เฉินผิงอันเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่ ด้านหลังเคยมีสระน้ำขนาดเล็กที่ปลูกดอกบัวม่วงทองดอกหนึ่ง ตอนนี้ได้ย้ายไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว
มองบ่อน้ำว่างเปล่าไร้น้ำ อยู่ดีๆ ก็อดนึกถึงประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธไม่ได้
ประหนึ่งดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแต่ไม่สัมผัสน้ำ ประหนึ่งตะวันจันทราที่โคจรอยู่กลางอากาศไม่หยุดนิ่ง
ผู้ฝึกตนอยู่อย่างสันโดษในภูเขา คำว่าบรรลุมรรคาที่แท้จริงคงจะเป็นดวงตาคู่หนึ่งที่สว่างเหมือนตะวันจันทรา จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งที่ดุจดั่งดอกบัวเขียว
ออกมาจากสระเล็ก ไปที่โต๊ะหินริมหน้าผา
ระหว่างเรือนไม้ไผ่กับโต๊ะหินริมหน้าผาปูอิฐเขียวเอาไว้ สามารถใช้เดินนิ่งหกก้าวได้
ก่อนหน้านี้เขาปูพวกมันพร้อมกับชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ เพียงแต่เฉินผิงอันไม่รู้ว่าชุยตงซานแกะสลักเนื้อหาว่าอะไรไว้ตรงด้านใต้ของก้อนอิฐ
พ่อครัวเฒ่าเพิ่งจะเล่าให้ฟังว่าเว่ยเซี่ยนรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่ คือเด็กหญิงคนหนึ่งที่อายุแค่เก้าขวบ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้า แต่กลับฝึกตนมาห้าปีแล้ว
เป็นลูกศิษย์ที่เว่ยเซี่ยนเก็บมาได้จากสถานที่เล็กๆ ในแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่ง เด็กกำพร้าคนหนึ่ง ทว่าสี่ขวบกลับเริ่มฝึกตนแล้ว?
ครั้งแรกที่อาจารย์และศิษย์สองคนพบหน้ากัน ตอนนั้นเว่ยเซี่ยนกำลังดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้าข้างจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ดื่มแค่ชามเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะถ่วงงานสำคัญเอาได้
จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็เห็นเด็กหญิงเสื้อผ้าขาดวิ่น เรือนกายผอมแห้ง ใบหน้าเหลืองตอบ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหมือนคนปกติ ยามก้าวเดิน ไม่ว่าจะลมหายใจหรือฝีเท้าล้วนหนักแน่น
เด็กหญิงหยิบเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญออกมาจากกระเป๋า ซื้อเหล้าชั้นเลวสองถ้วยจากเถ้าแก่ร้านด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย จากนั้นก็นั่งลงโดยไม่เลือกโต๊ะว่าง เด็กหญิงเพียงแค่นั่งยองดื่มเหล้าข้างทาง มือข้างหนึ่งถือเหล้าชามหนึ่งแล้วดื่มจนหมดชาม
ดื่มเหล้าสองชามหมดแล้วก็วางชามซ้อนเข้าด้วยกัน ยื่นส่งให้กับเถ้าแก่
นับตั้งแต่ซื้อเหล้าจนถึงคืนชามเหล้า เด็กหญิงไม่เอ่ยอะไรสักคำ คำนวณเวลาและกำลังเท้าของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ฉวยโอกาสยามสนธยาที่ยังไม่มีคำสั่งห้ามเข้าออกยามวิกาลกลับตัวอำเภอไปอย่างเงียบเชียบ
เว่ยเซี่ยนเห็นว่าเถ้าแก่คล้ายจะไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย น่าจะรู้จักกัน จึงสืบข่าวจากอีกฝ่ายเลยได้รู้ว่าเด็กหญิงที่อายุน้อยๆ ก็ดื่มเหล้าเป็นแล้วผู้นี้ถึงกับเป็นแขกประจำของร้านเหล้าแห่งนี้ ฟังเถ้าแก่เล่าว่าเด็กหญิงไม่มีบ้านให้กลับ ดูเหมือนจะเป็นชาวบ้านลี้ภัยที่พลัดพรากจากพ่อแม่ เมื่อหลายปีก่อนราชวงศ์ต้าหลีซึ่งเป็นแคว้นผู้นำอนุญาตให้แคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งอาศัยคุณความชอบกอบกู้แคว้นกลับคืน อันที่จริงพวกชาวบ้านก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ผลคือเกิดเรื่องร้ายขึ้นจริงๆ ว่ากันว่ารัชทายาทกอบกู้แคว้นตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ บรรดาพี่น้องกลับจะแย่งชิงเก้าอี้มังกรจากเขาให้ได้ กองทัพทำสงครามวุ่นวาย ใครเล่าจะคาดคิดได้ถึง ว่ากันว่าทุกวันนี้ห่างไปไกลเล็กน้อยก็มีแคว้นเพื่อนบ้านบางแห่งที่พอทำสงครามเสร็จก็ไม่เหลือชายฉกรรจ์อีกเลย สถานการณ์ในแคว้นต่างก็สงบมั่นคงแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาที่ตอนแรกไม่ได้เจอกับหายนะอะไร เพียงแค่ทำสงครามชายแดนเท่านั้น แม้จะบอกว่ากองทัพชายแดนมีคนตายไปไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรในแคว้นก็ยังรักษาความสงบสุขเอาไว้ได้ ทว่าวิถีทางโลกกลับพลันวุ่นวายขึ้นมาอีก นางย่อมต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า
หลายปีนี้นางมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร ใครเล่าจะสนใจ สุสานแห่งใหม่มากมายมองไปไม่เห็นที่สิ้นสุด แต่อันที่จริงนั่นก็ถือว่าดีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นยังมีสถานอี้จวง (องค์กรสาธารณะที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจนในสมัยโบราณ) ช่วยรับตัวเอาไว้ จะดีจะชั่วก็ยังมีที่ให้หลับนอน ส่วนพวกวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นก็ไม่ต้องสนว่าจะตายอย่างไร เป็นผีไปแล้วก็ยังคงเป็นผีหิวโหยที่ไม่ได้กินข้าวจากลูกหลาน แต่อย่าเห็นว่าแม่นางน้อยผอมแห้ง เรี่ยวแรงของนางกลับมีไม่น้อย แรกเริ่มสุดนั้นเคยไปทำงานระยะสั้นอยู่ในอำเภอ สุดท้ายก็ปักหลักอยู่ที่ร้านขายธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง
เมื่อนางมีเวลาว่างก็มักจะเตร็ดเตร่ไปทั่วทั้งในและนอกอำเภอ คงจะตามหาพ่อแม่ของนาง ไกลที่สุดก็คือเดินมาถึงจุดพักม้าแห่งนี้ รอจนฟ้าใกล้มืดถึงจะกลับไปที่ร้านในตัวอำเภอ
เพียงแต่เถ้าแก่ร้านรังเกียจที่กิจการของนางอัปมงคลเกินไป จึงอนุญาตให้นางซื้อเหล้าได้อย่างเดียว ไม่อนุญาตให้มานั่งในร้าน แม่นางน้อยก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกครั้งก็ล้วนเคารพกฎเช่นนี้เสมอ
เว่ยเซี่ยนฟังจบก็เกิดความสนใจทันที
ไปรับลูกศิษย์ที่ร้านขายธูปเทียนได้ราบรื่นผิดปกติ เว่ยเซี่ยนไม่ต้องจ่ายเงินสักเหรียญ แค่รับปากว่าจะช่วยนางตามหาพ่อแม่ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีก็พอแล้ว
เดิมทีปีที่นางอายุสี่ขวบ พ่อแม่ของนางได้เจอสุสานใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง ปากทางเข้ามีขนาดใหญ่เท่าบ่อน้ำ คงเป็นเพราะพ่อแม่รู้สึกว่าคนทั้งครอบครัวต้องไม่รอดอย่างแน่นอน ไม่ยินดีให้เด็กหญิงต้องหิวตายกลางทาง กลายเป็นอาหารของพวกสัตว์ป่า เหลือแค่กระดูกขาวโพลนในป่าร้าง จึงตัดสินใจเด็ดขาด ใช้ตะกร้าใบหนึ่งใส่นางไว้ในสุสาน ทิ้งอาหารที่เหลือทั้งหมดบนร่างไว้ให้กับนาง เด็กหญิงจึงอยู่ในสุสานเพียงลำพัง ผลคือเวลาผ่านไปหลายปี นางไม่เพียงแต่ไม่ตายอยู่ในสุสาน กลับยังออกมาจากสุสานใหญ่แห่งนั้น เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ปีนออกจากด่านประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ได้ การที่นางไม่ได้หิวตาย นางก็ไม่ได้ปิดบังเว่ยเซียนที่ตัวเองรับเป็นอาจารย์ บอกแค่ว่าตอนที่นางใกล้จะหิวตายได้เห็นเต่าตัวใหญ่ในสุสาน ทุกครั้งที่มีแสงสาดส่องลงมา มันจะยื่นคอออกมาคล้ายกำลังหายใจ เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะเชื่องช้า นางจึงเรียนรู้เอาอย่าง ทำไปทำมาก็ไม่หิวขนาดนั้นอีกแล้ว…
ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้ฟังอึ้งตะลึง
ทั้งเวทนาทั้งอึ้งและทึ่ง
หากจะพูดถึงเรื่องประหลาดและคนประหลาด เฉินผิงอันก็พบเจอมาไม่น้อยจริงๆ เป็นเหตุให้เขาไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องมหัศจรรย์บนภูเขามานานแล้ว
ทว่าเรื่องนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึก…ตกใจจริงๆ
ลูกศิษย์คนนี้ของเว่ยเซี่ยน เขาต้องพบหน้าสักครั้งให้จงได้
ไม่มีวิสุทธิ์จารย์คอยให้คำชี้แนะ ไม่มีตำราลับตระกูลเซียน ไม่มีวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินใดๆ อีกทั้งเด็กหญิงยังอ่านหนังสือไม่ออก แต่กลับอาศัยวิชาเต่าหายใจที่เฉินผิงอันเคยอ่านเจอในตำราเดินขึ้นไปบนเส้นทางการฝึกตนได้แล้ว
หากนี่ไม่เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์ แบบใดถึงจะเรียกว่าใช่?
ตามคำกล่าวของจูเหลี่ยน ภูเขาลั่วพั่วสามารถรับผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่มีลำดับอาวุโสเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์เช่นนี้มาได้ คาดว่าครึ่งหนึ่งต้องยกให้เป็นคุณความชอบของวาสนาระหว่างอาจารย์และศิษย์ของเว่ยเซี่ยน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘บุญกุศลที่สะสมมา’ ของภูเขาลั่วพั่วแล้ว
หยุดเท้าอยู่ตรงริมหน้าผาพักหนึ่ง เฉินผิงอันกลับมายังที่พักที่เรือนไม้ไผ่ หยิบตำราตราประทับสองเล่มนั้นมา เตรียมจะออกจากบ้านไปหาประสบการณ์อีกครั้ง
การออกเดินทางไกลครั้งนี้ เมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว อันที่จริงไม่ถือว่าไกล เรียกว่าใกล้มากแล้ว
ก็แค่ต้องไปที่แคว้นเล็กแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของแจกันสมบัติทวีป ไปหาสหายดื่มเหล้าที่ศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กในอำเภอเซียนโหยวเขตชิงหยวน
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่ยังหนุ่มอยู่เหมือนเดิม กับจอมยุทธใหญ่ที่เคราไม่ดกและไม่ออกเดินทางไกลอีกแล้ว ดาบวิเศษไม่เก่า แต่คนเฒ่ากลับแก่แล้ว
เฉินผิงอันพกดาบสองเล่มไว้ตรงเอว ทับซ้อนกันไว้ด้านหนึ่ง
คือดาบแคบสองเล่มอย่างลงทัณฑ์และพิฆาต
เฉินผิงอันไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกลไปโดยตรง แต่เรียกเสี่ยวโม่มาแล้วคนทั้งสองก็เดินเท้าไปที่หน้าประตูภูเขาด้วยกัน วันนี้เฉินยวนจีกลับไม่ฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งอย่างที่หาได้ยาก
หมี่ลี่น้อยนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่เฝ้าประตูอยู่ตรงนั้น
ดูเหมือนว่าในมือจะแอบกำอะไรบางอย่างเอาไว้ เดี๋ยวก็ประกบฝ่ามือ เดี๋ยวก็แบมือออก เล่นสนุกอยู่กับตัวเอง
เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ทุกวันนี้ในมือมีหีบไม้ไผ่หนึ่งใบและไม้เท้าเดินป่าหนึ่งอันมาเพิ่ม
เฉินผิงอันกังวลว่าหมี่ลี่น้อยจะคิดมากจึงให้คำมั่นสัญญาอีกครั้ง “ข้ากับเสี่ยวโม่ออกจากบ้านครั้งนี้ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!