เงินใส่ซองของเฉินผิงอันในวันนี้คือเงินร้อนน้อยสองเหรียญ หากหักลบตามราคาตลาดของบนภูเขาก็เท่ากับเงินขาวสองล้านตำลึงเงิน บางทีอาจมีส่วนต่างเพิ่มมาอีกหนึ่งถึงสองหมื่นตำลึงเงินได้เลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันเอาเงินฝนธัญพืชสองเหรียญออกมาไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่เหมาะสม
เปียนเหวินเม่ารีบยิ้มเอ่ย “หลายปีมานี้ได้ยินสือเจียชุนพูดถึงอาจารย์เฉินให้ฟังบ่อยๆ วันนี้ได้พบเจอกันก็ช่างสมคำเล่าลือจริงๆ”
ทุกวันนี้เปียนเหวินเม่ารับหน้าที่อยู่ในศาลกวงลู่ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้ามนตรีเล็ก ทำหน้าที่เป็นซื่อเฉิงกวงลู่ ตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ แต่เป็นผู้ดูแลกิจธุระต่างๆ ในมือจึงได้กุมอำนาจที่แท้จริง
ในอดีตเปียนเหวินเม่าสอบได้จิ้นซื่อระดับสอง หลังออกไปจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ถูกโยกย้ายอยู่ในที่ว่าการเมืองหลวงหลายแห่ง ไปที่กั๋วจื่อเจียน รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนก่อน จากนั้นก็ไต่ระดับเลื่อนขั้นไปเรื่อยๆ เป็นนายทะเบียน เป็นผู้สอนหลัก ก่อนจะเข้ามาอยู่ในศาลกวงลู่ยังเคยเป็นเฟิ่งหลี่หลางของศาลไท่ฉาง การเลื่อนขั้นในวงการของเปียนเหวินเม่าไม่เร็ว แต่ก็ถือว่ามั่นคง ปัญหาเดียวก็คือไม่เคยรับหน้าที่ในที่ว่าการของหกกรม ชั่วชีวิตนี้เป็นเส้าชิงของศาลกวงลู่ เปียนเหวินเม่ายังมีความมั่นใจ แต่หากจะบอกว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้ดูแลหลักของศาลกวงลู่ เขาไม่กล้าเพ้อฝันเลย
เวลาที่หลี่ไหวพูดถึงเปียนเหวินเม่าให้เฉินผิงอันฟัง ก็คือนายท่านขุนนางเมืองหลวงที่ตาแปะอยู่บนหน้าผาก ค่อนข้างจะดูแคลนคนบ้านนอกที่มาจากเมืองเล็กอย่างพวกเขา เจอใครก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่ก็ถือว่าดีต่อสือเจียชุนไม่น้อย
สือเจียชุนยิ้มกว้างสดใส แอบยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกเบาๆ บอกเป็นนัยกับเฉินผิงอันว่าไม่มีเรื่องแบบนี้สักหน่อย แค่คำพูดเกรงใจจากสามีตน เจ้าแค่ฟังแล้วปล่อยผ่านไปก็พอแล้ว
เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีออกมาจากตระกูลเปียนแล้ว หลินโส่วอีก็ถามว่า “จะไปนั่งที่บ้านข้าสักหน่อยไหม? ท่านพ่อข้าก็ถือว่ามีชาติกำเนิดมาจากช่างเตาเผา แถมเจ้ายังเข้ากับพวกผู้ใหญ่ได้ดี คงมีเรื่องให้คุยกับเจ้าไม่น้อย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “โส่วอีอ่า อายุก็เยอะแล้วนะ อย่าเห็นว่าท่านพ่อเจ้าไม่เคยยิ้มให้เจ้าเห็น ขอแค่เจ้าแต่งงาน ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว ญาติที่ห่างกันรุ่นหนึ่งมักจะสนิทสนมกันเสมอ เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย รับรองว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของท่านพ่อเจ้าในหนึ่งวันต้องมากกว่าที่ยิ้มให้เจ้าตลอดทั้งปีแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อ พวกเราสองคนก็มาเดิมพันกันดู เดิมพันเล็กน้อยแค่ให้พอสนุก เอาเป็นเงินร้อนน้อยสองเหรียญก็แล้วกัน”
หลินโส่วอียิ้มบางๆ ริมฝีปากขยับเบาๆ คำพูดที่ไร้เสียงเหนือกว่าคำพูดที่มีเสียง มอบคำว่าไสหัวไปให้เฉินผิงอันแค่คำเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เป็นฉากสายฟ้าที่อาจารย์ฉีอนุมานออกมา มีความคล้ายคลึงกับของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่บ้าง ภายใต้โอกาสที่เอื้ออำนวย ข้าจึงพอจะเรียนเป็นอย่างผิวเผิน จึงรวบรวมขึ้นเป็นตำรา เจ้าคุณสมบัติดี เปิดอ่านแล้วก็ลองดูว่าจะพัฒนาไปได้อีกขั้นหรือไม่”
หลินโส่วอีเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุนว่า “มอบของขวัญให้ก็คือมอบของขวัญให้สิ อย่าพูดเหมือนเป็นคนรับของขวัญ”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ยังจะมีหน้ามาว่าข้า? เจ้าที่เป็นคนรับของขวัญกลับทำตัวเหมือนคนมอบของขวัญอย่างไรอย่างนั้น”
หลินโส่วอีถาม “จะกลับแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เดี๋ยวก็จะออกจากเมืองหลวงแล้ว ถ้าไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้ จากนั้นยังต้องเดินทางไปที่ใบถงทวีปต่อทันที งานพิธีเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่างยังไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่ชัด แต่น่าจะประมาณปลายฤดูหนาวของปีนี้หรือไม่ก็ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า เอาเป็นว่าถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็แวะไปแล้วกัน แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”
หลินโส่วอีกล่าว “หากข้าไปที่ใบถงทวีปไม่ได้ เจ้าก็ให้ต่งสุ่ยจิ่งเพิ่มเงินใส่ซองในส่วนของข้าไปด้วยแล้วกัน ถึงอย่างไรในกระเป๋าเขาก็มีเงินเยอะ มีภูเขาเงินภูเขาทองที่หลายชั่วชีวิตก็ใช้ไม่หมด เจ้าตะพาบที่ในดวงตามีแต่เงินผู้นี้ชอบทำตัวเป็นเศรษฐีบ้านนอก นอกจากก้มหน้าก้มตาหาเงินแล้วก็ไม่มีความสามารถอย่างอื่น สมควรแล้วที่เป็นชายโสด…”
เฉินผิงอันกลั้นขำ
หลิวโส่วอีเจ้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
เพียงแต่ว่าพอเป็นต่งสุ่ยจิ่งกลับต่างออกไป เหตุผลก็เรียบง่ายมาก อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนสองคน ตอนที่เป็นเด็กหนุ่มต่างก็มีหลี่หลิ่วอยู่ในใจ จึงมองกันและกันเป็นศัตรูความรัก ผลคือท้ายที่สุดทั้งสองคนต่างก็มีจุดจบที่หมดสิ้นซึ่งความหวัง ตอนที่หลี่หลิ่วยังไม่แต่งงาน คนทั้งสองเกลียดขี้หน้ากัน แต่พอหลี่หลิ่วแต่งงานกับคนต่างถิ่นคนหนึ่ง ทุกวันนี้หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่ง ทุกครั้งที่กลับมาพบเจอกัน สายตาที่มองอีกฝ่ายกลับเป็นความขัดหูขัดตาอีกอย่างหนึ่ง ราวกับว่าบนหน้าผากของคนทั้งสองต่างก็แปะกระดาษเขียนอักษรตัวใหญ่สองคำว่า เศษสวะ…
หลินโส่วอีกำลังจะเอ่ยขอตัวลาไปก็ประสานสายตากับเฉินผิงอันแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจบอกกับเสี่ยวโม่ให้พาเซียนเว่ยติดตามตนไปเยือนสำนักศึกษาชุนซานด้วยกัน
บนรถม้า อวี๋เหมี่ยนถาม “อาจารย์เฉินว่าอย่างไรบ้าง?”
ฮ่องเต้ซ่งเหอนวดคลึงหว่างคิ้ว “เขาบอกว่าคราวหน้าที่ผ่านทางมายังเมืองหลวงจะให้คำตอบที่แน่ชัดอีกที”
อวี๋เหมี่ยนยื่นสองนิ้วมาคีบชายแขนเสื้อของฮ่องเต้ ยิ้มจนตาหยี พูดจาออดอ้อน “ห้ามโกรธนะ”
ซ่งเหอหลุดหัวเราะพรืด พลิกมือกลับมาเป็นฝ่ายกุมมือนางแทน
เพียงอิจฉายวนยาง ไม่อิจฉาเทพเซียน
อวี๋เหมี่ยนคลี่ยิ้มหวานเหมือนยามปกติ ค้อมตัวลงเอาใบหน้าแนบกับหลังมือของฮ่องเต้
นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ว่าในฝ่ามือของฮ่องเต้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่นางมอบเหล้าและจอกเหล้าไปให้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายนัก
สำนักศึกษาชุนซาน
ซิ่วไฉเฒ่ารอคอยเฉินผิงอันผู้เป็นลูกศิษย์และลูกศิษย์ของลูกศิษย์อย่างหลินโส่วอีอยู่ที่นี่
หลินโส่วอีดีมากเลยนะ เพียงแต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นชายโสดอยู่ แบบนี้กลับไม่ค่อยประเสริฐแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อสำนักศึกษาแห่งนี้ คราวก่อนอยู่ที่นี่เขาก็เพิ่งนับญาติกับหลานชายที่เป็นญาติห่างๆ นามว่าโจวเจียกู่โดยไม่ต้องเสียเงินไม่ใช่หรือ
ซิ่วไฉเฒ่ายืนรออยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษาชุนซาน
อีกเดี๋ยวเขาก็จะต้องกลับไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว
ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองกรอบป้ายของสำนักศึกษา
ชุนซาน
ตัวอักษรเขียนได้ดี ชื่อก็ตั้งได้ดี
ชุนเดียวกับฉีจิ้งชุน ซานเดียวกับชุยตงซาน
เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีปรากฏกายแล้วต่างคนก็ต่างประสานมือคารวะ
ซิ่วไฉเฒ่าหันตัวกลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “ผิงอัน โส่วอี พวกเจ้าลองว่ามาสิว่าชอบความรู้บทไหนของข้ามากที่สุด?”
คำตอบของเฉินผิงอันคือบทเชวี่ยนเซวี๋ย (แนะนำสนับสนุนให้คนเรียนรู้)
ส่วนคำตอบของหลินโส่วอีคือบทเทียนลุ่น (ถกเรื่องฟ้า ทฤษฎีสวรรค์)
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ดีมากทั้งคู่”
คนทั้งสามเดินเข้าไปในสำนักศึกษาด้วยกัน ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้าว่า “วิญญูชนกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้มิอาจหยุดนิ่ง เข้าใจความต่างระหว่างธรรมชาติและเรื่องราวผู้คนอย่างชัดเจน จึงจะเรียกว่าเป็นยอดฝีมือ”
“กลุ่มดาวหมุนวน ตะวันจันทราส่องแสง สี่ฤดูกาลผันผ่าน หยินหยางแปรเปลี่ยน ลมฝนพัดโปรย ฟ้าเห็นความสว่าง ดินเห็นแสงกระจ่าง วิญญูชนล้ำค่าตรงที่รักษาคุณธรรม ประพฤติตนอย่างสำรวม”
“ฟ้าดินแปรเปลี่ยน หยินหยางจำแลง หากเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเรื่องประหลาดบังเกิด มิต้องหวั่นกลัว วิญญูชนตั้งถิ่นฐานต้องเลือกสภาพแวดล้อมที่ดีงาม ออกนอกบ้านเดินทางไกล ต้องเลือกคบหาสหายที่ดี”
“โส่วอี เกี่ยวกับบทเทียนลุ่น มีจุดไหนที่ไม่เข้าใจหรือไม่?”
“มีอยู่สองสามจุดขอรับ”
“ดี อ่านตำราไร้คำถามก็เท่ากับว่าดื่มเหล้ากินกับแกล้มจนล้นกระเพาะ พวกเราเดินไปคุยกันไป เจ้าถามข้าตอบ”
“ใช่แล้ว โส่วอี วันหน้าหากเจอปัญหายากๆ ที่คล้ายคลึงกันนี้ก็สามารถส่งจดหมายไปที่สวนกงเต๋อได้ ส่วนเรื่องของการฝึกตน หากเจอด่านที่เป็นปมของปัญหา ในด้านการฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ เจ้าก็สามารถสอบถามจิงเซิงซีผิงได้โดยตรง เรื่องมรรคกถา ข้าสามารถถามฝูลู่อวี๋เสวียนกับจ้าวเทียนซือให้เจ้าได้ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ทั้งสองท่านต่างก็ไม่ค่อยว่าง อาจต้องรอนานหน่อยกว่าจะตอบกลับจดหมายของเจ้า แต่หากเจอปัญหาที่ยากยิ่งกว่านั้น…”
เฉินผิงอันยิ้มพูดต่อประโยคว่า “หากเป็นเรื่องเงินก็ให้มาหาข้า รับรองว่าไม่เก็บดอกเบี้ย มีเงินเมื่อไหร่ค่อยคืนเมื่อนั้น ข้าไม่มีทางทวงแน่นอน”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มอย่างชอบใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!