่มีต้นกกต้นอ้อก็ให้เสี่ยวโม่จับไหล่ของเซียนเว่ย ส่วนเฉินผิงอันร่ายร่างวารีเมฆากลับไปที่เมืองหลวงด้วยกัน
คนทั้งสามมาถึงอารามเต๋าขนาดเล็กที่ประตูอารามไม่แสดงให้เห็นถึงฐานะอันสูงส่งเลยแม้แต่น้อย
เซียนเว่ยกินแผ่นแป้งย่างที่เสี่ยวโม่ช่วยซื้อหามาให้ เอาแป้งสองแผ่นมาม้วนเข้าด้วยกัน ด้านในมีไส้เนื้อสับรวมกับใบเหมยแห้ง อร่อย ทั้งยังอยู่ท้อง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแชนเสื้อ ยืนอยู่บนถนนนอกที่ว่าการของเต้าเจิ้งเมืองหลวงแห่งนี้ คล้ายกับไม่รีบร้อนเข้าไปเยี่ยมเยือนด้านใน
เสี่ยวโม่เห็นว่าคุณชายของตนไม่ขยับเท้าก็เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ค้อมเอวก้มหน้ามองป้ายศิลาที่ตั้งอยู่ข้างขั้นบันได คนที่ตั้งป้ายหินแผ่นนี้ก็คือผู้นำลัทธิเต๋าของหน่วยฉงซวีแห่งราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้ อิงตามบันทึกบนป้ายศิลา มียศที่ยาวเป็นพรวน อู๋หลิงจิ้งหัวหน้าหน่วยฉงซวีแห่งเขตเซ่อจวิ้น ลูกศิษย์ซานต้งผู้รับยศต้าเต้าซื่อเจิ้งแห่งเมืองหลวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!