เฉินผิงอันกับหนิงเหยาเดินกลับเมืองเล็ก อำเภอไหวหวงที่ไม่ได้มีแค่ที่ว่าการผู้ตรวจการแห่งเดียวอีกต่อไป คนทั้งสองเดินผ่านเหลาสุราเก่าแก่แห่งหนึ่ง กินอาณาบริเวณไม่ใหญ่ แต่กลับมีถึงสามชั้น ที่นี่เคยเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมืองเล็ก แต่ชั้นที่สามไม่เปิดให้คนนอกเข้า
เฉินผิงอันเกิดความคิดกะทันหันจึงบอกว่าจะไปดื่มเหล้าข้างใน ยังยิ้มเอ่ยกับหนิงเหยาว่าในอดีตมีแค่คนมีเงินของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่เท่านั้นถึงจะมาดื่มเหล้าที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นอาจารย์ในเตาเผามังกรที่จัดงานเลี้ยงสุรารับลูกศิษย์อยู่ที่นี่
ได้พูดคุยที่ศาลเทพอัคคีของเมืองหลวง เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าอันที่จริงเหลาสุราแห่งนี้คือกิจการของเฟิงอี๋ ชั้นสามก็คือที่พักของนาง
นอกจากนี้เฟิงอี๋ยังสะสมโฉนดที่ดินไว้ไม่น้อย นางยังแพร่งพรายความลับสวรรค์บอกว่าเตาเผามังกรทั้งหลายที่ทุกวันนี้กลายเป็นเตาของชาวบ้านแล้ว เกินครึ่งล้วนอยู่ในนามของสารถีเฒ่า เวลาปกติสารถีเฒ่าจะพักอยู่ที่ตรอกเอ้อหลาง ส่วนลู่เหว่ยแห่งสำนักหยินหยางแผ่นดินกลางเองก็มีเรือนอยู่บนถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่อยู่หลายหลัง
เฉินผิงอันเลือกโต๊ะที่อยู่ติดกับหน้าต่าง สั่งเหล้ามาแค่กาเดียว กาเหล้ากับชามเหล้าล้วนเป็นเครื่องกระเบื้องลายครามที่เผาในท้องถิ่น
หนิงเหยาดื่มเหล้าแค่หนึ่งชาม แต่กลับไม่ได้ห้ามไม่ให้เฉินผิงอันดื่มเหล้า
เหลาสุราแห่งนี้ ในอดีตเคยมีแขกที่หายากท่านหนึ่งมาเยือน
แม้แต่เถ้าแก่ร้านเหล้าในนามก็ยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แต่เจ้าของเหลาสุราตัวจริงอย่างเฟิงอี๋กลับเคยถอนหายใจแผ่วๆ
อาจารย์ในโรงเรียนที่เส้นผมตรงจอนหูสองข้างเป็นสีดอกเลา เคยมาสั่งเหล้าหนึ่งกาและกับแกล้มสองสามจาน กินดื่มอยู่กับตัวเอง
และหากมองจากหน้าต่างชั้นสองของเหลาสุราออกไปก็จะมองเห็นกรอบป้ายหนึ่งของซุ้มป้ายบนประตูพอดี ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่พึงกระทำ
ดื่มเหล้าและกินอาหารเสร็จ เฉินผิงอันหน้าแดงน้อยๆ แต่ดวงตากลับเจิดจ้าสว่างไสว เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปทางซุ้มประตูหินครู่หนึ่ง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ลงจากเหลาสุราย้อนกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วพร้อมกับหนิงเหยา
เรือนทางทิศตะวันตกสุดเป็นบ้านของหลี่ไหว เมื่อหลายปีก่อนที่นี่ยังจัดงานเลี้ยงสุรามงคล เป็นหลี่หลิ่วที่แต่งงานให้กับบัณฑิตจากต่างถิ่น ว่ากันว่าเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนาง ทำให้สตรีออกเรือนแล้วมีหน้ามีตาครั้งใหญ่ ไม่ด่าใครแล้ว ช่วงเวลานั้นสตรีออกเรือนแล้วชอบออกไปเดินเล่นเป็นที่สุด เจอใครก็ยิ้มให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูบ้านใกล้เรือนเคียงจำนวนไม่น้อยที่เคยทะเลาะโต้เถียงกันหรือถึงขั้นเคยข่วนหน้ากันมาก่อน เพียงแต่ว่าเวลานี้คนทั้งครอบครัวได้ย้ายกลับไปที่อุตรกุรุทวีปอีกครั้งแล้ว
หนิงเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าหลี่หลิ่วจะแต่งงานกับใคร เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดูเหมือนจะเป็นการตัดบุพเพของชาติก่อน สะบั้นเรื่องราวในโลกโลกีย์ นับจากนี้ตั้งใจฝึกตน เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานย่อมมีปัญหาไม่มาก”
หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หนิงเหยาเอียงศีรษะ
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าบอกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
อันที่จริงในนี้ได้ซ่อนความลับอย่างหนึ่งเอาไว้ ต่งสุ่ยจิ่งและหลินโส่วอีถึงยังไม่ตัดใจอย่างสิ้นเชิง หรือควรจะพูดว่าพวกเขาสองคนถึงได้ไม่เอาถุงผ้าป่านไปครอบหัวเจ้าตะพาบผู้นั้น
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะที่เฉินผิงอันจะพูดออกมาจริงๆ ความจริงน่ะหรือ น่าจะมีแค่ทางนิตินัย แต่ไม่มีในทางพฤตินัย ส่วนบัณฑิตผู้นั้นจะคิดอย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู้
วันนี้โต๊ะตัวหนึ่งบนภูเขาลั่วพั่วครึกครื้นอย่างยิ่ง คนนั่งกันจนเต็มโต๊ะ
ตำแหน่งประธานที่นั่งหันหน้าเข้าหาประตูเป็นเฉินผิงอันกับหนิงเหยาที่นั่งอยู่
จูเหลี่ยน เหวยเหวินหลงและจางเจียเจินที่ดูแลห้องบัญชี
หมี่อวี้ เสี่ยวโม่ เซียนเว่ย
ตำแหน่งท้ายสุดที่นั่งหันหลังให้ประตูคือเฉินหลิงจวิน หมี่ลี่น้อย เฉินหน่วนซู่
ก่อนหน้านี้พ่อครัวเฒ่าทำอาหารง่วนอยู่ในห้องครัว หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยต่างก็ช่วยเลือกผัก ช่วยกระพือลมใส่เตาไฟ เสี่ยวโม่รับผิดชอบยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ทำเอาเซียนเว่ยที่มองดูอยู่ส่ายหน้า เสี่ยวโม่ผู้นี้ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ ก็จริงนะ ตนก็ไม่ใช่คนนอก อีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยและเฉินหลิงจวินแล้ว รอแค่พี่ใหญ่เจี่ยเลือกวันฤกษ์งามยามดี พวกเขาสามคนก็จะตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองที่ตรอกฉีหลงกันแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนโต๊ะเหล้า เฉินหลิงจวินตบไหล่เขาจนปวด แต่ไม่เป็นไร ล้วนเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน อีกอย่างเฉินหลิงจวินก็ตบอกรับประกันแล้วว่าน้องเซียนเว่ยเจ้ารอไปก่อนเถอะ มีสุขร่วมเสพ รับรองว่าได้กินของอร่อยๆ แน่นอน วันหน้าขอแค่มีงานเลี้ยงสุรา หากครั้งใดที่บนโต๊ะมีกลับแกล้มแค่สองสามอย่างก็ถือว่าเขาเฉินหลิงจวินไร้คุณธรรมในยุทธภพ ปฏิบัติต่อพี่น้องไม่ดีพอ!
ตอนนั้นพี่ใหญ่เจี่ยตบโต๊ะ อยู่ดีๆ ก็ด่าขึ้นมาว่าผายลมมารดาเจ้าน่ะสิ ทำเอาเซียนเว่ยตกใจจนเกือบจะสร่างเมา กลับกลายเป็นว่าเฉินหลิงจวินผู้นั้นลุกขึ้นยืนบนม้านั่ง สองมือเท้าเอว หัวเราะฮ่าๆ
ที่แท้เซียนเว่ยก็ตกใจไปเอง เนื่องจากเพียงไม่นานเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็เอ่ยสองสามประโยคอย่างคนปากเร็วใจถึง บอกว่าน้องเฉินเจ้าดูแคลนร้านฉ่าวโถวของข้าหรือ หรือว่ารังเกียจฝีมือการทำกับข้าวของข้ากันแน่? ดื่มเหล้าต่อให้ดื่มเมาแค่ไหนก็ไม่อาจคุยโวส่งเดชได้ เทียบกับผู้ดูแลผู้เฒ่าจูของบนภูเขาไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่มาตรฐานในการทำกับแกล้มสองสามจานของข้าเจี่ยเฉิง เหลาสุราในเมืองเล็กมีพ่อครัวใหญ่สักกี่คนที่เทียบข้าได้?! หา?!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยยังลากคำว่า ‘หา’ ยาวๆ อีกด้วย ทำเอาเซียนเว่ยฟังแล้วอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
นี่ต่างหากจึงจะเป็นยุทธภพและงานเลี้ยงสุราที่ตัวเองใฝ่ฝันหา
ส่วนวันนี้เวลานี้น่ะหรือ ขาดความหมายไปเล็กน้อย แต่รสชาติอาหารของอาจารย์ผู้เฒ่าจูกลับสุดยอดไปเลยจริงๆ
อีกอย่างก็คือไม่ต้องมีใครคอยทำตัวสำรวม แล้วก็ไม่มีพิธีการยิบย่อยที่ต้องคารวะสุราให้แก่กันและกันอะไร ใครที่ดื่มเหล้าได้ก็ดื่ม กินข้าวก็กิน ถึงขั้นที่ว่าไม่มีข้อพิถีพิถันส่งเดชที่บอกว่ายามนอนไม่คุยยามกินไม่พูดอีกด้วย
จูเหลี่ยนจิบเหล้าเสียงดังซู้ด แล้วยิ้มถาม “น้องเสี่ยวโม่ นักพรตเซียนเว่ย พอจะกินกันได้หรือไม่?”
เซียนเว่ยจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน ก้มหน้าเอ่ย “กินได้สิ ต้องได้แน่อยู่แล้ว”
เสี่ยวโม่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถือจอกเหล้าด้วยสองมือ เงยหน้ากระดกดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นค่อยคว่ำจอกเหล้าลง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามจูเหลี่ยน “ทำไมเฉินยวนจีถึงไม่มาล่ะ? นางกลัวว่าคนเยอะจะไม่มีที่นั่งหรือ?”
เจี่ยงชวี่กำลังปิดด่านฝึกตน เฉินผิงอันจึงไม่ได้บอกให้จูเหลี่ยนเรียกเขามา
จูเหลี่ยนยิ้มอธิบาย “ไม่ใช่ ทุกวันนางจะกินอาหารแค่สองมื้อคือเช้าและเย็นแบบที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน อีกทั้งยังกินอาหารที่เป็นยา วันนี้เวลากินอาหารของพวกเราไม่ตรงกับของนาง นางจึงไม่มา สตรีนี่นะ ต่อให้ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงแค่ไหนก็กลัวคำว่าอ้วนอยู่ดี อีกอย่างข้าก็บอกนางแล้วด้วย นางบอกว่าวันหน้าจะต้องเลี้ยงอาหารเจ้าขุนเขากับฮูหยินเจ้าขุนเขาโดยเฉพาะเพื่อแสดงการขอบคุณ”
เฉินผิงอันได้ยินก็หลุดขำอย่างอดไม่อยู่ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้พึ่งบารมีแล้ว”
นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เฉินผิงอันจึงใช้เสียงในใจถามต่อว่า “ทุกวันนี้พ่อแม่ของเฉินยวนจีอายุเท่าไรกันแล้ว ทั้งสองยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ไหม? คราวก่อนที่กลับบ้านเกิด ข้าได้ยินหมี่ลี่น้อยเล่าให้ฟังว่าท่านแม่ของเฉินยวนจีป่วยโดนลมเย็น”
จูเหลี่ยนกล่าว “ก่อนหน้านี้ตงซานแสร้งปลอมตัวเป็นหมอไปช่วยตรวจดูให้แล้ว ไม่เป็นอะไรมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ต้องคอยใส่ใจให้มาก”
จูเหลี่ยนผงกศีรษะรับคำ
กินอาหารด้วยกันแล้วหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันก็ให้หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยช่วยนำทาง ต้องการไปเยือนเรือนพักของเผยเฉียน
เฉินผิงอันมองกระเป๋าผ้าฝ้ายของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแล้วยิ้มถาม “เมล็ดแตงทองถุงใหญ่ใบนั้นล่ะ? หนักเกินไปก็เลยไม่ได้พกออกจากบ้านด้วยหรือ?”
แม่นางน้อยตบกระเป๋าที่รัก อธิบายให้เจ้าขุนเขาคนดีฟังเสียงเบา “ด้านใน ‘เมืองหลวงสำรอง’ แห่งนี้ ได้แค่ให้กองทัพส่วนหนึ่งปักหลักประจำการแค่ชั่วคราว คอยติดตามข้ากรีฑาทัพขึ้นเหนือลงใต้เท่านั้น กองกำลังหลักให้รอคอยอยู่ที่อื่น ยังไม่เคลื่อนทัพ”
มีเมืองหลวงสำรอง แน่นอนว่าต้องมีเมืองหลวง ก็คือกระปุกกระเบื้องลายครามที่นาง เผยเฉียนและหน่วนซู่ต่างก็มีกันคนละใบ เป็นพ่อครัวเฒ่าที่มอบให้พวกนางทั้งสามคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!