ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าได้ยินแล้ว เวลานี้ก็เหลือแค่ความสะทกสะท้อนใจเท่านั้น
ใต้เท้าอิ่นกวานร้ายกาจจริงๆ
หนิงเหยากุมหมัดเอ่ย “รบกวนอาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋แล้ว”
อวี๋เยว่รีบกุมหมัดคารวะกลับคืน “มิกล้า”
เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมา ส่งอาจารย์และศิษย์สามคนไปที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว ทุกวันนี้แจกันสมบัติทวีปยังไม่มีเรือข้ามทวีปที่ตรงไปยังธวัลทวีป จึงต้องรอเรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปลำหนึ่งเสียก่อน
ที่ท่าเรือแห่งนั้น เรือข้ามฟากยังไม่ทันเข้ามาในอาณาเขตของหลงโจว คุยเล่นกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไปประมาณสองเค่อ เฉินผิงอันสอบถามเรื่องขนบธรรมเนียมของหลิวเสียทวีปและธวัลทวีป อวี๋เยว่ย่อมบอกทุกเรื่องที่ตนรู้อย่างไม่มีปิดบัง เล่าอย่างมีอารมณ์ขัน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ไปเป็นนักเล่านิทานก็ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
รอกระทั่งพวกอวี๋เยว่สามคนขึ้นไปบนเรือแล้ว เฉินผิงอันกับหนิงเหยาที่ยืนอยู่ใกล้กับราวรั้วก็โบกมืออำลา
เสี่ยวโม่ไปหาผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยน บอกว่าตัวเองต้องการสร้างหอหนังสือแห่งหนึ่ง
ผู้ถวายงานและเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วจะมีเรือนพักเป็นของตัวเองในบริเวณใกล้เคียงกับเรือนไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหน้า แต่อันที่จริงตอนนี้เรือนที่เหลืออยู่มีไม่มากพอ ผู้ถวายงานเสี่ยวโม่มาได้จังหวะพอดี เขากับเค่อชิงเซียนเว่ยขึ้นเขามาพร้อมกันก็มีเรือนพักที่ว่างอยู่สองแห่งพอดี ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้แต่ย้ายไปอยู่ด้านหลังภูเขาจริงๆ แล้ว ด้วยขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วไม่มีทางแหกกฎด้วยเรื่องที่เสี่ยวโม่เป็นขอบเขตบินทะยาน เซียนเว่ยมีประวัติความเป็นมาใหญ่โตอย่างแน่นอน
ส่วนจวนเซียนที่ด้านหลังภูเขานั้นก็ปลูกเรียงรายติดกัน เรือนน้อยใหญ่สามสิบกว่าหลังล้วนเป็นโจวอันดับหนึ่งที่ทุ่มเงินมาให้ตั้งแต่แรก ในอนาคตจะเอามาไว้เป็นที่พักของลูกศิษย์ที่รับมาใหม่หรือไม่ก็ให้แขกมาเข้าพัก เพียงแต่ว่าทุกวันนี้จำนวนลูกศิษย์ทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วยังมีน้อย เจ้าขุนเขาเองก็บอกแล้วด้วยว่าภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้จะทำเหมือนปิดภูเขายี่สิบปี ดังนั้นนอกจากคนสองคนที่เข้าพักในเรือนหลังหนึ่งแล้ว เรือนหลังอื่นๆ ที่เหลือล้วนยังว่างอยู่
ตอนที่เสี่ยวโม่มาหาจูเหลี่ยน พ่อครัวเฒ่ากำลังถักตะกร้าสานอยู่ในลานบ้าน ได้ยินว่าเสี่ยวโม่ต้องการควักเงินสร้างหอหนังสือด้วยตัวเองก็ยิ้มเอ่ยว่าไม่มีปัญหา ช่างที่อยู่บนภูเขาฮุยเหมิงล้วนเป็นคนงานสำเร็จรูป ฝีมือไม่เลว สร้างหอหนังสือแค่หลังเดียวย่อมไม่เป็นปัญหา ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือบริเวณใกล้เคียงกับเรือนไม้ไผ่ไม่มีสถานที่แล้วจริงๆ ดังนั้นตอนนี้เสี่ยวโม่จึงมีสามทางเลือก สร้างอยู่ใกล้กับยอดเขาจี้เซ่อ หรือไม่ก็สร้างอยู่ด้านหลังภูเขา ไม่อย่างนั้นก็เลือกภูเขาใต้อาณัติลูกหนึ่งไว้เป็นที่ฝึกตนของตัวเอง บางทีอาจจะโปร่งโล่งสบายมากกว่า
เสี่ยวโม่บอกว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น หากไม่ผิดกฎของบนภูเขาก็สามารถรื้อเรือนที่พักของตัวเองออกแล้วสร้างหอหนังสือไว้ตำแหน่งเดิมได้ เขาสามารถเอาหอหนังสือเป็นจวนที่ฝึกตน อีกทั้งหอหนังสือสูงแค่สองชั้นก็พอแล้ว
จูเหลี่ยนครุ่นคิดแล้วบอกว่าหากพี่เสี่ยวโม่เชื่อใจกัน ก็มอบให้เขาเป็นคนสร้างหอหนังสือแห่งนั้นเองก็แล้วกัน ก็แค่ต้องเสียเวลาเล็กน้อย ไม่ต้องเอาเงินไปมอบให้คนนอกแล้ว
เสี่ยวโม่ตกตะลึงระคนยินดี รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือขอบคุณ
เพราะตอนที่คุณชายของตนพูดถึงภูเขาลั่วพั่วได้เล่าว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูท่านนี้มากความรู้ความสามารถ ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาไม่เชี่ยวชาญ เรียกได้ว่าเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด คุณชายให้คำวิจารณ์ที่สูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ‘ไม่มีงานฝีมือใดที่จูเหลี่ยนทำไม่ได้ ต่อให้ตอนนี้ยังทำไม่ได้ อย่างมากให้เวลาจูเหลี่ยนสองสามปี เขาก็สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ที่สมชื่อในงานด้านนี้ได้แล้ว จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ การที่ข้าออกเดินทางไกลได้อย่างสบายใจ ผู้ดูแลใหญ่อย่างจูเหลี่ยนนั้นมีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง’
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “เสี่ยวโม่ หอหนังสือมีชื่อแล้วหรือยัง?”
เสี่ยวโม่กล่าว “หอเหลี่ยงหมางหราน”
“ชื่อดี”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที “มีมาตรฐานในการตั้งชื่อของคุณชายพวกเราแล้ว”
เสี่ยวโม่ยิ้มตอบ “นี่ก็เป็นชื่อที่คุณชายช่วยตั้งให้”
จูเหลี่ยนร้องเอ๊ะหนึ่งที หันหน้ามาพูดกับเสี่ยวโม่ด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องของการตั้งชื่อ โดยทั่วไปแล้วคุณชายจะไม่ยอมลงมือง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น นี่มากพอจะแสดงให้เห็นว่าคุณชายโปรดปรานเสี่ยวโม่อย่างมาก”
เสี่ยวโม่ยิ้มจนตาหยี
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อิจฉา อิจฉา อย่างหอหนังสือของข้า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยนะ เคยขอน้ำหมึกจากคุณชาย แต่กลับไม่เคยสำเร็จสักที”
เสี่ยวโม่อดรู้สึกกังขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ผู้เฒ่าจูกับคุณชายของตน เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า?
เพียงแต่ในตำราก็บอกไว้แล้วว่า เมื่อได้อยู่ในสถานการณ์ที่ลำพองใจ อย่าได้เล่าเรื่องลำพองใจกับคนที่ต้องผิดหวัง
ถึงอย่างไรเสี่ยวโม่ก็เพิ่งขึ้นเขามา จึงไม่รู้เรื่องวงในบางอย่าง ย่อมไม่รู้ถึงความลี้ลับของหอเก็บตำราแห่งนั้นชั่วคราว หากเฉินผิงอันช่วยตั้งชื่อให้ก็ผีหลอกแล้ว
ดังนั้นตอนนี้เสี่ยวโม่จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยด้วยการถามว่า “หากข้าอยู่ที่นี่จะถ่วงเวลาการทำธุระของอาจารย์จูหรือไม่”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “ทำงานแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นธุระจริงจังอะไรหรอก เสี่ยวโม่หากเจ้าอยู่ต่อย่อมดีที่สุด ข้าจะได้มีเพื่อนคุย อยู่กับคนดีๆ ก็เหมือนได้ดื่มสุรารสกลมกล่อม”
เสี่ยวโม่หยิบตำรารวมถ้อยคำอันไพเราะเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วนั่งเปิดอ่านอยู่ด้านข้าง
จูเหลี่ยนเหลือบตามองเนื้อหาในตำรารวมเล่มถ้อยคำระหว่างจังหวะพักงานในมือ ก่อนจะยิ้มส่ายหน้า “ยามดอกไม้เบ่งบานคิดถึงท่านที่สุด ยามร้อยบุปผาร่วงโรยเกลียดแค้นท่านที่สุด?”
คำกล่าวนี้ผิดแล้ว ฟังแล้วธรรมดาสามัญอย่างมาก
“ควรจะเป็นยามร้อยบุปผาเบ่งบานขุ่นเคืองท่านที่สุด ยามร้อยบุปผาร่วงโรยคิดถึงท่านที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความคิดถึงหรือความขุ่นเคืองล้วนอยู่ตอนที่ร้อยบุปผาเบ่งบาน”
ถึงจะเรียกได้ว่ามีความรักลึกซึ้ง ความขุ่นเคืองยาวนาน มิกล้าเกลียด ได้แต่เคืองขุ่น บอกกล่าวให้รู้ถึงความทุกข์ระทมจากการคิดคำนึงถึงของสตรีได้ดีที่สุด
เสี่ยวโม่อึ้งงันไร้คำพูด จากนั้นก็รู้สึกชื่นชมยินดีจากใจจริง หมุนตัวกลับมากุมหมัดเอ่ย “อาจารย์จูมีคำพูดไพเราะร้อยเรียงติดต่อกัน ประหนึ่งสาวงามอรชรที่เดินเยื้องกรายออกมาจากภาพวาด ไม่มีบุปผาแต่กลับส่งกลิ่นหอมฟุ้งได้ด้วยตัวเอง”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น “พี่เสี่ยวโม่ก็ไม่ด้อยกว่าเลยนะ”
จิตใจเสี่ยวโม่สงบลงได้หลายส่วน
เขากับภูเขาลั่วพั่วคล้ายจะมีความสอดคล้องทางจิตแห่งมรรคาตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้ตนจงใจเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามด้วยซ้ำ
“เสี่ยวโม่มาที่ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาลั่วพั่วมีเสี่ยวโม่ ล้วนถือเป็นเรื่องที่โชคดี”
จูเหลี่ยนถักตะกร้าไม้ไผ่ด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคย ปากก็ชวนคุยไปด้วย “ความหวังดีของผู้แข็งแกร่งก็คือลมวสันตฤดูที่อ่อนโยน”
เสี่ยวโม่ปิดตำราลง กำลังจะขยับปากพูดก็มีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งไปที่หน้าประตูภูเขาวิ่งเข้ามา ตะโกนพูดหน้าแดงก่ำ “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ ร้ายกาจมาก ร้ายกาจมาก ที่แท้ที่นี่ก็คือภูเขาลั่วพั่ว!”
เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ จากไปไกล ประหนึ่งนกที่บินโผไปกลางอากาศ
เด็กเก้าคนที่เฉินผิงอันพากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างมีที่พักพิงเป็นของตัวเองแล้ว ไม่ต้องเอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกกระบี่อยู่ที่หอบูชากระบี่อีกต่อไป ล้วนมีอนาคตอย่างแท้จริงกันแล้ว
พ่อครัวน้อยเฉิงเฉาลู่กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสุยโย่วเปียน คนโลภมากตัวน้อยอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยก็กราบผู้คุมกฎฉางมิ่งเป็นอาจารย์
อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงติดตามผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่เดินทางไกลข้ามทวีปไปแล้ว จะไปที่สกุลเซี่ยมี่อวิ๋นของธวัลทวีปก่อน จากนั้นจึงจะพาเด็กทั้งสองเดินทางไปท่องเที่ยวหลิวเสียทวีป ไปปล้นทรัพย์คนด้วยกัน
หากใช้คำพูดของอวี๋เยว่ก็คือสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นต้องยิ้มหน้าบานเพราะได้พึ่งใบบุญของตน เท่ากับว่าไม่ต้องใช้ความสัมพันธ์ควันธูปแม้แต่น้อยก็ได้แบ่งตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เงินเทพเซียนกับสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินจะน้อยได้หรือ?
สุดท้ายแล้วเหอกูก็รับหมี่อวี้เป็นอาจารย์
อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่แค่ต้องใช้คำพูดเดียวของหนิงเหยาเท่านั้น
เจ้ามีหน้าอะไรมาดูแคลนหมี่อวี้? เขาหมี่อวี้ตอนอยู่สองขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด คุณความชอบในการสังหารปีศาจรวมกันแล้วก็อยู่สูงเป็นอันดับหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าเหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
ตอนนั้นหมี่อวี้ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลกับเฉินผิงอัน แม้ว่าหนิงเหยาจะพูดเรื่องจริง แต่หมี่อวี้กลับยังกระดากอายอยู่มาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!