สรุปตอน บทที่ 890.2 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 890.2 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่เว่ยป้อเหม่อลอย ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ ระดับขั้นคืออะไร?”
เสี่ยวโม่ตอบตามตรงอย่างสัตย์จริง “อาวุธกึ่งเซียน”
เว่ยป้อกำลังจะแข็งใจยื่นมือไปรับของขวัญ
เฉินผิงอันรีบใช้มือหนึ่งคว้ามือของเว่ยซานจวินเอาไว้ อีกมือหนึ่งกดข้อมือของเสี่ยวโม่ พูดบ่นว่า “ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะเกรงใจกันไปไย เสี่ยวโม่อ่า เจ้าเห็นเว่ยซานจวินของพวกเราเป็นใคร เก็บไปเลย เก็บไปเลย”
เว่ยป้อหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่อ่า เฉินผิงอันพูดมีเหตุผล ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะเกรงใจไปไย ของขวัญนี้ข้าจะรับไว้แล้ว แล้วก็ขอให้ข้าได้เอ่ยประโยคเกรงใจเป็นครั้งสุดท้าย ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วย งานเลี้ยงท่องราตรีคราวหน้าจะขาดพี่เสี่ยวโม่ไปได้อย่างไร ต่อให้เป็นงานเลี้ยงท่องราตรีที่จัดขึ้นเพื่อเสี่ยวโม่โดยเฉพาะก็ยังจัดให้ได้”
หากเจ้าขุนเขาเฉินไม่ทำเช่นนี้ เว่ยซานจวินก็ยังไม่แน่ใจ แต่ยิ่งเฉินผิงอันเป็นเช่นนี้ เว่ยป้อก็ยิ่งรู้ว่าหากตนไม่รับของขวัญเอาไว้ต้องเสียใจจนไส้เขียวแน่
ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาหรือไม่?
หากข้าผู้อาวุโสยังต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาจะสามารถจัดงานเลี้ยงท่องราตรีได้หลายครั้งขนาดนั้นหรือ? ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปถึงอุตรกุรุทวีปโน่นแล้ว!
หลิ่วจงหลงไร้ศัตรูทัดทานบนโต๊ะสุรา แพร่กันออกไปได้อย่างไร?
แล้วงานเลี้ยงท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นบ้านตน แรกเริ่มสุดเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เฉินผิงอันมองไปยังเว่ยซานจวิน
สองชิ้นเยอะเกินไปหน่อยหรือไม่ ชิ้นเดียวพอไหม
เว่ยป้อมองเจ้าขุนเขาเฉิน
ไสหัวไป
สายตาของเจ้าขุนเขาเฉินยังคงหนักแน่น
ต้นไผ่ที่ก่อนหน้านี้กว่าข้าจะใช้เงินทองของจริงซื้อมาจากฮูหยินภูเขาชิงเสินได้อย่างไม่ง่ายล่ะ? ข้ามอบให้ภูเขาพีอวิ๋นเปล่าๆ นะ?
เว่ยซานจวินตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้น ข้ากับสหายสี่จู๋แค่พบเจอก็เหมือนรู้จักกันมานาน เจ้ามีหน้าขวาง ข้าก็มีหน้ารับไว้
เพื่อนบ้านสองคน เวลานี้แม้เงียบงันไม่ส่งเสียงกลับเหนือกว่าการพูดคุยกันออกเสียงเสียอีก
เฉินผิงอันรู้สึกว่าถึงอย่างไรฝีมือของตนก็ด้อยกว่าคนเขา จึงได้แต่หุบมือกลับมา สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่อ่า พวกเราสามารถรอเทียบเชิญของงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งต่อไปได้แล้ว ถึงอย่างไรโอกาสก็หาได้ยาก เป็นเรื่องดีที่ไม่ได้พบเจอได้บ่อยๆ”
เว่ยป้อเก็บขวานหยกเขียวและเยว่หยกเหลืองใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะดื่มเหล้าหรือดื่มชา ล้วนฟังพวกเจ้า”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึถามว่า “ดื่มโชคชะตาขุนเขาสายน้ำได้หรือไม่เล่า?”
เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อ “ตามใจ”
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าคุณชายบ้านตนกับเว่ยซานจวินมีความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำต่อกันจริงๆ ดูท่าของขวัญที่มอบให้ไปจะไม่เสียเปล่า
ในภูเขาพีอวิ๋นมีอะไร? บนยอดเขามีเมฆหลากสี มีต้นไม้เขียวขจี มีศาลาหอเรือน
วันนี้ในภูเขามีเรื่องอะไร? สหายรักได้กลับมาพบเจอหน้า ร่ำสุราดอกสน ใช้น้ำฤดูใบไม้ผลิชงชา
สุราดอกสนที่เว่ยซานจวินหมักเองกับมือรสชาติเลิศล้ำ เพียงแต่ว่าชื่อเสียงไม่โด่งดังเท่าเหล้าหมักตำหนักฉางชุนก็เท่านั้น
จะว่าไปแล้ว ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ใครจะกล้าดื่มสุราดอกสนของภูเขาพีอวิ๋นง่ายๆ บ้างเล่า? ก็มีแค่เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้ดื่มสักกา
เหล้าหมักตระกูลเซียนที่แพงที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากภูเขาชิงเสินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แล้วก็คือภูเขาพีอวิ๋นของแจกันสมบัติทวีปนั่นเอง
น้ำพุคือน้ำพุหยกมรกตที่มีเฉพาะในภูเขาพีอวิ๋นซึ่งติดอันดับหนึ่งในน้ำพุที่มีชื่อเสียงของแจกันสมบัติทวีป
อันที่จริงเรื่องของการประเมินน้ำพุมาจากฝีมือของคนเชื่อดาบสำนักโม่อย่างต่งสุ่ยจิ่ง เนื่องจากน้ำพุสามแห่งที่ติดอันดับล้วนถูกเขาเหมามาเป็นของตัวเองหมดแล้ว
ใบชาคือชาใหม่ก่อนและหลังช่วงฝนธัญพืชที่หน่วนซู่น้อยส่งมาให้ มาจากต้นชาป่าเก่าแก่หลายต้นบนยอดเขาไฉ่อวิ๋น หน่วนซู่รับผิดชอบเด็ดใบชา จากนั้นค่อยให้พ่อครัวเฒ่าเป็นคนผัดใบชาเองกับมือ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอให้ข้าได้เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้านสักครั้ง ข้าจะเป็นคนต้มชาเอง”
หลังจากนั่งลงแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อชุดเขียว ร่ายเวทวารีและอัคคีสองบท
เรื่องของการต้มชา ทำได้อย่างคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเพลินตาสบายใจ
เว่ยป้อสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มจนตาหยี
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในอดีตกลับมีมาดสง่างามดุจเซียนเช่นนี้แล้ว
กลับจากภูเขาพีอวิ๋นไปยังภูเขาลั่วพั่ว
คืนนี้หนิงเหยาพักอยู่ในเรือนของหน่วนซู่น้อย หมี่ลี่น้อยมักจะมาขอนอนกับพี่หญิงหน่วนซู่เป็นประจำอยู่แล้ว คราวนี้ก็เลยตามมาด้วย ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีผ้าห่มมากพอ
เฉินผิงอันนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ พอถึงกลางดึกก็ไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง ไปจุดตะเกียงแล้วนั่งอยู่ทั้งคืนโดยที่ไม่รู้สึกเปลี่ยวเหงา
……
เช้าตรู่วันที่สองกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็ไปเยือนหอบูชากระบี่อีกครั้ง
ผู้ฝึกกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปอย่างอวี๋เยว่กลับเป็นเค่อชิงของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีป
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ค่อยกล้าพบหน้าเจ้าขุนเขาเท่าใดนัก จึงรีบเตรียมตัวออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นด้วยเรื่องลูกศิษย์ที่เขาหลอกทีก็หลอกเอามาได้ถึงสองคน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ควรจะเผ่นนานแล้ว หากยังไม่ยอมหนีอย่างรู้กาลเทศะ ทำให้ใครบางคนไม่ต้องเจอหน้าใจก็ไม่ต้องหงุดหงิด อวี๋เยว่ก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะถูกเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถามกระบี่เอา
อวี๋เยว่เจอเฉินผิงอันก็รู้ความหมายของใต้เท้าอิ่นกวานคร่าวๆ แล้ว จึงยิ่งสบายใจขึ้นได้หลายส่วน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อย่ารู้สึกว่าข้ากำลังไล่คนเชียวนะ”
“มีหรือจะกล้า”
อวี๋เยว่ยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน บอกหมี่อวี้ว่าอย่าโกรธเลยนะ หลายวันนี้ที่ข้าอยู่บนภูเขาจงใจเรียกเขาว่าเซียนกระบี่หมี่เองแหละ แม้จะบอกว่าข้าไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่จะดีจะชั่วก็ยังรู้ขนบธรรมเนียมของที่นั่น วันหน้าได้เจอกับสหายเฒ่าอย่างผูเหอก็จะมีเรื่องให้คุยโวบนโต๊ะสุราแล้ว ฮ่าๆ ตาเฒ่าผูอย่างเจ้ากล้าเรียกหมี่อวี้เช่นนี้ไหม? ข้ากล้า อีกทั้งทุกครั้งที่เจอหน้ายังเรียกว่าเซียนกระบี่ทุกครั้งด้วย”
หากจะบอกว่าอวี๋เยว่ไม่รู้สึกประหวันพรั่นพรึงเลย นั่นก็คือการโกหกคนอื่นแล้วยังโกหกตัวเอง โชคดีที่แม้ทุกครั้งหมี่อวี้จะมีสายตาไม่เป็นมิตร แต่กลับไม่เคยลงมือทำอะไรจริงจัง
อันที่จริงการพูดแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสม โชคดีที่อวี๋เยว่ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่จิตใจคับแคบ ไม่อย่างนั้นการเอ่ยประโยคเหล่านี้อาจทำให้เฉินผิงอันถูกอาฆาตแค้นเอาได้
อวี๋เยว่ทอดถอนใจพูดจากใจจริง “ใต้เท้าอิ่นกวาน นี่เรียกว่าพูดมากเสียที่ไหน นี่คือเวทกระบี่ คือมรรคกถา”
นึกถึงการพบกันครั้งแรกที่เกาะยวนยาง อิ่นกวานหนุ่มท่านนี้มีความมาดมั่น มีปณิธานห้าวเหิมถึงเพียงใด
แต่วันนี้ขณะที่กำลังจะจากลากัน คำพูดจากใจจริงของอิ่นกวานหนุ่มทำให้อวี๋เยว่ตระหนักได้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง คือจอมปราชญ์น้อยที่อ่านตำราอริยะปราชญ์มาอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ข้ามีแค่เรื่องเดียวที่ไม่ขอเอ่ยถ้อยคำเกรงใจอะไรกับผู้ถวายงานอวี๋”
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “ท่านห้ามปล่อยให้เด็กสองคนนี้ถูกคนรังแกอยู่ข้างนอกทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นฝ่ายมีเหตุผลเด็ดขาด ไม่มีเรื่องราวหรือน้ำใจในโลกมนุษย์อะไรที่ต้องคิดถึงแค่สถานการณ์โดยรวมอย่างเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่”
“ไม่ว่าจะเป็นด้านนิสัยใจคอหรือการกระทำใดๆ ข้าจะไม่ยอมให้เด็กๆ ที่ต้องพลัดจากบ้านเกิดอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านี้ล้วนกลายมาเป็นว่า…มิอาจเทียบใต้หล้าไพศาลได้ติด กลายเป็นว่าไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไป หากวันใดข้าค้นพบว่าเป็นเช่นนี้ ผู้ถวายงานอวี๋ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษแล้ว”
“ข้าจะเปลี่ยนมาเป็นคนสั่งสอนพวกเขาแทน”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “อวี๋เสียผู้ฝึกกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปจะไม่ทำให้อาจารย์เฉินผิดหวังเด็ดขาด”
ไม่เหมือนกับความคิดที่ละเอียดอ่อนของเฉินผิงอัน
หนิงเหยายังคงทำเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดคุยกับอวี๋เยว่เอ่ยสั่งสอนเด็กน้อยสองคนของบ้านเกิด และนางก็ยังคงคร้านจะใช้เสียงในใจอยู่เหมือนเดิม
“อวี๋ชิงจาง คุณสมบัติด้านการฝึกตนของเจ้า แค่ถือว่าพอใช้ได้เท่านั้น ตัวเจ้าเองเป็นวัตถุดิบอย่างไร ตัวเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด เรื่องของการฝึกตนต้องมานะหมั่นเพียร ไม่ใช่ว่ามาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วจะลืมกำพืด อย่าเรียนรู้เอาอย่างคำพูดทำนองที่ว่าเทียบกับคนที่อยู่สูงกว่าไม่ได้ เทียบกับคนที่อยู่ต่ำกว่าเหลือแหล่อะไรนั่น จำไว้ว่าอ่านตำราให้มากๆ เจอกับเรื่องอะไรก็ต้องหัดใช้สมอง เรียนรู้เอาอย่างอิ่นกวานของพวกเจ้าให้มาก”
“เฮ้อเซียงถิง อย่าปล่อยให้อวี๋ชิงจางทิ้งระยะห่างมากเกินไป ภายในเวลาหกสิบปี อย่างมากสุดอนุญาตให้เจ้าห่างแค่ครึ่งขอบเขตเท่านั้น ความมั่นใจนี้อย่าให้ร่วงดิ่งลงไป ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ฝึกกระบี่สามารถฝึกให้ขอบเขตไต่ทะยานอย่างเชื่องช้าได้ แต่เป็นคนอย่าได้จิตใจคับแคบชั่วร้าย เมื่อจิตใจเที่ยงตรงจิตวิญญาณก็แจ่มกระจ่าง จิตแห่งกระบี่ใสสะอาดไม่ว่าเวทกระบี่อะไรก็ล้วนใช้ได้ผล”
หนิงเหยาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้าสองคนจงจำคำที่ข้าสอนทุกคำไว้ให้ขึ้นใจ”
อวี๋ชิงจางกับเฮ้อเซียงถิงพูดเสียงสั่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “จำได้แล้วขอรับ!”
ความลับและเรื่องวงในบางอย่างของใต้หล้าห้าสี ห่านขาวใหญ่ผู้นั้นเคยเล่าให้ฟังแล้ว
ขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินและขอบเขตบินทะยานคนแรกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าใหม่เอี่ยม!
ใช้กระบี่สังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง
พกกระบี่ออกเดินทางไกลเพียงลำพัง เมื่อการถามกระบี่ครั้งหนึ่งผ่านไป ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
ทุกวันนี้คือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี!
สำหรับตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งเก้าคนแล้ว พวกเขาไม่รู้สึกว่าประหลาด มีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น
หนิงเหยาสมกับเป็นหนิงเหยา
ใต้หล้านี้หาผู้ฝึกกระบี่ที่ ‘ต่อให้จะแค่เหมือนหนิงเหยา’ สักคนก็หาไม่เจอแล้ว
อวี๋เยว่เงี่ยหูตั้งใจฟัง อันที่จริงผู้เฒ่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กทั้งสองคนสักเท่าไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!