เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่เว่ยป้อเหม่อลอย ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ ระดับขั้นคืออะไร?”
เสี่ยวโม่ตอบตามตรงอย่างสัตย์จริง “อาวุธกึ่งเซียน”
เว่ยป้อกำลังจะแข็งใจยื่นมือไปรับของขวัญ
เฉินผิงอันรีบใช้มือหนึ่งคว้ามือของเว่ยซานจวินเอาไว้ อีกมือหนึ่งกดข้อมือของเสี่ยวโม่ พูดบ่นว่า “ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะเกรงใจกันไปไย เสี่ยวโม่อ่า เจ้าเห็นเว่ยซานจวินของพวกเราเป็นใคร เก็บไปเลย เก็บไปเลย”
เว่ยป้อหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่อ่า เฉินผิงอันพูดมีเหตุผล ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะเกรงใจไปไย ของขวัญนี้ข้าจะรับไว้แล้ว แล้วก็ขอให้ข้าได้เอ่ยประโยคเกรงใจเป็นครั้งสุดท้าย ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วย งานเลี้ยงท่องราตรีคราวหน้าจะขาดพี่เสี่ยวโม่ไปได้อย่างไร ต่อให้เป็นงานเลี้ยงท่องราตรีที่จัดขึ้นเพื่อเสี่ยวโม่โดยเฉพาะก็ยังจัดให้ได้”
หากเจ้าขุนเขาเฉินไม่ทำเช่นนี้ เว่ยซานจวินก็ยังไม่แน่ใจ แต่ยิ่งเฉินผิงอันเป็นเช่นนี้ เว่ยป้อก็ยิ่งรู้ว่าหากตนไม่รับของขวัญเอาไว้ต้องเสียใจจนไส้เขียวแน่
ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาหรือไม่?
หากข้าผู้อาวุโสยังต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาจะสามารถจัดงานเลี้ยงท่องราตรีได้หลายครั้งขนาดนั้นหรือ? ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปถึงอุตรกุรุทวีปโน่นแล้ว!
หลิ่วจงหลงไร้ศัตรูทัดทานบนโต๊ะสุรา แพร่กันออกไปได้อย่างไร?
แล้วงานเลี้ยงท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นบ้านตน แรกเริ่มสุดเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เฉินผิงอันมองไปยังเว่ยซานจวิน
สองชิ้นเยอะเกินไปหน่อยหรือไม่ ชิ้นเดียวพอไหม
เว่ยป้อมองเจ้าขุนเขาเฉิน
ไสหัวไป
สายตาของเจ้าขุนเขาเฉินยังคงหนักแน่น
ต้นไผ่ที่ก่อนหน้านี้กว่าข้าจะใช้เงินทองของจริงซื้อมาจากฮูหยินภูเขาชิงเสินได้อย่างไม่ง่ายล่ะ? ข้ามอบให้ภูเขาพีอวิ๋นเปล่าๆ นะ?
เว่ยซานจวินตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้น ข้ากับสหายสี่จู๋แค่พบเจอก็เหมือนรู้จักกันมานาน เจ้ามีหน้าขวาง ข้าก็มีหน้ารับไว้
เพื่อนบ้านสองคน เวลานี้แม้เงียบงันไม่ส่งเสียงกลับเหนือกว่าการพูดคุยกันออกเสียงเสียอีก
เฉินผิงอันรู้สึกว่าถึงอย่างไรฝีมือของตนก็ด้อยกว่าคนเขา จึงได้แต่หุบมือกลับมา สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่อ่า พวกเราสามารถรอเทียบเชิญของงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งต่อไปได้แล้ว ถึงอย่างไรโอกาสก็หาได้ยาก เป็นเรื่องดีที่ไม่ได้พบเจอได้บ่อยๆ”
เว่ยป้อเก็บขวานหยกเขียวและเยว่หยกเหลืองใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะดื่มเหล้าหรือดื่มชา ล้วนฟังพวกเจ้า”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึถามว่า “ดื่มโชคชะตาขุนเขาสายน้ำได้หรือไม่เล่า?”
เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อ “ตามใจ”
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าคุณชายบ้านตนกับเว่ยซานจวินมีความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำต่อกันจริงๆ ดูท่าของขวัญที่มอบให้ไปจะไม่เสียเปล่า
ในภูเขาพีอวิ๋นมีอะไร? บนยอดเขามีเมฆหลากสี มีต้นไม้เขียวขจี มีศาลาหอเรือน
วันนี้ในภูเขามีเรื่องอะไร? สหายรักได้กลับมาพบเจอหน้า ร่ำสุราดอกสน ใช้น้ำฤดูใบไม้ผลิชงชา
สุราดอกสนที่เว่ยซานจวินหมักเองกับมือรสชาติเลิศล้ำ เพียงแต่ว่าชื่อเสียงไม่โด่งดังเท่าเหล้าหมักตำหนักฉางชุนก็เท่านั้น
จะว่าไปแล้ว ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ใครจะกล้าดื่มสุราดอกสนของภูเขาพีอวิ๋นง่ายๆ บ้างเล่า? ก็มีแค่เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้ดื่มสักกา
เหล้าหมักตระกูลเซียนที่แพงที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากภูเขาชิงเสินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แล้วก็คือภูเขาพีอวิ๋นของแจกันสมบัติทวีปนั่นเอง
น้ำพุคือน้ำพุหยกมรกตที่มีเฉพาะในภูเขาพีอวิ๋นซึ่งติดอันดับหนึ่งในน้ำพุที่มีชื่อเสียงของแจกันสมบัติทวีป
อันที่จริงเรื่องของการประเมินน้ำพุมาจากฝีมือของคนเชื่อดาบสำนักโม่อย่างต่งสุ่ยจิ่ง เนื่องจากน้ำพุสามแห่งที่ติดอันดับล้วนถูกเขาเหมามาเป็นของตัวเองหมดแล้ว
ใบชาคือชาใหม่ก่อนและหลังช่วงฝนธัญพืชที่หน่วนซู่น้อยส่งมาให้ มาจากต้นชาป่าเก่าแก่หลายต้นบนยอดเขาไฉ่อวิ๋น หน่วนซู่รับผิดชอบเด็ดใบชา จากนั้นค่อยให้พ่อครัวเฒ่าเป็นคนผัดใบชาเองกับมือ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอให้ข้าได้เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้านสักครั้ง ข้าจะเป็นคนต้มชาเอง”
หลังจากนั่งลงแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อชุดเขียว ร่ายเวทวารีและอัคคีสองบท
เรื่องของการต้มชา ทำได้อย่างคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเพลินตาสบายใจ
เว่ยป้อสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มจนตาหยี
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในอดีตกลับมีมาดสง่างามดุจเซียนเช่นนี้แล้ว
กลับจากภูเขาพีอวิ๋นไปยังภูเขาลั่วพั่ว
คืนนี้หนิงเหยาพักอยู่ในเรือนของหน่วนซู่น้อย หมี่ลี่น้อยมักจะมาขอนอนกับพี่หญิงหน่วนซู่เป็นประจำอยู่แล้ว คราวนี้ก็เลยตามมาด้วย ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีผ้าห่มมากพอ
เฉินผิงอันนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ พอถึงกลางดึกก็ไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง ไปจุดตะเกียงแล้วนั่งอยู่ทั้งคืนโดยที่ไม่รู้สึกเปลี่ยวเหงา
……
เช้าตรู่วันที่สองกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็ไปเยือนหอบูชากระบี่อีกครั้ง
ผู้ฝึกกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปอย่างอวี๋เยว่กลับเป็นเค่อชิงของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีป
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ค่อยกล้าพบหน้าเจ้าขุนเขาเท่าใดนัก จึงรีบเตรียมตัวออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นด้วยเรื่องลูกศิษย์ที่เขาหลอกทีก็หลอกเอามาได้ถึงสองคน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ควรจะเผ่นนานแล้ว หากยังไม่ยอมหนีอย่างรู้กาลเทศะ ทำให้ใครบางคนไม่ต้องเจอหน้าใจก็ไม่ต้องหงุดหงิด อวี๋เยว่ก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะถูกเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถามกระบี่เอา
อวี๋เยว่เจอเฉินผิงอันก็รู้ความหมายของใต้เท้าอิ่นกวานคร่าวๆ แล้ว จึงยิ่งสบายใจขึ้นได้หลายส่วน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อย่ารู้สึกว่าข้ากำลังไล่คนเชียวนะ”
“มีหรือจะกล้า”
อวี๋เยว่ยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน บอกหมี่อวี้ว่าอย่าโกรธเลยนะ หลายวันนี้ที่ข้าอยู่บนภูเขาจงใจเรียกเขาว่าเซียนกระบี่หมี่เองแหละ แม้จะบอกว่าข้าไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่จะดีจะชั่วก็ยังรู้ขนบธรรมเนียมของที่นั่น วันหน้าได้เจอกับสหายเฒ่าอย่างผูเหอก็จะมีเรื่องให้คุยโวบนโต๊ะสุราแล้ว ฮ่าๆ ตาเฒ่าผูอย่างเจ้ากล้าเรียกหมี่อวี้เช่นนี้ไหม? ข้ากล้า อีกทั้งทุกครั้งที่เจอหน้ายังเรียกว่าเซียนกระบี่ทุกครั้งด้วย”
หากจะบอกว่าอวี๋เยว่ไม่รู้สึกประหวันพรั่นพรึงเลย นั่นก็คือการโกหกคนอื่นแล้วยังโกหกตัวเอง โชคดีที่แม้ทุกครั้งหมี่อวี้จะมีสายตาไม่เป็นมิตร แต่กลับไม่เคยลงมือทำอะไรจริงจัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!