โจวไห่จิ้งหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ความขัดแย้งบางอย่างในยุทธภพ แสงดาบเงากระบี่ หมัดเท้าไร้ตา ใครพูดมากประโยคหนึ่ง บางทีก็อาจต้องทิ้งชีวิตไว้ตรงนั้น เจ้าสำนักเฉินใช่ว่าจะไม่รู้ถึงอันตรายในการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกยุทธเสียหน่อย แบบนี้จะทำให้ข้าลำบากใจเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “หากผู้อาวุโสทั้งสองท่านเข้าร่วมด้วย แม่นางโจวสามารถบอกพวกเขาก่อนได้ บอกไปว่าข้าคือสหายของแม่นางโจว หากถึงเวลานั้นผู้อาวุโสทั้งสองท่านยังยืนกรานว่าจะไม่ถอย จะเข้าร่วมกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพครั้งนี้ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”
โจวไห่จิ้งลังเลไปเล็กน้อย “ได้ แต่ต้องถือว่าเจ้าขุนเขาเฉินติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้สิ”
โจวไห่จิ้งพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าขุนเขาเฉินไม่เหมือนเซียนกระบี่อะไรเลย เหมือนบัณฑิตมากกว่า”
บุรุษที่เคยพลัดถิ่นไปเป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนของต่างบ้านต่างเมืองเคยเอ่ยว่า อริยะกล่าวไว้ว่า ปณิธานในการศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ปวงประชา
แล้วก็เคยเอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่า เด็กน้อยใช้ถ่านวาดเส้นทาง ต่อให้เป็นมดก็ยังไม่กล้าข้ามผ่านไป
โจวไห่จิ้งมักจะฝันว่าตัวเองได้ไปเยือนซากปรักโบราณแห่งหนึ่งเป็นประจำ ด้านหน้าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งมีรูปปั้นทองแดงของเซียนที่ในมือทำท่าคล้ายถือประคองของบางอย่างอยู่ ต้นกุ้ยแตกหัก ตะไคร่ขึ้นเต็มพื้น ตำหนักถูกปล่อยร้าง พืชหญ้ารกชัฏขึ้นเต็มไปหมด แทบทุกครั้งนางจะต้องได้พบเจอกับบุรุษที่เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่าชิวเฟิงเค่อขี่ม้าลาดตระเวนยามราตรี ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย บอกว่าตอนมีชีวิตอยู่ตัวเองหลอมโอสถอย่างยากลำบากหวังจะได้เป็นเซียน ใฝ่ฝันจะเป็นอมตะไม่แก่โทรม โจวไห่จิ้งเดินทางร่วมกับเขาไปตลอดทาง พอฟ้าสางเรือนกายของคนผู้นั้นก็สลายหายไป เป็นความฝันที่ประหลาดยิ่ง
ก่อนจะออกจากบ้านเกิด นางเคยขอให้อาจารย์ในโรงเรียนผู้นั้นทำนายฝันให้ เขาบอกว่านี่เป็นบุพเพของชาติก่อน
โจวไห่จิ้งก้มหน้าดื่มเหล้าในชามจนหมด วางชามเหล้าที่ว่างเปล่าลง นางจ้องชามขาวนิ่ง ก้มหน้าเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฉินคือผู้ฝึกตน คิดดูแล้วบนภูเขาของพวกท่านก็น่าจะมีคำกล่าวที่ว่า พวกเรามาเกิดเป็นคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
โจวไห่จิ้งเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “แผ่นดินที่ให้กำเนิดข้าเลี้ยงดูข้า จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณ!”
เฉินผิงอันรับคำต่อ “หากมิอาจตอบแทนบุญคุณ ก็ต้องชำระความแค้น”
โจวไห่จิ้งเงยหน้าขึ้นเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างที่มิอาจปิดบัง
“คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ได้รับความอยุติธรรมก็ต้องร้องทุกข์ มีหนี้ก็ต้องใช้คืน ชายหญิงในยุทธภพ พระคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่อย่างนั้นพวกเราจะฝึกวรยุทธให้เหนื่อยยากกันไปทำไม”
โจวไห่จิ้งลังเลเล็กน้อย เป็นฝ่ายยื่นชามเหล้าออกมา คงจะต้องการชนชามเหล้าแล้วดื่มร่วมกันกับเฉินผิงอันอีกครั้ง
อันที่จริงเฉินผิงอันกลับลังเลยิ่งกว่า แต่กระนั้นก็ยังยกชามเหล้าชนกับอีกฝ่ายเบาๆ
เผ่าพันธุ์เจียวหลงเดินลงแม่น้ำ ผีขี้เหล้าเองก็ลงน้ำเหมือนกัน
โจวไห่จิ้งดื่มหมดในรวดเดียว เช็ดปาก เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เจ้าสำนักเฉินไม่ใช่เซียนกระบี่หรอกหรือ? ทำไมถึงบอกว่าเรียนวรยุทธเหนื่อยยากล่ะ?”
รู้ว่าเฉินผิงอันเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่ขอบเขตวิถีวรยุทธต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน เพียงแต่มักจะรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับสถานะเซียนกระบี่ของอีกฝ่ายแล้ว วิถีการเรียนวรยุทธ เห็นได้ชัดว่าไม่สำคัญเท่า
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “การเรียนหมัดเคยช่วยต่อชีวิตให้กับข้า มีหรือจะกล้าไม่ตั้งใจ เมื่อเทียบกันแล้ว การฝึกกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ กลับเป็นเป็นช่วงหลังๆ แล้ว”
โจวไห่จิ้งถาม “หรือว่าท่านเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นข้าจะเป็นอาจารย์ของเผยเฉียนได้อย่างไร”
โจวไห่จิ้งถามหยั่งเชิง “เจ้าสำนักเฉิน ท่านคงไม่ได้ถูกใจข้าเข้าแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “แม่นางโจว เรื่องล้อเล่นแบบนี้อย่าได้พูดเลย”
โจวไห่จิ้งเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ถ้าอย่างนั้นท่านมาคุยโวอะไรกับข้า?”
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันเป็นขอบเขตยอดเขา โจวไห่จิ้งยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่จะบอกว่าเป็นขอบเขตปลายทาง?!
ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปประลองฝีมือกับซ่งจ่างจิ้งสักครั้งเล่า?
เสี่ยวโม่มาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เพียงแต่ว่าข้างกายมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย
เกาโหยวกับว่านเหยียนที่อยู่ในตรอกไม่ได้จากไปไหนไกลต่างก็ตะลึงระคนประหลาดใจ เพราะคุ้นหน้าผู้เฒ่าอยู่มาก ก็คือนักเล่านิทานที่พูดโม้น้ำลายแตกฟองอยู่ใต้สะพานลอย แล้วยังถือโอกาสขายตำราลับหลายเล่มคนนั้น
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจอธิบายให้เฉินผิงอันฟัง ที่แท้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนนี้ก็ได้บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญนรลักษณ์ศาสตร์ มองปราดเดียวก็ถูกใจในชะตาของเด็กหนุ่มว่านเหยียน อีกทั้งยังสังเกตดูนิสัยใจคอของเด็กหนุ่มมาพักหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถสืบทอดมรรคกถาส่วนหนึ่งของตัวเองได้ เพียงแต่เรื่องหลอมกระบี่นั้น หมดหวัง
ผู้เฒ่ามองบุรุษชุดเขียวที่อยู่ในลานบ้านแล้วรีบเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืนมา ก้มหัวกุมหมัด ใช้เสียงในใจเอ่ย “ฝึกฝนน้อย คือจำศีลอยู่ในป่า ฝึกฝนใหญ่คือจำศีลอยู่ในยุคสมัย ข้าผู้อาวุโสได้แต่เที่ยวเล่นอยู่ในโลกมนุษย์ มิอาจเทียบกับเซียนกระบี่เฉินได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “สหายรับลูกศิษย์ ขอแสดงความยินดีด้วย”
โจวไห่จิ้งเอนตัวพิงประตูบ้าน รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นขอบเขตปลายทางจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างจริงใจ “จริง”
สายตาโจวไห่จิ้งฉายแววประหลาด “บนยอดเขาแห่งนั้นมีทัศนียภาพเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ยังไม่สูงมากพอ”
โจวไห่จิ้งมองแววตาและสีหน้าของบุรุษชุดเขียว
มารดามันเถอะ เหตุใดมองดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาเหมือนกันนะ
ดูท่าเหล่าเหนียงน่าจะดื่มจนเมาแล้ว
คงไม่ได้ถูกเจ้าหมอนี่กรอกยาลืมวิญญาณใส่ในเหล้าของตนกระมัง
โจวไห่จิ้งหัวเราะอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันไม่อยู่ขัดจังหวะการกราบอาจารย์รับลูกศิษย์ของผู้อื่น
หลักๆ แล้วเป็นเพราะรอยยิ้มประหลาดของโจวไห่จิ้งต่างหากที่น่าขนลุก
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่กลับไปที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น
เซียนเว่ยที่อยู่ในห้องด้านข้างนอนหลับกรนดังครอกๆ
ในตรอกเล็กนอกประตูบ้านของโจวไห่จิ้ง ผู้เฒ่าบอกสาเหตุที่มาเยือนอย่างชัดเจน บอกกล่าวให้รู้ถึงสำนักของตัวเอง ให้ว่านเหยียนติดตามตนไปฝึกตน
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดมองเกาโหยวแวบหนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพยักหน้า เพียงแค่บอกกับเกาโหยวว่าตนต้องกลับมาแน่นอน
ผู้เฒ่าบอกกับว่านเหยียนว่าไม่ต้องเอาอะไรไปทั้งนั้น แล้วก็ออกไปจากตรอกทั้งอย่างนั้น
อันที่จริงเกาโหยวหวังให้ว่านเหยียนจากไปทั้งอย่างนี้ แต่ก็อยากให้ว่านเหยียนไม่ต้องไปไหนด้วย อยู่เป็นเพื่อนกัน มีทุกข์ร่วมต้าน แต่สุดท้ายสหายรักต้องจากไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แย่ไปทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรหัวใจของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ว่างโหวงแปลกๆ
โจวไห่จิ้งมองเด็กหนุ่มอารมณ์ซับซ้อนที่นั่งยองอยู่หน้าประตู ยกมือกุมหัว
นางถอนหายใจ บอกที่อยู่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงให้กับเกาโหยว โบกมือเอ่ยว่า “เจ้าไปหาคนตามที่อยู่นี้ เขาชื่อซูหลาง ก็คือคนที่พกเหล้ามาก่อนหน้านี้ บอกไปว่าข้าให้เจ้าไปหาเขา แล้วให้เขาสอนวรยุทธกับเจ้าสักสองสามกระบวนท่า ส่วนเจ้าจะเรียนเป็นกี่มากน้อยก็ต้องดูที่ความสามารถของเจ้าเองแล้ว”
เกาโหยวหันขวับกลับมา พูดเสียงสะอื้น “ขอบคุณท่านน้าโจว”
โจวไห่จิ้งเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าตะพาบน้อย เรียกพี่โจว!”
เกาโหยวยิ้มกว้าง วิ่งปรู๊ดจากไปทันที คิดว่าจะกลับบ้านไปเก็บสัมภาระก่อน เพียงแต่ว่าตอนที่วิ่งไปถึงหัวเลี้ยว เขากลับหันหน้ามาตะโกนเสียงดัง “ท่านน้าโจว จำไว้ว่าพรุ่งนี้ช่วยบอกนางแทนข้าสักคำว่าข้าออกไปท่องยุทธภพแล้ว”
โจวไห่จิ้งไม่ได้พูดอะไร
ยุทธภพมีอะไรดีกันเล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!