สรุปเนื้อหา บทที่ 889.3 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 889.3 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
โจวไห่จิ้งหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ความขัดแย้งบางอย่างในยุทธภพ แสงดาบเงากระบี่ หมัดเท้าไร้ตา ใครพูดมากประโยคหนึ่ง บางทีก็อาจต้องทิ้งชีวิตไว้ตรงนั้น เจ้าสำนักเฉินใช่ว่าจะไม่รู้ถึงอันตรายในการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกยุทธเสียหน่อย แบบนี้จะทำให้ข้าลำบากใจเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “หากผู้อาวุโสทั้งสองท่านเข้าร่วมด้วย แม่นางโจวสามารถบอกพวกเขาก่อนได้ บอกไปว่าข้าคือสหายของแม่นางโจว หากถึงเวลานั้นผู้อาวุโสทั้งสองท่านยังยืนกรานว่าจะไม่ถอย จะเข้าร่วมกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพครั้งนี้ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”
โจวไห่จิ้งลังเลไปเล็กน้อย “ได้ แต่ต้องถือว่าเจ้าขุนเขาเฉินติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้สิ”
โจวไห่จิ้งพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าขุนเขาเฉินไม่เหมือนเซียนกระบี่อะไรเลย เหมือนบัณฑิตมากกว่า”
บุรุษที่เคยพลัดถิ่นไปเป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนของต่างบ้านต่างเมืองเคยเอ่ยว่า อริยะกล่าวไว้ว่า ปณิธานในการศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ปวงประชา
แล้วก็เคยเอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่า เด็กน้อยใช้ถ่านวาดเส้นทาง ต่อให้เป็นมดก็ยังไม่กล้าข้ามผ่านไป
โจวไห่จิ้งมักจะฝันว่าตัวเองได้ไปเยือนซากปรักโบราณแห่งหนึ่งเป็นประจำ ด้านหน้าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งมีรูปปั้นทองแดงของเซียนที่ในมือทำท่าคล้ายถือประคองของบางอย่างอยู่ ต้นกุ้ยแตกหัก ตะไคร่ขึ้นเต็มพื้น ตำหนักถูกปล่อยร้าง พืชหญ้ารกชัฏขึ้นเต็มไปหมด แทบทุกครั้งนางจะต้องได้พบเจอกับบุรุษที่เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่าชิวเฟิงเค่อขี่ม้าลาดตระเวนยามราตรี ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย บอกว่าตอนมีชีวิตอยู่ตัวเองหลอมโอสถอย่างยากลำบากหวังจะได้เป็นเซียน ใฝ่ฝันจะเป็นอมตะไม่แก่โทรม โจวไห่จิ้งเดินทางร่วมกับเขาไปตลอดทาง พอฟ้าสางเรือนกายของคนผู้นั้นก็สลายหายไป เป็นความฝันที่ประหลาดยิ่ง
ก่อนจะออกจากบ้านเกิด นางเคยขอให้อาจารย์ในโรงเรียนผู้นั้นทำนายฝันให้ เขาบอกว่านี่เป็นบุพเพของชาติก่อน
โจวไห่จิ้งก้มหน้าดื่มเหล้าในชามจนหมด วางชามเหล้าที่ว่างเปล่าลง นางจ้องชามขาวนิ่ง ก้มหน้าเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฉินคือผู้ฝึกตน คิดดูแล้วบนภูเขาของพวกท่านก็น่าจะมีคำกล่าวที่ว่า พวกเรามาเกิดเป็นคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
โจวไห่จิ้งเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “แผ่นดินที่ให้กำเนิดข้าเลี้ยงดูข้า จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณ!”
เฉินผิงอันรับคำต่อ “หากมิอาจตอบแทนบุญคุณ ก็ต้องชำระความแค้น”
โจวไห่จิ้งเงยหน้าขึ้นเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างที่มิอาจปิดบัง
“คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ได้รับความอยุติธรรมก็ต้องร้องทุกข์ มีหนี้ก็ต้องใช้คืน ชายหญิงในยุทธภพ พระคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่อย่างนั้นพวกเราจะฝึกวรยุทธให้เหนื่อยยากกันไปทำไม”
โจวไห่จิ้งลังเลเล็กน้อย เป็นฝ่ายยื่นชามเหล้าออกมา คงจะต้องการชนชามเหล้าแล้วดื่มร่วมกันกับเฉินผิงอันอีกครั้ง
อันที่จริงเฉินผิงอันกลับลังเลยิ่งกว่า แต่กระนั้นก็ยังยกชามเหล้าชนกับอีกฝ่ายเบาๆ
เผ่าพันธุ์เจียวหลงเดินลงแม่น้ำ ผีขี้เหล้าเองก็ลงน้ำเหมือนกัน
โจวไห่จิ้งดื่มหมดในรวดเดียว เช็ดปาก เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เจ้าสำนักเฉินไม่ใช่เซียนกระบี่หรอกหรือ? ทำไมถึงบอกว่าเรียนวรยุทธเหนื่อยยากล่ะ?”
รู้ว่าเฉินผิงอันเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่ขอบเขตวิถีวรยุทธต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน เพียงแต่มักจะรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับสถานะเซียนกระบี่ของอีกฝ่ายแล้ว วิถีการเรียนวรยุทธ เห็นได้ชัดว่าไม่สำคัญเท่า
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “การเรียนหมัดเคยช่วยต่อชีวิตให้กับข้า มีหรือจะกล้าไม่ตั้งใจ เมื่อเทียบกันแล้ว การฝึกกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ กลับเป็นเป็นช่วงหลังๆ แล้ว”
โจวไห่จิ้งถาม “หรือว่าท่านเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นข้าจะเป็นอาจารย์ของเผยเฉียนได้อย่างไร”
โจวไห่จิ้งถามหยั่งเชิง “เจ้าสำนักเฉิน ท่านคงไม่ได้ถูกใจข้าเข้าแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “แม่นางโจว เรื่องล้อเล่นแบบนี้อย่าได้พูดเลย”
โจวไห่จิ้งเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ถ้าอย่างนั้นท่านมาคุยโวอะไรกับข้า?”
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันเป็นขอบเขตยอดเขา โจวไห่จิ้งยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่จะบอกว่าเป็นขอบเขตปลายทาง?!
ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปประลองฝีมือกับซ่งจ่างจิ้งสักครั้งเล่า?
เสี่ยวโม่มาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เพียงแต่ว่าข้างกายมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย
เกาโหยวกับว่านเหยียนที่อยู่ในตรอกไม่ได้จากไปไหนไกลต่างก็ตะลึงระคนประหลาดใจ เพราะคุ้นหน้าผู้เฒ่าอยู่มาก ก็คือนักเล่านิทานที่พูดโม้น้ำลายแตกฟองอยู่ใต้สะพานลอย แล้วยังถือโอกาสขายตำราลับหลายเล่มคนนั้น
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจอธิบายให้เฉินผิงอันฟัง ที่แท้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนนี้ก็ได้บอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญนรลักษณ์ศาสตร์ มองปราดเดียวก็ถูกใจในชะตาของเด็กหนุ่มว่านเหยียน อีกทั้งยังสังเกตดูนิสัยใจคอของเด็กหนุ่มมาพักหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถสืบทอดมรรคกถาส่วนหนึ่งของตัวเองได้ เพียงแต่เรื่องหลอมกระบี่นั้น หมดหวัง
ผู้เฒ่ามองบุรุษชุดเขียวที่อยู่ในลานบ้านแล้วรีบเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืนมา ก้มหัวกุมหมัด ใช้เสียงในใจเอ่ย “ฝึกฝนน้อย คือจำศีลอยู่ในป่า ฝึกฝนใหญ่คือจำศีลอยู่ในยุคสมัย ข้าผู้อาวุโสได้แต่เที่ยวเล่นอยู่ในโลกมนุษย์ มิอาจเทียบกับเซียนกระบี่เฉินได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “สหายรับลูกศิษย์ ขอแสดงความยินดีด้วย”
โจวไห่จิ้งเอนตัวพิงประตูบ้าน รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นขอบเขตปลายทางจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างจริงใจ “จริง”
สายตาโจวไห่จิ้งฉายแววประหลาด “บนยอดเขาแห่งนั้นมีทัศนียภาพเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ยังไม่สูงมากพอ”
โจวไห่จิ้งมองแววตาและสีหน้าของบุรุษชุดเขียว
มารดามันเถอะ เหตุใดมองดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาเหมือนกันนะ
ดูท่าเหล่าเหนียงน่าจะดื่มจนเมาแล้ว
คงไม่ได้ถูกเจ้าหมอนี่กรอกยาลืมวิญญาณใส่ในเหล้าของตนกระมัง
โจวไห่จิ้งหัวเราะอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันไม่อยู่ขัดจังหวะการกราบอาจารย์รับลูกศิษย์ของผู้อื่น
หลักๆ แล้วเป็นเพราะรอยยิ้มประหลาดของโจวไห่จิ้งต่างหากที่น่าขนลุก
เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่กลับไปที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น
เซียนเว่ยที่อยู่ในห้องด้านข้างนอนหลับกรนดังครอกๆ
ในตรอกเล็กนอกประตูบ้านของโจวไห่จิ้ง ผู้เฒ่าบอกสาเหตุที่มาเยือนอย่างชัดเจน บอกกล่าวให้รู้ถึงสำนักของตัวเอง ให้ว่านเหยียนติดตามตนไปฝึกตน
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดมองเกาโหยวแวบหนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพยักหน้า เพียงแค่บอกกับเกาโหยวว่าตนต้องกลับมาแน่นอน
ผู้เฒ่าบอกกับว่านเหยียนว่าไม่ต้องเอาอะไรไปทั้งนั้น แล้วก็ออกไปจากตรอกทั้งอย่างนั้น
อันที่จริงเกาโหยวหวังให้ว่านเหยียนจากไปทั้งอย่างนี้ แต่ก็อยากให้ว่านเหยียนไม่ต้องไปไหนด้วย อยู่เป็นเพื่อนกัน มีทุกข์ร่วมต้าน แต่สุดท้ายสหายรักต้องจากไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แย่ไปทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรหัวใจของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ว่างโหวงแปลกๆ
โจวไห่จิ้งมองเด็กหนุ่มอารมณ์ซับซ้อนที่นั่งยองอยู่หน้าประตู ยกมือกุมหัว
นางถอนหายใจ บอกที่อยู่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงให้กับเกาโหยว โบกมือเอ่ยว่า “เจ้าไปหาคนตามที่อยู่นี้ เขาชื่อซูหลาง ก็คือคนที่พกเหล้ามาก่อนหน้านี้ บอกไปว่าข้าให้เจ้าไปหาเขา แล้วให้เขาสอนวรยุทธกับเจ้าสักสองสามกระบวนท่า ส่วนเจ้าจะเรียนเป็นกี่มากน้อยก็ต้องดูที่ความสามารถของเจ้าเองแล้ว”
เกาโหยวหันขวับกลับมา พูดเสียงสะอื้น “ขอบคุณท่านน้าโจว”
โจวไห่จิ้งเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าตะพาบน้อย เรียกพี่โจว!”
เกาโหยวยิ้มกว้าง วิ่งปรู๊ดจากไปทันที คิดว่าจะกลับบ้านไปเก็บสัมภาระก่อน เพียงแต่ว่าตอนที่วิ่งไปถึงหัวเลี้ยว เขากลับหันหน้ามาตะโกนเสียงดัง “ท่านน้าโจว จำไว้ว่าพรุ่งนี้ช่วยบอกนางแทนข้าสักคำว่าข้าออกไปท่องยุทธภพแล้ว”
โจวไห่จิ้งไม่ได้พูดอะไร
ยุทธภพมีอะไรดีกันเล่า
หนิงเหยาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ สะพายกล่องกระบี่ นางดูแคลนที่จะร่ายเวทอำพรางตาอะไรด้วยซ้ำ
เสี่ยวโม่แต่งกายมอซอด้วยการสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวอยู่ตลอด เซียนเว่ยที่ไปเยือนที่ว่าการเต้าเจิ้งเมืองหลวงมารอบหนึ่งก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น ถึงกับเตรียมกระบี่ไม้ท้อที่เป็นสัญลักษณ์ของนักพรตจวนเทียนซือให้ตัวเองเล่มหนึ่ง
หนึ่งคนพักหนึ่งห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียนเว่ยได้นั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่แล่นไปโดยมีเมฆขาวและฝูงนกเป็นเพื่อน รู้สึกเพียงว่าในที่สุดตนก็ร่ำรวยแล้ว
หนิงเหยาอ่านหนังสืออยู่ในห้อง
เฉินผิงอันจึงพาเสี่ยวโม่และเซียนเว่ยมาชมทัศนียภาพที่หัวเรือ
เวลานี้ได้ยินผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์กลุ่มใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงพูดคุยกัน ไม่ได้ใช้เสียงในใจอะไร พวกเขาพูดคุยกันอย่างไร้ความยำเกรง ดูเหมือนว่าจะมาจากพรรคบนภูเขาต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน เพิ่งจะรู้จักกันที่ท่าเรือ หลังขึ้นเรือมาแล้วก็นัดหมายกัน แต่พวกผู้ฝึกลมปราณหญิงที่คุยกันเจื้อยแจ้วกลับมาจากสำนักเดียวกัน ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์นี่นะ ความสัมพันธ์ควันธูปก็ได้มาเพราะอย่างนี้นี่แหละ
เนื่องจากมีเทพธิดาอยู่เยอะ พวกผู้ฝึกลมปราณผู้ชายจึงเริ่มร่ายวิชาอภินิหาร บ้างก็แสดงความสามารถด้านการประพันธ์ ก้มหน้าพึมพำ พูดถึงความปวดร้าวที่ต้องสูญเสียแคว้น พูดถึงความเจ็บปวดที่บ้านแตกสาแหรกขาด พูดถึงความเศร้าสร้อยของชาติกำเนิด วันเวลาที่งดงามผ่านไปเร็ว ชีวิตคนยากจะคงอยู่ยาวนาน น้ำตาไหลพรากอาบใบหน้า
บ้างก็แสดงความร่ำรวยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อันที่จริงเทียบกับการประชันความสามารถแล้วนี่กลับเห็นผลทันตามากกว่า
ในบรรดาเซียนซือทำเนียบตระกูลที่อายุยังน้อย คำว่ามีเงินก็มีการแบ่งเป็นระดับต่างๆ เช่นกัน คนที่มีเรือข้ามฟากส่วนตัว นั่นก็แสดงว่ามีเงินจริงๆ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงบุตรชายหญิงของคู่รักจากจวนเซียนใหญ่เท่านั้นที่ถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
ต่อมาก็เป็นพวกที่มีเรือบินจากยันต์ซึ่งกินเงินอย่างมาก จากนั้นก็เป็นพวกคนที่ออกจากบ้านแล้วมีพาหนะเป็นสัตว์เซียน
สุดท้ายแน่นอนว่าคือคนที่ต้องอาศัยสองขาในการเดินขึ้นเขาลงห้วย หากรีบร้อนเดินทาง อย่างมากสุดก็ใช้ยันต์เทพเดิน ยันต์ม้าเกราะที่วัสดุธรรมดา ระดับขั้นไม่สูงมาก
เฉินผิงอันจึงคิดถึงฟ่านเอ้อแห่งนครมังกรเฒ่า เขามีเกาะกุ้ยฮวาอยู่ในนามของตัวเองเชียวนะ
ส่วนหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป ช่างเถิด ไปเปรียบเทียบกับเขาไม่ได้หรอก
เซียนเว่ยเงี่ยหูตั้งใจฟัง ล้วนถือเป็นประสบการณ์ เป็นโลกกว้างนี่นะ
ไม่รู้ว่าทำไมถึงคุยไปถึงภูเขาพีอวิ๋นและงานเลี้ยงท่องราตรีได้
เสี่ยวโม่พอจะมีความมั่นใจแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณครึ่งๆ กลางๆ อย่างเซียนเว่ยฟังเรื่องเล่าลือในยุทธภพที่บอกต่อกันมาปากต่อปาก จึงยังไม่แน่ใจสักเท่าไร แต่เมื่อบวกกับคำพูดของผู้ฝึกตนที่มาจากทำเนียบบนภูเขาพวกนี้ กระทั่งพวกเขาก็ยังพูดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ห่างจากความเป็นจริงเท่าไรแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เหตุผลที่เซียนเว่ยพูดก็นับว่ามีเหตุผลมาก
คนในยุทธภพมีแค่ตั้งชื่อผิดเท่านั้น ไม่มีฉายาที่มอบให้กันผิดๆ
เว่ยท่องราตรี
เซียนเว่ยรู้สึกว่า ‘ฉายา’ นี้ ฟังมากๆ เข้าก็ดูเหมือนว่าจะเผด็จการอย่างมาก
ท่องราตรีทั้งทวีป หากไม่ใช่เว่ยป้อแล้วยังจะมีใครอีก
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “คุณชาย เว่ยซานจวินท่านนั้น?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พูดถึงแค่รูปโฉมและบุคลิก หล่อเหลามีราศี เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคาโบราณ เห็นแล้วหลงลืมความสามัญ หากจะพูดถึงการอยู่ร่วมสังคม มีน้ำใจมีคุณธรรม เอาเป็นว่าข้าหาตำหนิอะไรของเขาไม่เจอเลยจริงๆ”
เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกัน ตอนที่เว่ยป้อยังเป็นเทพแห่งผืนดินอยู่ที่ภูเขาฉีตุน เขาค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ ต่างจากภาพลักษณ์ของเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นในทุกวันนี้ราวฟ้ากับเหว
เสี่ยวโม่พยักหน้า เข้าใจแล้ว
น่าจะเป็นเพราะคุณชายของตนพูดจาแฝงความนัย เป็นการแหกกฎเตือนตนว่ายามมอบของขวัญอย่ามอบของขวัญเบาเกินไป?
ดูท่าฉายาของเว่ยซานจวินผู้นี้จะไม่ได้เล่าลือกันอย่างเสียเปล่าจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!