ฮ่องเต้ซ่งเหอพูดเข้าประเด็นทันทีที่พบหน้า แต่ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่มีท่าทีอยากพูดคุยด้วย รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าซ่งเหอไม่มีความคิดว่าจะกลับไปทั้งอย่างนี้ เหลือบตามองตะเกียบและชามบนโต๊ะสุราจึงขยับเก้าอี้ที่อยู่ข้างมือมาตัวหนึ่ง สับเปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อย เอนตัวไปหาเฉินผิงอัน ถามว่า “อาจารย์เฉิน พวกเรานั่งลงคุยกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ขยับเก้าอี้ตามไปด้วย จากนั้นขยับชุดกว้าให้เข้าที่ พอนั่งลงแล้วก็ยกขาไขว่ห้าง
เผยให้เห็นรองเท้าผ้าพื้นหนาสีดำขาวตัดกันคู่หนึ่ง
ซ่งเหอเอ่ย “อาจารย์เฉินลองพิจารณาดูก่อน ข้าสามารถรอได้”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เป็นความคิดของไทเฮาหรือ?”
ซ่งเหอส่ายหน้า “เป็นความคิดของข้าเอง”
ซ่งเหอไม่รู้สึกว่าตัวเองเปิดปากขอร้องแล้วอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมเป็นราชครูต้าหลีทันที
คนสามกลุ่ม โต๊ะกินเลี้ยงสามตัวต่างก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน
ฮ่องเต้กับเฉินผิงอันนั่งด้วยกันลำพังโต๊ะหนึ่ง แน่นอนว่าต้องคุยธุระเรื่องสำคัญ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็นั่งลงแล้ว
คนหนึ่งคือจักรพรรดิแห่งล่างภูเขา อีกคนหนึ่งคือเจ้าสำนักของบนภูเขา เป็นคนวัยเดียวกัน
คนทั้งสองไม่ได้นั่งตรงข้ามกัน แล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าเข้าหาเศษซากอาหารบนโต๊ะด้วย
ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนยืนอยู่ข้างโต๊ะจัดเลี้ยงอีกตัวหนึ่ง
ออกมาจากวังคราวนี้ ฮ่องเต้ซ่งเหอย่อมสวมชุดสามัญชนปลอมกายออกมา นอกจากฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนแล้ว ข้างกายยังมีผู้ติดตามอีกสามคน หนึ่งคือขันทีเฒ่าฝ่ายซือหลี่เจียนที่แต่งกายเป็นเศรษฐีเฒ่า กับอีกคนหนึ่งเป็นผู้ถวายงานสกุลซ่งที่อยู่ในราชสำนักต้าหลีแต่ไม่ค่อยชอบเปิดเผยหน้าตาเท่าใดนัก เป็นคนเฝ้าสุสานของสุสานหลวงสกุลซ่ง ผู้ติดตามคนสุดท้าย เวลานี้อยู่บนถนนนอกบ้านตระกูลเปียน รับผิดชอบเฝ้ารถม้าคันนั้น
อวี๋เหมี่ยนมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงฮองเฮา บวกกับที่เกือบร้อยปีที่ผ่านมานี้สกุลซ่งต้าหลีมีราชครูชุยฉานอยู่ จึงไม่เคยต้องกังวลเรื่องที่วังหลัง พระญาติฝ่ายภรรยาหรือขันทีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง ดังนั้นอวี๋เหมี่ยนจึงถือว่าเคยได้เห็นผู้บรรลุมรรคาบนภูเขามาไม่น้อยแล้ว หล่อเหลาสง่างามเหมือนเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ เซียนซือที่รูปโฉมอ่อนเยาว์เหมือนเด็กของศาลลมหิมะ เจ้าประมุขผู้เฒ่าสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่หนวดเครายาวสวย มองแล้วเหมือนเทพเซียน
นอกจากนี้ยังมีข้อยกเว้นที่นับนิ้วได้อีกไม่กี่ข้อที่ทำให้อวี๋เหมี่ยนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ยกอย่างเช่นหร่วนฉงอริยะแห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลีผู้นี้ พูดไม่ได้ว่าเขาไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวเสียเลย แต่ก็เป็นพวกที่เงียบขรึมพูดน้อย ทุกครั้งที่เข้าวังมาเข้าเฝ้า ช่างหร่วนแทบจะไม่ได้พูดอะไร ล้วนเป็นฮ่องเต้ที่ถามคำถาม และทุกครั้งคำตอบของช่างหร่วนก็ ‘กระชับเรียบง่าย’ อย่างมาก ราวกับ…รีบกลับไปตีเหล็กหลอมกระบี่ที่ภูเขาอย่างไรอย่างนั้น และยังมีถงเหวินช่างซานจวินแห่งขุนเขาตะวันตกที่ลักษณะเหมือนชาวนาในชนบท สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ แล้วยังชอบเปลือยเท้าตลอดทั้งปี ไม่ต้องพูดถึงตอนยืนอยู่กับเว่ยป้อ ต่อให้แค่ยืนเคียงบ่าอยู่กับจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลาง บอกตามตรงว่าต่อให้นางอวี๋เหมี่ยนไม่มองคนที่หน้าตามากแค่ไหนก็ยังอดรู้สึกจากใจจริงไม่ได้ว่าถงซานจวินผู้นั้นดูยากจนข้นแค้นอยู่มากจริงๆ
ตอนที่ถงซานจวินนั่งอยู่ตรงนั้น อวี๋เหมี่ยนยังอดกังวลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะยกเท้าขึ้นมาแคะเมื่อไหร่
ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แน่นอนว่าก็ทำให้อวี๋เหมี่ยนจดจำได้อย่างชัดเจนเหมือนกัน
อวี๋เหมี่ยนเป็นสตรีที่มีจิตใจละเอียดอ่อนอย่างมาก เมื่อครู่นางมองแวบเดียวก็เห็นรองเท้าผ้าที่ฝีเย็บประณีติคู่นั้นทันที
โต๊ะสุดท้ายแน่นอนว่าต้องเป็นของบ้านดองสองบ้านที่ชายหญิงของสองฝ่ายเพิ่งจะแต่งงานกันไปนั่นเอง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นตระกูลขุนนางของเมืองหลวงต้าหลี ตำแหน่งไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นขุนนางน้ำใสที่มาจากเส้นทางที่ถูกต้องอย่างการสอบ ทว่าทุกวันนี้คนที่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมประชุมเช้าในท้องพระโรงกลับมีแค่เปียนเหวินเม่าคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนกลั้นหายใจทำสมาธิ ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบกัน
เจ้าบ่าวเจ้าสาวตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ รู้สึกราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น
ในฐานะคนนอกเพียงคนเดียว หลินโส่วอีนั่งอยู่ข้างกายเพื่อนร่วมห้องอย่างสือเจียชุน
ก่อนหน้านี้ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนหันมายิ้มให้พวกเขา ยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที บอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าให้นั่งลงได้
รอกระทั่งทุกคนนั่งลงหมดแล้ว เปียนเหวินเม่ากลับสังเกตเห็นว่าฮองเฮากลับยังยืนอยู่ เขาจึงอยากจะลุกขึ้นยืนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเพิ่งจะขยับก้นยกขึ้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไร จึงได้แต่นั่งกลับลงไปเงียบๆ แต่โดยดี
ซ่งเหอเปิดปากเอ่ยว่า “ข้ามีข้อสงสัยมาโดยตลอด อยากจะขอถามอาจารย์เฉินสักหน่อย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถามมาได้เลย”
ซ่งเหอถาม “ดูเหมือนว่าหลังจากอาจารย์เฉินประสบพบเจอเรื่องต่างๆ ของในปีนั้น ความรู้สึกที่มีต่อราชสำนักต้าหลีกลับไม่แย่?”
ยกตัวอย่างเช่นจากรายงานของสายลับต้าหลี ครั้งที่สองที่เฉินผิงอันเดินทางไกล ระหว่างทางต้องผ่านแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้กลายเป็นสหายต่างวัยกับซ่งอวี่เซาผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ที่มีทหารม้าหมื่นคนยกทัพมาประชิดชายแดน ในขบวนรบยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มที่ถือกระบี่ไม้ไหวอยู่ในมือเคยแนะนำตัวเองอย่างเปิดเผยว่า ‘เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่แล้ว!’
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดใบหนึ่งโผล่มา เขาดื่มเหล้าหนึ่งอึก จากนั้นวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนหัวเข่าเบาๆ “ครั้งแรกที่ข้าออกเดินทางไกลก็คือการเดินทางไปเยือนสำนักศึกษาซานหยาที่อยู่ในอาณาเขตต้าสุยกับพวกหลินโส่วอี ออกจากชายแดนที่ด่านเหย่ฟู ตอนที่เข้าไปในแคว้นหวงถิงซึ่งตอนนั้นยังเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลเกาต้าสุย ระหว่างเส้นทางกลับบ้านเกิดก็ยังคงผ่านแคว้นหวงถิงเหมือนเดิม แต่เดินไปบนทางสะพานเลียบหน้าผา ข้ามชายแดนมาจากด่านรั้วล้อมวัว ตอนนั้นลมหิมะพัดแรงมาก ระหว่างทางได้เจอกับทหารลาดตระเวนของกองทัพชายแดนกองหนึ่ง มีทหารม้าคนหนึ่งควบม้าออกมา เป็นทหารม้าที่ยังหนุ่มมาก ตอนนั้นอย่างมากสุดก็น่าจะอายุแค่ยี่สิบต้นๆ กระมัง ปีนั้นข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนที่ทหารม้าคนนั้นควบม้ามาถึง ถึงได้มีสีหน้าแววตาเด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญถึงเพียงนั้น ภายหลังข้าถึงเข้าใจ แรกเริ่มทหารม้ากองนี้เข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นสายลับของแคว้นศัตรู อีกทั้งยังอาจจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งด้วย ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในเวลานั้นก็คือรีบแจ้งให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับรู้ อีกทั้งการพบเจอกันบนทางแคบท่ามกลางลมหิมะครั้งนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าทั้งสองฝ่ายอาจต้องตัดสินเป็นตายกันในเสี้ยววินาที รอกระทั่งข้าบอกสถานะออกไป แล้วมอบเอกสารผ่านด่านที่ที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนมอบให้ พิสูจน์ได้ว่าสถานะไม่ผิดพลาดแล้ว ทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้าคนนั้นก็ไม่ได้โยนเอกสารผ่านด่านกลับมาให้ข้า แต่พลิกตัวลงจากหลังม้า หลังจากยื่นเอกสารผ่านด่านให้แล้วยังยิ้มเอ่ยกับข้าประโยคหนึ่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือสภาพอากาศย่ำแย่ ลมหิมะขวางทาง หากกังวลว่าจะเจอปัญหาก็สามารถไปพักค้างแรมที่ปล่องไฟส่งสัญญาณของพวกเขาก่อนได้ พวกเขามีอาหารให้กิน รอให้ลมหิมะเบาลงแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้ง”
นักเดินทางไกลคนหนึ่งที่เดินทางข้ามผ่านหมื่นภูเขาพันสายน้ำมานานแล้วเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนให้ฟังยาวเหยียด
ฮ่องเต้ซ่งเหอมีความอดทนอย่างมาก ฟังเข้าหูไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ว่าหลังจากฟังจบแล้วก็ยังอดเกิดความกังขาอยู่หลายส่วนไม่ได้
แค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้เองหรือ?
เฉินผิงอันถาม “ฝ่าบาทรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป เลยรู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อใช่หรือไม่?”
ซ่งเหอพยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริง ข้ารู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อสักเท่าไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องเล็กจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามเองตอบเอง “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก ในฐานะกองทัพม้าเหล็กต้าหลี เผชิญหน้ากับเซียนซือบนภูเขายังเหี้ยมหาญไม่กลัวตาย ทหารลาดตระเวนชายแดน เผชิญหน้ากับชาวบ้านต้าหลีก็มีความใส่ใจอย่างมาก”
นี่ทำให้เด็กหนุ่มจากอำเภอไหวหวงเขตหลงเฉวียนที่ตอนนั้นเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดฝึกวรยุทธ ลูกศิษย์เตาเผามังกรตรอกหนีผิงที่ตอนไปเยือนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ยังกังวลว่ารองเท้าแตะของตนจะเหยียบให้พื้นหินเขียวเปรอะเปื้อน มีความทรงจำที่แจ่มชัดต่อ ‘ราชวงศ์ต้าหลี’ ที่พร่าเลือนเป็นครั้งแรก
เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เคาะลงบนหัวเข่าเบาๆ “ในความเห็นของข้า สิ่งที่ช่วยค้ำประคองผืนฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาของไพศาลมีอยู่สามอย่าง แสงกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จิตใจของจอมยุทธผู้ผดุงความเป็นธรรมของอุตรกุรุทวีป กีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี”
คำพูดประเภทนี้ ต่อให้เป็นเรื่องจริง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นคนนอกที่พูดก็ยังเห็นได้ชัดว่า…ไม่ถูกกาลเทศะ อีกทั้งยังอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าพูดจาวางโตไม่รู้จักละอาย
แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอันกลับมีน้ำหนักอย่างยิ่ง ทั้งยังเหมาะสมอย่างถึงที่สุด
เมื่อก่อนบางทีไม่ว่าใครก็อาจรู้สึกว่าฉีจิ้งชุนเลือกเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่ไม่สะดุดตา รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ เป็นการกระทำที่เหมือนเด็กเล่นเกินไปหรือไม่ ย่อมอดถามไม่ได้ว่าเพราะอะไร
แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่าฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้ช่วยรับลูกศิษย์ปิดสำนักที่จะมาสืบทอดควันธูปให้สายเหวินเซิ่งอย่างเฉินผิงอัน สายตาช่างดีเหลือเกิน
ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี จึงนำเหล้าหนึ่งกาและจอกเหล้าหนึ่งจอกมามอบให้ฮ่องเต้ซ่งเหอด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันยิ้มพลางผงกศีรษะให้นาง
ฮองเฮาจึงเบี่ยงกายยอบตัวคารวะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!