ส่วนเซียนเว่ยผู้นั้น ก่อนหน้านี้ได้กินอาหารเจในหน่วยแปลคัมภีร์แห่งนี้ไปแล้ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ เรื่องกินใหญ่ที่สุด หน้าตาศักดิ์ศรีอะไรล้วนอยู่ริมๆ ขอบทั้งนั้น แม้ว่าการที่นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดทำให้เซียนเว่ยรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับสภาพอับจนยากแค้นตลอดหลายปีที่ต้องเดินทางขึ้นเหนือมานั้น อันที่จริงนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถือเสียว่าหวนระลึกถึงอดีตที่ขมขื่นและขอบคุณปัจจุบันที่หอมหวนอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน
ต่อมาเมื่อเฉินผิงอันลืมตาขึ้นแล้วเงยหน้ามอง ดวงจันทร์ก็ลอยขึ้นสูงกลางนภาแล้ว
ดวงจันทร์หอเรือนสูง อยู่ลำพังเดียวดาย แสงจันทร์ดุจสายน้ำ สายน้ำดุจผืนฟ้า วักมาเพียงใดก็ไม่เต็มฝ่ามือ
เฉินผิงอันถอนสายตากลับคืน มองไปยังเสี่ยวโม่และเซียนเว่ยที่อยู่ตรงขั้นบันได เสี่ยวโม่ยังคงนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ส่วนเซียนเว่ยนั้นมีความสามารถไม่น้อย นั่งอยู่ก็ยังหลับได้ เวลานี้ส่งเสียงกรนราวเสียงฟ้าผ่า
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปตรงขั้นบันได สวมรองเท้าให้เรียบร้อย
เสี่ยวโม่กำลังจะยื่นมือไปปลุกเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกายให้ตื่น เฉินผิงอันกลับพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร ให้เขานอนหลับอีกสักครู่เถอะ”
นั่งกันไปเกือบครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันก็ตบหัวเซียนเว่ย เอ่ยกับเสี่ยวโม่ว่า “จะตีคนต้องรีบตีแต่เนิ่นๆ”
เซียนเว่ยขยี้ตา ถามอย่างมึนงงว่า “ยามใดแล้ว?”
ประโยคถัดมาก็คือจะกินอาหารมื้อดึกกันหรือไม่
เฉินผิงอันพาพวกเขาออกมาจากหน่วยแปลคัมภีร์ แล้วก็พาเซียนเว่ยไปหาร้านที่ขายอาหารมื้อดึกกินจริงๆ
……
อาณาเขตหลงโจวที่กำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็นชู่โจว กลุ่มของปรมาจารย์เฒ่าอวี๋หงโดยสารเรือข้ามฟากหลี่เฉวียนของตำหนักฉางชุน เลือกจะลงเรือที่ภูเขาหนิวเจี่ยว ไปเยือนเมืองหงจู๋ที่เป็นสถานที่ที่แม่น้ำสามสายรวมตัวกันก่อน จากนั้นค่อยอ้อมเส้นทางไปยังศาลเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่
ยามดึกสงัดไร้เสียงผู้คน อวี๋หงไปเยือนศาลเทพวารี
เทพวารีระดับสี่ของสายน้ำขุนเขาในหนึ่งทวีป
ตำแหน่งร่างทองของเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ผู้นี้ไม่ถือว่าต่ำแล้ว
ที่ศาลเทพวารีแห่งนี้ เมื่อหลายปีก่อนได้เปลี่ยนผู้ดูแลศาลคนใหม่แล้ว ไม่ใช่คนที่คล่องแคล่วนัก ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปขอพรที่นี่มักจะมีมาไม่ขาดสายตลอดทั้งปี พูดได้แค่ว่าสตรีออกเรือนแล้วผู้นี้ต้อนรับขับสู้ผู้คนได้อย่างเหมาะสม แต่ในเรื่องของการสานสัมพันธ์กับพวกผู้แสวงบุญรายใหญ่ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของนางค่อนข้างจะธรรมดาสามัญ ถึงขั้นยังเกิดข้อผิดพลาดอยู่หลายครั้ง ผลคือผู้แสวงบุญรายใหญ่หลายคนต่างก็ไปที่แม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำชงตั้นแทน ทว่าหลี่ชิงจู๋เหนียงเนียงเทพวารีกลับไม่ถือสา ราวกับมั่นใจแล้วว่านางคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นคนเฝ้าศาลบ้านตน
หลังจากที่อวี๋หงบอกกล่าวสถานะตัวเองก็ยิ้มเอ่ยว่าไม่ต้องรบกวนเหนียงเนียงเทพวารี พวกเขาสามารถเดินทางไปที่จวนวารีกันเองได้ ผลคือสตรีคนเฝ้าศาลที่ไม่เข้าใจการวางตัวอยู่ในสังคมแม้แต่น้อยผู้นั้นทำตามที่เขาพูดจริงๆ แค่โยนยันต์เลี่ยงน้ำเปิดทาง และยันต์รถม้าที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของบ้านตน แค่ลงน้ำก็จำแลงร่างขึ้นมาเอง อวี๋หงคลี่ยิ้ม ไม่ได้สนใจ ขึ้นไปนั่งบนรถม้าก่อน แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาอย่างหวงเหมยกลับมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ค่อนข้างมาก
รถม้าตระกูลเซียนแล่นแหวกน้ำตรงไป เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนวารี สตรีคนเฝ้าศาลจึงไปแจ้งข่าวแก่องค์รักษ์คนเฝ้าประตู
หลี่ชิงจู๋ออกมาต้อนรับอวี๋หงด้วยตัวเองอย่างว่องไว ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี แล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในอดีตนางกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของอวี๋หงก็เคยมีบุพเพชีวิตคู่แสนสั้นที่เลื่องลือไปทั่วบนภูเขาร่วมกัน
อวี๋หงสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าดูเหมือนหว่างคิ้วของเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้จะมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน
อันที่จริงหลายปีมานี้ ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของหลี่ชิงจู๋ก็คือได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข
มิอาจจินตนาการได้เลยว่าเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องคนหนึ่งถึงกับเคยปลอมตัวแปลงโฉมไปจุดธูปขอพรที่ศาลซานจวินภูเขาพีอวิ๋นและศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูมาแล้วหลายครั้ง…
เมืองหลวงต้าหลี งานแต่งงานหนึ่งถูกจัดขึ้น
ครั้งนี้หลินโส่วอีเข้าเมืองหลวงก็เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของลูกชายคนโตของสือเจียชุนโดยเฉพาะ
คราวก่อนที่เจอกับสือเจียชุนสหายร่วมห้องก็คือการกลับไปเจอกันอีกครั้งที่อำเภอไหวหวงบ้านเกิดเมื่อหลายปีก่อน
ยากจะจินตนาการได้ว่าตอนนั้นบุตรชายของสือเจียชุนยังเป็นแค่เด็กเล็กคนหนึ่ง มาวันนี้กลับแต่งภรรยาแล้ว
การกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของสหายร่วมห้องในครั้งนั้น สือเจียชุนไม่ได้เจอกับหลี่เป่าผิงสหายรักของนางตอนเป็นเด็กแค่คนเดียวเท่านั้น
ทว่าคราวนี้กลับมีแค่หลินโส่วอีที่มาร่วมงาน หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวต่างก็ไม่อยู่ ส่วนต่งสุ่ยจิ่งก็มีธุระกะทันหัน ไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงไม่ได้เดินทางมาที่เมืองหลวง แต่ได้ไหว้วานให้คนนำเงินใส่ซองในจำนวนที่ทำให้คนอ้าปากค้างมาด้วยซองหนึ่ง
ประเด็นสำคัญคือคนที่ต่งสุ่ยจิ่งไหว้วานมากลับน่าตกใจยิ่งกว่า ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบหนึ่ง ทั่วร่างมีแต่กลิ่นสุราคละคลุ้ง คนเอ้อระเหยลอยชายผู้นี้ไม่ได้บอกกล่าวชื่อแซ่ บอกแค่ว่าเอาซองแดงมามอบให้แทนสหายอย่างต่งสุ่ยจิ่ง
โชคดีที่ทางนี้มีคนตาดีจำอีกฝ่ายได้ นอกจากการวางตัวผ่อนคลายสบายๆ อย่างลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวงแล้ว อันที่จริงต้องยกคุณความชอบให้กับกาเหล้าใบนั้น ในวงการขุนนาง หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งราชสำนักต้าหลี คนผู้นี้คือคนคนเดียวที่สามารถพกกาเหล้าไปยังที่ว่าการได้
แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ทิ้งซองแดงไว้แล้วก็จากไป ไม่มีใครกล้ารั้งให้คนผู้นี้อยู่ต่อ
เพราะคนผู้นี้ก็คือ ‘ผีขี้เหล้า’ เฉาเกิงซินที่เปลี่ยนจากขุนนางผู้ตรวจการของหลงโจวมาเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวากรมโยธาของเมืองหลวงสำรองแห่งที่สอง แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นรองเจ้ากรมกรมขุนนางของเมืองหลวง คือหลานชายคนโตของสกุลเฉาเสาค้ำยันแคว้น อย่าไปสนว่าชื่อเสียงในวงการขุนนางต้าหลีของเฉาเกิงซินเป็นอย่างไร การวางตัวและการเป็นขุนนางไม่ได้เรื่องสักอย่างมากแค่ไหน เพราะเขาคือขุนนางขั้นสามชั้นเอกของเมืองหลวงต้าหลีที่แท้จริง
อีกทั้งท่านอารองของเขายังเป็นเฉาผิงทูตผู้ตรวจการด้วย
รอกระทั่งคนตระกูลเปียนและผู้อาวุโสในกลุ่มญาติที่เกี่ยวดองกันได้ข่าว รีบร้อนออกจากประตูไล่ตามเซียนสุราเฉาผู้นั้นไป คิดไม่ถึงว่าแม้คนผู้นั้นจะเดินโงนเงน แต่ฝีเท้ากลับไม่ช้า เดินเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นหนึ่งก็หายวับไม่เห็นเงาแล้ว ดูเหมือนว่าระหว่างทางจะชนไหล่ของสตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่ง เขาก้าวถ้อยหลัง คารวะขออภัย คลี่ยิ้มเจิดจ้า สตรีออกเรือนแล้วเห็นว่าบุรุษรูปโฉมหล่อเหลา จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบสักเท่าไร ด่าขำๆ ไปสองประโยคก็เลิกแล้วกันไป
นอกจากเฉาเกิงซินจะเผยกายแล้วยังมีจ้าวเหยาที่รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมอาญา เนื่องจากงานยุ่งจึงไหว้วานให้คนนำซองแดงมามอบให้ นี่ทำให้ตระกูลเปียนและตระกูลที่แต่งงานสานสัมพันธ์ด้วยรู้สึกมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด
เปียนเหวินเม่าสามีของสือเจียชุนมีชาติกำเนิดจากตระกูลปัญญาชนชั้นสูงในเมืองหลวงต้าหลี ฐานะทางบ้านไม่ถือว่าโดดเด่น เพียงแต่ว่าในอดีตเปียนเหวินเม่าทำงานในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินที่ถูกมองว่าเป็น ‘สถานที่แห่งฉู่เซียง’ ดังนั้นแม้ทุกวันนี้หมวกขุนนางจะไม่ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางน้ำใสอันดับหนึ่ง ดังนั้นผู้ถวายงานประจำตระกูลของตระกูลเปียนจึงเป็นผู้อาวุโสในศาลบรรพจารย์คนหนึ่งของตำหนักฉางชุน
หลินโส่วอีคือนักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย ภายหลังก็ยังได้เป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำใหญ่ที่เมืองหลวงสำรองต้าหลี และในอดีตก่อนหน้านี้ระหว่างเมืองหลวงของต้าหลีและต้าสุย หลินโส่วอีก็เคยเป็นบุคคลที่ถูกคนพูดถึงกันมากที่สุด เป็นคนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อยตามแบบฉบับ เรื่องการศึกษาหาความรู้ก็เป็นเด็กอัจฉริยะของสำนักศึกษาซานหยา ก็แค่ไม่ได้เข้าร่วมสอบเคอจวี่เท่านั้น เรื่องของการฝึกตนก็ยิ่งก้าวกระโดด
หลินโส่วอีปฏิเสธคำเชิญอย่างละมุนละม่อม ไม่ได้นั่งโต๊ะประธาน
เขานั่งร่วมโต๊ะกับเซียนซือบนภูเขากลุ่มหนึ่ง
ทางฝั่งของโต๊ะประธาน คนที่ตำแหน่งขุนนางใหญ่สุดก็คือรองเจ้ากรมโยธาต้าหลี เป็นคนที่บ้านดองของตระกูลเปียนเชิญมา
นอกจากนี้ยังมีหยางซ่วงทั่นฮวาหลาง อายุน้อยมาก และยังมีหวังชินรั่วหนึ่งในสิบห้าจิ้นซื่ออันดับสอง
คนทั้งสองต่างก็ถือว่าเป็นคนที่เข้ามาอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินต้าหลีภายหลัง แต่เปียนเหวินเม่าหรือจะกล้าวางมาดผู้อาวุโสในวงการขุนนางใส่สองคนนี้
และยังมีฟู่อวี้อีกคนหนึ่งที่เพิ่งถูกโยกย้ายจากการเป็นเจ้าเมืองเขตเป่าซีกลับมาที่เมืองหลวง เขาเป็นฝ่ายมาพูดคุยกับหลินโส่วอีสองสามประโยค
หลินโส่วอีเป็นทั้งเมล็ดพันธ์บัณฑิตซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของต้าหลี และยิ่งเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่เปิดเผยตัวคนหนึ่ง!
หญิงชราที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลเปียนมีขอบเขตประตูมังกร แม้ว่าขอบเขตจะไม่สูง แต่กลับเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์ตำหนักฉางชุน เมื่อลูกศิษย์ตำหนักฉางชุนลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ส่วนใหญ่ก็เป็นนางที่เป็นผู้ปกป้องมรรคา ไม่เคยเกิดความผิดพลาดสักครั้ง เว้นจาก ‘อวี๋หมี่’ ผู้นั้นที่ทำให้หญิงชราหวาดผวามาจนถึงทุกวันนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!