ตอน บทที่ 889.2 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 889.2 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ไล่เด็กหนุ่มสองคนไปได้แล้วก็กลับเข้าไปในลานบ้าน ยื่นมือกวักหนึ่งที ม้านั่งยาวตัวหนึ่งถูกบังคับให้ลอยออกจากในห้อง โยนให้ซูหลาง กวักมืออีกหนึ่งที ซูหลางก็ยื่นห่อกระดาษน้ำมันไปให้โจวไห่จิ้ง
โจวไห่จิ้งดื่มเหล้ากินหมูกรอบเพียงลำพัง สองตาทอประกายแสงเจิดจ้า “ครั้งแรกที่ข้าได้นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก็คิดแล้วว่าวันหน้าตัวเองจะต้องเปิดร้านเหล้าสักร้าน จะต้องให้ท่าเรือตระกูลเซียนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปช่วยข้าขายเหล้า จุ๊ๆ พอคิดบัญชีปลายปี แล้วค่อยเอาเงินเทพเซียนมาหักลบเป็นเงินสีขาวกับสีทอง นั่นก็คือภูเขาเงินภูเขาทองเชียวนะ แค่คิดก็เป็นภาพที่งดงามมากแล้ว”
ซูหลางแค่ยิ้มพลางดื่มเหล้า ไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง
หากโจวไห่จิ้งคิดจะหาเงินเทพเซียนจริงๆ ก็มีเส้นทางบนภูเขาให้เดิน ขอแค่นางยอมวางศักดิ์ศรีหน้าตาลง อาศัยสถานะของผู้ถวายงานและเค่อชิง ทุกปีก็ต้องมีเงินก้อนใหญ่เข้าบัญชี
เพราะถึงอย่างไรคนที่มีตาต่างก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าอวี๋หงอายุมากแล้ว เป็นคนล่างภูเขาแล้ว แต่โจวไห่จิ้งกลับยังอยู่ระหว่างทางขึ้นเขา หากนางเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้สำเร็จจริง ความมีหน้ามีตาไร้ที่สิ้นสุดก็รอคอยนางอยู่
พูดถึงแค่ใบถงทวีปทางทิศใต้ ก่อนที่แผ่นดินจะจมดิ่ง ร้อยกว่าแคว้นบนขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปในอดีต มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสักกี่คนกันเชียว? ดูเหมือนว่าก็มีแค่อริยะบู๊อู๋ซูและหวงอีอวิ๋นเท่านั้น
ส่วนธวัลทวีปที่โชคชะตาบู๊บางเบาก็ยิ่งมีแค่เพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงคนเดียว
สมมติว่าไม่นับรวมทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉลี่ยแปดทวีปที่เหลือของไพศาล หนึ่งทวีปมี ‘ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำ’ สองถึงสามคนก็เป็น ‘ข้อกำหนดที่แน่นอน’ แล้ว
โจวไห่จิ้งเอ่ยสัพยอก “เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับแม่ทัพสือไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่รู้หรอกว่าปีนั้นตอนที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ในพรรคของยุทธภพ เคยได้ยินเจ้าประมุขผู้เฒ่าพูดถึงแม่ทัพสือว่าเขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ราวกับแผ่นฟ้า หากอิงตามคำกล่าวของเจ้าประมุขผู้เฒ่าก็คือ หากเขาผายลมบนโต๊ะสุราก็เสียงดังพอๆ กับเสียงฟ้าผ่าเลยล่ะ”
ซูหลางยิ้มกล่าว “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
รู้ว่าโจวไห่จิ้งกำลังพูดถึงแม่ทัพหล่งซั่วผู้นั้น คือแม่ทัพตัวเล็กๆ ขั้นสี่ในกองทัพชายแดนต้าหลี สำหรับแคว้นใต้อาณัติของแจกันสมบัติทวีปในอดีตแล้ว ถือว่าเป็นบุคลใหญ่เทียมฟ้าเหมือนกับไท่ซ่างหวงได้จริงๆ
ในอดีตหลังออกไปจากบ้านเกิด โจวไห่จิ้งก็ปิดบังชื่อแซ่ ท่องอยู่ในยุทธภพ แล้วยังเคยอยู่กับพวกคนขนส่งทางน้ำที่อยู่กับน้ำก็กินจากน้ำ อาศัยตบะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้ามาทำอาชีพที่ได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง
ตั้งใจหาเงินยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเสียอีก ยกตัวอย่างเช่นยามที่ไปยังซากปรักสนามรบโบราณที่มีปราณชั่วร้ายเข้มข้น ด้านหนึ่งก็หล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ขุดดินลึกสามฉื่อ เก็บเอาพวกเสื้อเกราะผุพังหรือไม่ก็ลูกธนูมาเป็นมัดๆ จากนั้นนำไปขายให้กับพวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ใช้ข้ออ้างว่ากำจัดปีศาจปราบมารมาประทังชีพในราคาสูง ไม่ก็แอบไปขโมยเงินเหรียญทองแดงที่พวกชาวบ้านเก็บซ่อนไว้บนขื่อคาน หรือไม่ก็จงใจถือกระจกทองแดงช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ บางทีก็แต่งกายเป็นเซียนกระบี่หญิงที่เพิ่งออกมาจากจวน พ่นเหล้าหนึ่งคำ ใช้นิ้วปาดหนึ่งที แอบใช้พายุลมกรดของผู้ฝึกยุทธสร้างภาพเหตุการณ์ตระกูลเซียนที่มีสายฟ้าตัดสลับ ช่วยจัดการกับบ้านร้างที่มีผีอาละวาดซึ่งต่อให้ขายออกไปในราคาถูกก็ยังขายไม่ได้ อันที่จริงนางล้วนอาศัยฝีมือหมัดเท้าสังหารพวกภูตผีปีศาจเหล่านั้นจริงๆ เงินที่ได้มาก็เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่ยากลำบากอย่างแท้จริง
เรื่องในอดีตไม่อยากย้อนกลับไปมอง พูดมากไปก็มีแต่น้ำตาแห่งความขมขื่น
ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า
โจวไห่จิ้งคล้ายจะนึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงจุ๊ปากพูด “กองทัพม้าเหล็กต้าหลีชักดาบอยู่บนสนามรบ นั่นแหละคือความอำมหิตที่แท้จริง”
ทุกวันนี่นางอายุครึ่งร้อยแล้ว แต่ตอนที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบก็ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ร่อนเร่พเนจรไปทั่วทิศ แรกเริ่มก็ออกท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ขึ้นเหนือล่องใต้อยู่นานหลายปี แล้วก็เคยเจอกับกองทัพชายแดนของแต่ละแคว้นที่มีกองกำลังแข็งแกร่งมาไม่น้อย ทหารหาญแกล้วกล้า ม้าศึกสูงใหญ่แข็งแรง เชี่ยวชาญการสู้รบห้าวหาญ ยามที่สังหารคนในยุทธภพขึ้นมา นั่นต้องเรียกว่าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ประหนึ่งผ่าแตงหั่นผัก ผลคือรอกระทั่งได้เจอกับกองทัพชายแดนต้าหลีที่กีบเท้าม้าย่ำลงใต้ กลับกลายเป็นเหมือนกระดาษเปียก มิอาจต้านทานการโจมตีได้เลย
มีครั้งหนึ่งโจวไห่จิ้งกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ อยากจะเห็นพลานุภาพในการเจาะทะลวงขบวนรบของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกับตาตัวเองสักครั้ง ได้เห็นก็จริงอยู่ แล้วก็เหมือนผ่าก้อนเต้าหู้จริงๆ เหมือนกับชายฉกรรจ์แข็งแกร่งรังแกเด็กน้อยที่ยังสวมกางเกงเปิดก้นอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็เพราะการปรากฏตัวครั้งนั้น โจวไห่จิ้งถึงได้ถูกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีค้นพบร่องรอย แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่ได้ลงมือต่อกัน ทว่าภายหลังนางก็ถูกหน่วยจานกานของกรมอาญาจับตามองแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกบันทึกลงในเอกสารของกรมอาญาต้าหลี ชื่อของนางถูกบันทึกอยู่ในเอกสาร โชคดีที่โจวไห่จิ้งมีการเตรียมการมาไว้ล่วงหน้า จึงไม่ได้เผยพิรุธมากเกินไปนัก
ซูหลางไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก ก่อนจะจากไปก็ได้รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “ก่อนจะไป ข้าต้องเตือนแม่นางโจวสักคำ ระวังเฉินผิงอันผู้นั้นด้วย”
โจวไห่จิ้งยิ้มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าเขาเป็นวิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน? ชอบหลอกเอาเงินแล้วยังชอบหลอกเอาความรักด้วย?”
ซูหลางส่ายหน้า “ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เฉินผิงอันทำอะไรมีมาดของคนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างมาก แต่บอกตามตรง แม่นางโจวอย่าได้โกรธ หากจะพูดถึงเรื่องแข่งกันวางแผน ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ เขาทำอะไรมักมีความเคยชินที่ต้องวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลัง เรื่องของการไปร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยงก็ต้องเรียกว่าพังราบพนาสูร สำนักแห่งหนึ่งถูกรื้อถอนจนเละเทะ ตามความเห็นของข้า สิ่งที่ภูเขาตะวันเที่ยงถูกเฉินผิงอันทำลายลงไปกับมือไม่ใช่ศาลบรรพจารย์ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เป็นจิตใจคนที่ซับซ้อนของผู้ฝึกตนของหลายยอดเขา”
ซูหลางไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อเฉินผิงอัน เพียงแต่ความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของเซียนกระบี่ไผ่เขียวท่านนี้ไม่อนุญาตให้เขาพูดจาเหลวไหลหน้าตาเฉย
โจวไห่จิ้งพยักหน้า “มีเหตุผล มีเหตุผล”
ซูหลางเองก็ไม่รู้ว่านางฟังเข้าหูแล้วจริงๆ หรือไม่ เขาพูดสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้วจึงลุกขึ้นขอตัวลาจากไป
โจวไห่จิ้งลุกขึ้นยืน โยนกระดาษน้ำมันทิ้ง แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ ยิ้มเอ่ย “ขออวยพรให้เซียนกระบี่ซูเดินทางราบรื่นปลอดภัย”
หลังจากซูหลางจากไป
โจวไห่จิ้งก็เริ่มโบกพัด เรื่องในใจลอยหายไปตามสายลม นางถอนหายใจยาวเหยียดพลางเตือนตัวเองว่าอย่าถอนหายใจบ่อย เพราะกลิ่นอายแห่งความร่ำรวยจะหายไปได้ง่าย เพียงแต่พอคิดถึงว่าตนหาเงินอย่างยากลำบาก กำลังทรัพย์ไม่หนามากพอ สตรีก็อดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังอีกไม่ได้
เกาโหยวพลันส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ข้างนอก “ท่านน้าโจว อาจารย์เฉินมาเป็นแขกอีกแล้ว วันนี้ข้างกายมีสหายติดตามมาด้วย!”
คราวก่อนโจวไห่จิ้งติดตามเก๋อหลิ่งไปยังที่ว่าการของเต้าเจิ้งเมืองหลวงมารอบหนึ่ง ถือโอกาสนั้นได้เจอกับองค์ชายซ่งซวี่ด้วย น่าเสียดายที่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้วไม่เหมือนพวกบ้ากามที่จะบังคับขืนใจหญิงชาวบ้าน เลี้ยงดูสตรีไว้นอกบ้าน ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อซ่งซวี่เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าองค์ชายรองของต้าหลีท่านนี้ไม่มีชะตาที่จะได้สวมชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องเจ้าเมืองก็ยังไม่มี
โจวไห่จิ้งรีบตะโกนตอบทันใด “ให้อาจารย์เฉินรอสักครู่”
เหล่าเหนียงต้องรีบไปแต่งหน้าแต่งตัวเสียหน่อย
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมีความคิดไม่ถูกไม่ควรกับเฉินผิงอัน
โจวไห่จิ้งยืนอยู่หน้าห้อง มองเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าประตูเรือนแล้วก็เอ่ยหยอกเย้าว่า “เจ้าสำนักเฉินของข้า เลิกมาตอแยสตรีที่มีสามีแล้วอย่างข้าเสียทีเถอะ หากเล่าลือกันออกไปคงไม่น่าฟัง ข้าน่ะไม่เท่าไร กลัวก็แต่ว่าจะทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ดีงามของเจ้าสำนักเฉินน่ะสิ”
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือน เอ่ยว่า “แม่นางโจวพูดตลกแล้ว”
โจวไห่จิ้งเหลือบมองผู้ติดตามที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นั้นแล้วถามว่า “คุณชายท่านนี้คือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรียกเขาว่าเสี่ยวโม่ก็พอ”
โจวไห่จิ้งกวาดตามองเสี่ยวโม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มตาหยีถามว่า “เล็กแค่ไหน?” (คำว่าเสี่ยวจากเสี่ยวโม่แปลว่าเล็ก)
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยตอบ “ความรู้ในข้อนี้ต้องเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด มิอาจให้คนนอกรู้ได้ง่ายๆ”
ถ้าอย่างนั้นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้ ปิดบังชื่อแซ่มานานหลายปี เป็นเหตุให้พลาดสงครามดุเดือดที่ตีกันตั้งแต่นครมังกรเฒ่าไปจนถึงเมืองหลวงสำรองต้าหลีไป เกินครึ่งก็คงจะเป็นเพราะมีเรื่องลำบากใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ยกระมัง?
จิตใจของสตรีเหมือนเข็มใต้มหาสมุทร วกวนเก้ารอบสิบแปดตลบ ก็เป็นเช่นนี้เอง
เฉินผิงอันแค่พยักหน้ารับ
โจวไห่จิ้งหรี่ตาลง ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งอึก “มีฝีมือในการผ่าฟืนเผาถ่านจริงๆ หรือ? รู้จักเลือกวัสดุไม้ก่อเตาซ่อมประตู? อยู่บนภูเขาต้องอยู่นานถึงห้าหกวันเชียวนะ ทนรับความลำบากนี้ไหวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พอจะคุ้นชินอยู่บ้าง”
โจวไห่จิ้งส่ายหน้า จุ๊ปากเอ่ย “ข้าไม่เชื่อหรอก”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย แล้วข้าก็ไม่ได้ดื่มเหล้าของเจ้าสักอึก
ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำการค้าที่เสนอไปช่วงแรกสุดนั้นได้แล้ว วันหน้าทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองเท่านั้น
โจวไห่จิ้งกลับยิ้มเอ่ยรั้งเอาไว้ “จะใจร้อนไปไย ประตูบ้านหญิงหม้ายยังต้องเคาะถึงสองครั้ง อีกอย่างก็ไม่ถือว่าเป็นชายหญิงที่อยู่กันตามลำพังอะไร เหล้าบนโต๊ะชามนั้นยังดื่มไม่หมดเลยนะ ทำไม หรือข้าพูดถูก ดื่มน้ำเปล่าได้ แต่ไม่ยอมดื่มเหล้าชั้นเลว?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “จะดีจะชั่วเจ้าสำนักเฉินก็ดื่มให้หมดชามก่อนแล้วค่อยไปสิ วางใจเถอะ ข้าไม่ได้วางยาพิษ ไม่มียาสลบ ส่วนยากระตุ้นกำหนัดก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แพงมาก ข้าหรือจะตัดใจซื้อได้ลง”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าให้โจวไห่จิ้ง นางเองก็ยกชามขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าคนละอึก
โจวไห่จิ้งยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นช่างเตาเผา หากข้าจำไม่ผิด นั่นคืองานของทางการอันดับหนึ่งในราชสำนักต้าหลีเชียวนะ ท่านยังต้องเผาถ่านหาเงินอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์เท่านั้น ไม่ได้เป็นช่างอย่างเป็นทางการ อันที่จริงได้ค่าแรงไม่มาก ต้องหางานอื่นทำเพื่อใช้จ่ายในบ้าน หากเป็นวันที่อากาศหนาวมากเป็นพิเศษแล้วเผาถ่านบนภูเขาได้ร้อยจิน ก็จะได้เงินมาประมาณหนึ่งตำลึงห้าอีแปะ เผาถ่านดำประหยัดแรง ราคาในตลาดจึงถูกไปด้วย เพียงแต่ว่าพวกเราขายถ่าน คนมีเงินของเมืองเล็กเป็นผู้ซื้อ ต้องผ่านด่านพ่อค้าคนกลางด้วย ได้ยินมาว่าความต่างของราคามีไม่น้อยเลย”
ขึ้นเขาไปผ่าฟืนเผาถ่าน เฉินผิงอันจะพกผักดองไปเพิ่มหนึ่งกระปุก สะพายข้าวสารห่อใหญ่ ทำเพิงไม้บังลมบังฝนข้างเตาเผาถ่านขึ้นมาง่ายๆ ก่อเตาไฟใช้สำหรับทำอาหาร บางครั้งยังเผาพวกมันหรือไม่ก็เผือกบนภูเขากิน อีกอย่างเฉินผิงอันก็เรียนรู้งานฝีมือไม่น้อยมาจากหลิวเสี้ยนหยาง ทุกครั้งที่ขึ้นเขา ของที่นำติดตัวไปด้วยมีไม่น้อย ข้องจับปลา วางกับดัก แต่หากขึ้นเขาไปหาดินพร้อมกับผู้เฒ่าเหยา เฉินผิงอันจะไม่กล้าทำอะไร ‘ฉูดฉาด’ เช่นนี้เด็ดขาด
โจวไห่จิ้งยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่งยาว จุ๊ปากเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เมื่อก่อนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ อยากไปดูว่าฮ่องเต้ใช้ชีวิตอย่างไร ในเดือนหนึ่งข้าเคยเสี่ยงอันตรายลอบเข้าไปในวังหลวงของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง ผลคือได้เปิดโลกกว้างจริงๆ นอกตำหนักแห่งหนึ่งข้าได้เห็นเทพทวารบาลสวมชุดสีสันสดใสเหมือนมีชีวิตจริงสององค์ ตัวสูงพอๆ กับตัวคน สวมชุดแพรต่วน สวมเสื้อเกราะสีสด พกดาบและหอกของจริง ถลึงตาดุดัน ทีแรกข้ายังตกใจสะดุ้งโหยง ผลคือรอจนข้าขยับเข้าไปลูบใกล้ๆ เจ้าขุนเขาเฉิน ท่านลองเดาดูสิว่าทำมาจากอะไร?”
เฉินผิงอันไม่ต้องเดาก็ตอบได้ทันทีว่า “ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมีแคว้นเล็กอยู่สองสามแคว้นที่ในวังมีธรรมเนียมเผาถ่านเป็นรูปแม่ทัพแทนเทพทวารบาล ทุกๆ สิ้นปีจะเชิญออกมาจากคลังหลวง วันที่สองเดือนสองของปีถัดมาจึงจะนำไปเก็บ จำเป็นต้องแต่งกายให้เหมือนใหม่ ห้ามให้มีความเสียดายใดๆ ปลายปีก็เชิญออกมาอีก หากใช้คำกล่าวของคนในยุทธภพก็คือถ่านไม้ล้ำค่ายิ่งกว่าคนมีชีวิตจริงๆ เสียอีก ว่ากันว่า แม่ทัพถ่านที่ ‘อายุสูงเป็นร้อยปี’ บางส่วน คงเป็นเพราะสัมผัสกับปราณมังกรมานานจึงสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ ช่วงเวลาที่ ‘ทำหน้าที่’ ทุกคืนจะสามารถเดินลาดตระเวนอยู่ในวังหลวง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเทพท่องราตรีของศาลเทพอธิบาลเมืองเสียอีก แต่ข้าไม่ได้มีความรู้กว้างขวางอย่างแม่นางโจว แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเห็นของพวกนี้กับตาตัวเองมาก่อน ใคร่รู้อยู่มากเหมือนกัน”
โจวไห่จิ้งไม่รีรออีก นางถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ท่านมาเยือนครั้งนี้ เพราะต้องการซักไซ้ถามข้าให้ถึงที่สุด ถามจนรู้ว่าทำไมข้าถึงมีความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกับอวี๋หงถึงจะพอใจ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เพียงแต่ว่าอีกเดี๋ยวจะต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงแค่มาเตือนแม่นางโจวเรื่องหนึ่ง วันหน้าจะไปแก้แค้นอวี๋หงก็ดี ไม่ทันระวังเกิดความ ‘เข้าใจผิด’ ที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกรากันก็ช่าง จำไว้ว่าอย่าให้เดือดร้อนผู้อาวุโสในยุทธภพสองคนที่อยู่ในหอฝูสู่ของอวี๋หง คนหนึ่งชื่อจู๋เฟิ่งเซียน คนหนึ่งชื่ออวี่ชางหมาง ทุกวันนี้ผู้อาวุโสทั้งสองต่างก็เป็นผู้อาวุโสในหอฝูสู่ พวกเขาเพิ่งเข้าร่วมพรรคได้ไม่นาน อันที่จริงก็แค่ขอให้มีข้าวในยุทธภพกินเท่านั้น ในอนาคตหวังว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่นางโจวจะมีเมตตากับพวกเขาทั้งสองคน ให้พวกเขาถอนตัวออกมาได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!