เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ มีเสี่ยวโม่อยู่ข้างกายช่วยลดภาระไปได้ไม่น้อยเลยจริงๆ
“เสี่ยวโม่อ่า ข้าต้องตำหนิเจ้าแล้วนะ เคยชินที่จะออกจากบ้านเดินทางไกลพร้อมเจ้าแล้ว วันหน้าจะทำอย่างไร เปลี่ยนจากฟุ้งเฟ้อมาเป็นประหยัดมันยากนะ”
เสี่ยวโม่กล่าว “ขอแค่คุณชายไม่รังเกียจ ไม่ไล่กัน เสี่ยวโม่ก็สามารถออกเดินทางไกลเป็นเพื่อนคุณชายได้ทุกครั้งเลย”
เฉินผิงอันพลันรู้สึกขนลุกเล็กน้อย เหลือบมองเสี่ยวโม่แวบหนึ่ง
มารดามันเถอะ หรือว่าตอนนั้นที่อยู่ในตรอกเล็ก เซียนเว่ยไม่ได้มองเสี่ยวโม่ผิดไป?
ตนเองต้องคอยป้องกันอย่างยากลำบาก ต้องคอยระมัดระวังรอบคอบ ผลกลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ก็กลายมาเป็นเงาดำใต้โคมไฟอีกเหมือนกัน?
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “คุณชายวางใจเถอะ เสี่ยวโม่มีผู้ฝึกตนหญิงที่สถานะคล้ายคลึงกับคู่บำเพ็ญตนในยุคหลังอยู่ด้วย เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม บุคลิก หรือคุณสมบัติการฝึกตนของนางก็ล้วนเทียบหนึ่งในหมื่นของฮูหยินไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “คิดอะไรกัน ข้าจะเข้าใจผิดเสี่ยวโม่ได้อย่างไร”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “เป็นเสี่ยวโม่ที่เข้าใจผิดไปเอง”
“เสี่ยวโม่ เจ้าไปขัดขวางเทพอธิบาลเมืองสักหน่อย สามารถบอกสถานะของผู้ถวายงานต้าหลีออกไปได้อย่างเปิดเผย ให้พวกเขาดูป้ายสงบสุขแผ่นนั้น ส่วนที่ท่าเรือแห่งนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงไปด้านล่าง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายผีสาวที่กางร่ม ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันดันร่มกระดาษน้ำมันไว้เบาๆ ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “แม่นางบังเอิญต้องรีบเดินทางเช่นนี้เชียวหรือ ถือว่าทำผิดกฎแห่งสวรรค์หรือไม่? ในฐานะผีที่ไม่อาจพบเห็นแสงสว่างได้ เหยียบเงาของคนบนโลกมนุษย์ตามใจชอบ เป็นการทำลายพลังชีวิตของคนอื่นอย่างที่มองไม่เห็น ไม่กลัวว่าอยู่ดีๆ จะเป็นการเพิ่มหายนะให้กับตัวเอง กลายเป็นว่าถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรอกหรือ?”
ใบหน้าของผีสาวซีดขาวผิดปกติ นางหันหน้าไปมองมือดาบชุดเขียวด้วยความตกตะลึงสุดขีด พูดวิงวอนเสียงสั่นว่า “เซียนซือ บ่าวมีเรื่องลำบากใจ ขอเซียนซือโปรดมีใจเมตตาให้บ่าวข้ามผ่านลำคลองสายนี้ไปเถอะ แล้วบ่าวจะจากไปทันที พระคุณยิ่งใหญ่ของเซียนซือ บ่าวจะไม่ลืมเลือนเลย…”
ระหว่างที่พูดนางก็หยุบถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เงินเทพเซียนสิบหกเหรียญเป็นเงินทั้งหมดที่บ่าวสะสมมาแล้ว ขอเพียงเซียนซือยอมให้บ่าวเก็บไว้สักเหรียญ บ่าวจะมอบให้แก่คุณชายผู้มีพระคุณข้างหน้านี้”
ร่มกระดาษน้ำมันที่นางกางอยู่ถูกมือดาบชุดเขียวใช้นิ้วดันเอาไว้แล้ว นางจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ทว่าบัณฑิตเบื้องหน้ากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า รอกระทั่งรองเท้าปักลายดอกไม้คู่นั้นของนางพ้นไปจากเงาของบัณฑิต บนพื้นก็พลันร้อนลวกเหมือนกระทะน้ำมันเดือดพล่าน ทำให้นางมิอาจมีที่หยัดยืนในโลกมนุษย์ได้
ใบหน้าของนางซีดเผือด ข่มกลั้นความเจ็บปวด ได้แต่ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบลงบนรองเท้าปักลายบุปผาอีกข้างเท่านั้น
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผีสาวเลิกเปลือกตาขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของบัณฑิตตรงหน้า สีหน้าของนางเลื่อนลอยไปเล็กน้อย มีความอาลัยอาวรณ์ แต่กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้มปล่อยวาง
จากนั้นนางก็เตรียมจะหันไปถ่มน้ำลายใส่เซียนซือชาติสุนัขผู้นั้น ต้องถ่มน้ำลายให้โดนใบหน้าของอีกฝ่ายถึงจะยอม แล้วตัวเองค่อยกลายเป็นคุณูปการในการกำจัดปีศาจปราบมารของอีกฝ่าย
แต่กลับเห็นว่าคนชุดเขียวคลี่ยิ้ม เก็บสองนิ้วกลับคืนไป จากนั้นเคาะร่มกระดาษน้ำมันเบาๆ พริบตานั้นเส้นไยสีทองก็ไหลลงมาจากบนร่มเหมือนหยดฝน คล้ายกับผ้าม่านที่ถูกกางเป็นวงกลมโดยรอบ
นางคล้ายได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เย็นสบายแห่งหนึ่งของตระกูลเซียน
เฉินผิงอันยื่นส่งยันต์สีเหลืองปึกหนึ่งไปให้ เอ่ยว่า “หลังจากข้ามลำคลองไปแล้วก็ตอบแทนพระคุณของบัณฑิตผู้นั้น หากยินดีก็สามารถไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าทะเลสาบซูเจี่ยน ไปหาผู้ฝึกตนนามว่าเจิงเย่ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสามารถฝึกตนอยู่ที่นั่นได้ เทพเซียนบนภูเขาท่านนี้หาตัวเจอไม่ยาก เจ้าไปถึงที่นั่นแค่สอบถามก็รู้แล้ว หากเจ้าไม่ยินดีจะเดินทางไกลก็ตามใจ”
เมื่อครู่อยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย ผีสาวที่กางร่มก็ไม่มีจิตสังหารและกลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่ออกมา สติปัญญาไม่เคยถูกกลิ่นอายดุร้ายที่มีติดตัววิญญาณหยินตั้งแต่เกิดกลบทับ นี่ก็คือจิตแห่งมรรคาที่บริสุทธิ์แล้ว
ไม่อย่างนั้นเพียงแค่เนื้อหาในใจที่เสี่ยวโม่ตรวจสอบพบ ผีหญิงตนนี้แบ่งแยกถูกผิด แบ่งแยกความดีความชั่วร้ายได้อย่างชัดเจน เฉินผิงอันก็ไม่มีความจำเป็นต้อง ‘บีบคั้นผู้อื่น’ เช่นนี้
ผีสาวที่กางร่มคลางแคลงไม่เข้าใจ แค่พบเจอกันอย่างผิวเผิน ไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ เหตุใดอีกฝ่ายต้องมีน้ำใจเช่นนี้?
เพียงแต่ว่าพอคิดอีกที ตบะปลายแถวน้อยนิดของนางจะมีค่าพอให้เซียนซือที่มรรคกถาและฝีมือลึกล้ำเกินจะหยั่งตรงหน้าผู้นี้วางแผนใส่ร้ายได้อย่างไร?
แต่พอคิดในมุมใหม่ นางก็กลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหวังในความ…งามของตน?
ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดเรื่องอะไร เฉินผิงอันก็ล้วนแบกรับไว้ได้ มีเพียงการใส่ร้ายประเภทนี้ที่มิอาจรับได้เด็ดขาด จึงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “รีบตามบัณฑิตข้ามลำคลองไป แล้วก็คิดเรื่องที่ไม่เป็นความจริงให้มันน้อยๆ หน่อย”
ผีสาวไม่กล้าคิดอะไรอีกจริงๆ นางเก็บยันต์ตระกูลเซียนปึกนั้นมาอย่างระมัดระวัง ยอบกายคารวะเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เดินเร็วๆ ก้าวไปเบื้องหน้า หลังเดินออกมาได้สองสามก้าวแล้วก็ถึงกับค้นพบว่าต่อให้ตนไม่ต้องเดินอยู่ในเงาของบัณฑิตก็สามารถก้าวเดินไปได้อย่างราบรื่น นางอดไม่ไหวหยุดเท้าหันหน้าไปถาม “ขอทราบนามและจวนเซียนของนายท่านเซียนซือได้หรือไม่?”
มือดาบชุดเขียวที่หากมองหลายๆ ครั้งกลับมีกลิ่นอายของตำราเต็มร่างผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่ต้องรู้เรื่องที่ไม่สำคัญพวกนี้หรอก”
นางลังเลเล็กน้อย สุดท้ายกล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวหนักแน่น “บ่าวขอร้องเซียนซือจากใจจริง โปรดบอกนามของท่านด้วยเถิด”
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นตบดาบแคบที่ห้อยตรงเอว ยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อเฉินผิงอัน เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง”
ทั้งเอาอย่างคนบางคนพูดคำพูดหยอกล้อที่ไม่ใช่คำล้อเล่นกับผีสาวกางร่ม
ทั้งยังพูดให้เทพอธิบาลเมืองประจำเขตปกครองผู้นั้นฟัง เพราะดูเหมือนว่าป้ายสงบสุขปลอดภัยปลายแถวของกรมอาญาต้าหลีที่เสี่ยวโม่คล้ายจะใช้ไม่ได้ผลเท่าใดนัก
หันตัวไปกุมหมัดคารวะเทพอภิบาลเมืองที่ทะยานเมฆหมอกไกลๆ ก่อน จากนั้นร่ายร่างเมฆาวารีออกเดินทางไปพร้อมกับเสี่ยวโม่ต่ออีกครั้ง
หลังจากมือดาบชุดเขียวที่บอกชื่อแซ่คารวะอย่างนอบน้อมจากไปแล้ว เทพอภิบาลเมืองและเสมียนผู้ช่วยสองคนอย่างเทพท่องทิวากับแม่ทัพล่ามตรวนก็ลดก้อนเมฆลงมาที่ท่าเรือ บอกให้พ่อปู่ลำคลองที่เดิมทีควรขัดขวางปล่อยผีสาวไป
พ่อปู่ลำคลองเป็นคนนิสัยดื้อดึง ต่อให้เจอกับเทพอภิบาลเมืองประจำเขตซึ่งถือเป็นหัวหน้าในวงการขุนนางของเขาก็ยังยืนกรานจะถามหาเหตุผลให้ได้ก่อนถึงจะยอมเปิดทางให้ เทพอภิบาลเมืองอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ไม่มีโทสะ กลับยังบอกกับพ่อปู่ลำคลองด้วยว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นก็คือเจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วหลงโจวต้าหลี เฉินผิงอัน เจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง
เทพอภิบาลเมืองเอ่ยสัพยอกพ่อปู่ลำคลองว่า “มาดใหญ่เทียมฟ้านัก ถึงกับทำให้เซียนกระบี่คนหนึ่งมาหยุดอยู่ที่นี่ จำต้องแบ่งบุญกุศลบางส่วนบนร่างมาปกป้องผีสาวตนหนึ่งให้ข้ามลำคลองไปให้ได้”
ในใจพ่อปู่ลำคลองภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ต่อให้ขอบเขตของเซียนกระบี่คนหนึ่งจะใหญ่กว่าแผ่นฟ้า ก็ไม่ใหญ่ไปกว่าเหตุผลที่ขุนนางต่ำต้อยอย่างข้าพยายามทำหน้าที่ของตัวเองสุดความสามารถ”
เทพอภิบาลเมืองหัวเราะร่า ดังนั้นนี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าได้เป็นพ่อปู่ลำคลองอยู่ที่นี่ ส่วนข้าก็ได้บัญชาการณ์ศาลเทพอธิบาลเมืองประจำเขตอย่างไรล่ะ
พ่อปู่ลำคลองพลันถามว่า “คือเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วคนนั้นจริงๆ หรือ?”
ก็ยากจนนี่นะ ไม่ได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ซื้อพวกรายงานขุนเขาสายน้ำไม่ไหว ข่าวคราวบนภูเขาของเขาจึงไม่ว่องไวเท่าเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ เพียงแต่เคยได้ยินสหายร่วมงานกับพวกขุนนางที่อยู่เบื้องบนพูดถึงบ่อยๆ ตอนอยู่ในงานเลี้ยงสุราน้อยใหญ่ บอกว่าราชสำนักต้าหลีมีเซียนกระบี่หนุ่มอายุสี่สิบต้นๆ ปรากฏตัวสองคน ร่วมมือกันถามกระบี่ รื้อถอนศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงเสียเละ
โดยเฉพาะคนแซ่เฉินที่นิสัยย่ำแย่ถึงที่สุด ถึงกับใช้กระบี่ปาดคอบรรพบุรุษย้ายภูเขาตนนั้น
แล้วลองย้อนมาดูการกระทำของมือดาบชุดเขียวคนเมื่อครู่ กลับไม่เหมือนที่เล่าลือกันภายนอกสักเท่าไร ท่านเทพอภิบาลเมืองจะมองผิดไปหรือไม่?
เทพอภิบาลเมืองพยักหน้า “ไม่ผิดแน่แล้ว ของแท้แน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!