เส้นทางกลับอำเภอเซียนโหยวหลังจากนั้น พอรู้ว่าเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ถึงกับกำลังจะไปสร้างสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป สวีหย่วนเสียก็อดไม่ได้บอกให้เฉินผิงอันรีบๆ ไสหัวไปได้แล้ว
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจเขา นั่งบนหลังม้า สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ไหล่โยกไปมา ตรงเอวเหน็บดาบสองเล่ม ขี่ม้าอย่างเอ้อระเหย คุยเล่นกับจางซานเฟิงไปเรื่อยเปื่อย ทั้งสองฝ่ายนัดกันว่าจะไปที่ใบถงทวีปด้วยกัน จางซานเฟิงจึงถามสวีหย่วนเสียว่าเผด็จการจนน่าโมโหหรือไม่? ช่วยไม่ได้นี่นะ คนบางคนอายุมากแล้ว แข้งขาก็ไม่ค่อยดี เดินทางคุ้มกันไม่มีปัญหา แม้จะต้องกัดฝันเลียนแบบชายฉกรรจ์ที่ออกไปหาประสบการณ์ในยุทธภพก็ตาม ดื่มเหล้าเคล้านารี เห็นสาวงามก็ได้แต่มีใจอยากสังหารโจรแต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะจับโจรแล้ว
ทำเอาสวีหย่วนเสียโมโหไม่เบา
ตลอดทางที่กลับไปยังเขตชิงหยวนนี้ สวีหย่วนเสียคอยสานสัมพันธ์กับที่ว่าการ จุดพักม้าหรือไม่ก็พรรคในยุทธภพไปด้วย บางครั้งก็จะให้ลูกศิษย์ได้ฝึกปรือฝีมือ
ไม่รู้ว่าเหตุใดเสี่ยวโม่ถึงได้รู้สึกว่าคุณชายของตนไม่เหมือนกับตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วเลย เขาเองก็มีท่าทีเกียจคร้าน อาบแดดสบายใจ จิบเหล้าคำเล็กๆ บางครั้งยังผิวปาก ดูเหมือนว่าจะเป็นทำนองของบทเพลงพื้นบ้าน
พอไปถึงศูนย์ฝึกยุทธที่อำเภอเซียนโหยว เสี่ยวโม่ก็ยิ่งได้เปิดโลกกว้าง ถึงกับเป็นคุณชายบ้านตนที่เข้าครัวทำอาหารโต๊ะหนึ่งด้วยตัวเอง
สวีหย่วนเสียเอาสองมือกอดอกเอนตัวพิงประตูห้องครัว ยิ้มมองสหายเก่าสองคนกับสหายใหม่อีกคนหนึ่งที่ง่วนไปมาอยู่ตรงนั้น
วันนี้ที่ดื่มเหล้ากัน เป็นเพียงแค่งานเลี้ยงเล็กๆ เรียบง่ายเท่านั้น
พอไปถึงห้องของจางซานเฟิง เฉินผิงอันก็แย่งไปเปิดตำราเล่มหนึ่งก่อน ในตำรามีภาพวาด เขาถึงกับจุ๊ปากไม่หยุด
จางซานเฟิงบ่น “พี่ใหญ่สวี ข้าเป็นนักพรตคนหนึ่ง ท่านเอาหนังสือพวกนี้มาวางไว้บนโต๊ะ หมายความว่าอะไรกันแน่?!”
สวีหย่วนเสียหัวเราะหึหึ “คงเป็นเพราะหนังสือมีขาก็เลยแอบเดินเข้ามาด้วยตัวเองกระมัง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ตอนกลางคืนยังมีอาหารมื้อดึกอีกมื้อ สวีหย่วนเสียพาคนทั้งสามออกจากศูนย์ฝึกยุทธ ไปหาร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เปิดอยู่ในตรอกเก่าโทรม เหล้ามื้อนี้เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงดื่มกันอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าจะความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น
ยามฟ้าสางของวันต่อมา เฉินผิงอันนวดคลึงขมับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาที่ศูนย์ฝึกยุทธได้อย่างไร
พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ผลักประตูเดินออกไป เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็สังเกตเห็นว่าเสี่ยวโม่นั่งยองอยู่บนขั้นบันไดข้างลานประลองยุทธ มองสวีหย่วนเสียที่กำลังสอนพวกศิษย์ลูกศิษย์หลานให้ฝึกหมัดเดินนิ่ง
เจ้าโง่จางซานเฟิงถึงกับยืนถือเหล้าชามหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง กำลังใช้เหล้าถอนเหล้าคืนวิญญาณอยู่กระมัง
สวีหย่วนเสียกวักมือเรียกเฉินผิงอัน “มานี่ มาสอนวิชาหมัดสักสองสามกระบวนท่าสิ”
พวกลูกศิษย์ในศูนย์ฝึกยุทธพากันหันขวับมามองคุณชายเฉินที่ถูกเจ้าศูนย์พูดเสียจนลี้ลับมหัศจรรย์อย่างพร้อมเพรียงกัน
สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกขาว สวมรองเท้าผ้าสีดำพื้นหนา
พวกเขาจำต้องยอมรับว่ารูปโฉมของอีกฝ่ายพอจะคมคายอยู่บ้าง ส่วนเรื่องความสามารถด้านหมัดเท้าน่ะหรือ ในเมื่อเป็นสหายในยุทธภพของเจ้าศูนย์บ้านตน ฝีมือสูงหรือต่ำก็พอจะรู้กันได้แล้ว
เหตุใดเจ้าศูนย์ถึงได้มีชื่อเสียงที่ดีขนาดนั้นในยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของเพื่อนร่วมอาชีพ? ก็ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ควันธูปที่ได้มาจากการแพ้หมัดหรอกหรือ?
หากไม่เป็นเพราะเจ้าศูนย์เป็นคนมีคุณธรรม ข้าวทุกมื้อมีให้กินจนพออิ่ม ไม่เคยถ่วงเวลาการจ่ายเงินเดือน ไม่อย่างนั้นก็คงรั้งคนไว้ได้แค่ไม่กี่คนจริงๆ
เมื่อครู่นี้จางเจินเหรินก็ได้ถูกเจ้าศูนย์ลากตัวมาให้ช่วยถ่ายทอดวิชาหมัดชุดหนึ่ง เจ้าตัวดี คาดว่าคงเป็นเพราะยังไม่สร่างเมา ถึงได้วนเป็นวงกลมอ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยฝากความหวังไว้ที่คุณชายเฉินซึ่งมักจะออกท่องยุทธภพบ่อยๆ ผู้นี้มากนัก
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม กระตุกมุมหนึ่งของชุดกว้าตัวยาวสีเขียวมาเหน็บไว้ตรงเข็มขัด มาหยุดอยู่ข้างกายสวีหย่วนเสีย หันหลังให้กับลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธ แล้วเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาก่อนรอบหนึ่ง
พวกคนหนุ่มฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังหันมาสบตากัน
นี่ก็ถูกต้องแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของเจ้าศูนย์บ้านตน
เสี่ยวโม่หัวเราะ
ปณิธานหมัดของทั้งร่างประหนึ่งขุนเขาสายน้ำ ประหนึ่งฟ้าดินที่เชื่อมโยงถึงกัน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอย่างพวกอวี๋หง โจวไห่จิ้ง โชคดีได้เจอกับคุณชายบ้านตน ก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น
สวีหย่วนเสียนั่งลงข้างกายเสี่ยวโม่ พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ไหนเลยจะมองความตื้นลึกออก ทำให้เสี่ยวโม่เห็นเรื่องตลกแล้ว”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ต่างคนต่างมีสูงต่ำ ต่างคนต่างมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน”
สวีหย่วนเสียรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “ตลอดทางนี้รบกวนเสี่ยวโม่แล้ว”
เฉินผิงอันเป็นคนอย่างไรเขารู้ชัดเจนดียิ่งนัก ออกจากบ้านมาดื่มเหล้ากับตนและจางซานเฟิง หากไม่เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่มีทางพาคนมาด้วยเด็ดขาด
สวีหย่วนเสียมองไปยังเงาร่างที่ยิ่งนานหมัดเท้าก็ยิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วบนลานประลองยุทธ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเองก็อายุมากแล้ว หากเร็วกว่านี้สักสิบยี่สิบปี จะต้องดื่มเหล้ากับเสี่ยวโม่อย่างไม่เมาไม่กลับแน่นอน”
เสี่ยวโม่เอ่ยเสียงเบา “ในสายตาของคุณชาย บางทีจอมยุทธใหญ่สวีอาจจะไม่ถือว่าหนุ่มเท่าไรแล้วจริงๆ แต่เชื่อว่าในใจของคุณชาย จอมยุทธใหญ่สวีจะต้องเป็นจอมยุทธเคราดกผู้กล้าหาญที่เดินอยู่ท่ามกลางลมฝนคนนั้นตลอดไปอย่างแน่นอน”
ผู้เฒ่านวดคลึงปลายคาง ยิ้มเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็อยู่ในศูนย์ฝึกยุทธต่อไปอีกสามวัน สุดท้ายก็เป็นสวีหย่วนเสียที่ไล่คน ยิ้มด่าว่าเจ้าตะพาบใจดำอย่างเฉินผิงอันและจางซานเฟิงสองคนไม่เพียงแต่มากินเปล่าดื่มเปล่าอยู่ที่นี่ ยังรอคอยให้ตนตายเพื่อจะได้แบ่งสมบัติด้วยใช่ไหม?
หลายวันมานี้เฉินผิงอันคอยสอนหมัดและป้อนหมัดอยู่ตลอด ในที่สุดพวกลูกศิษย์ของศูนย์ฝึกยุทธที่รู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่ออีกฝ่าย ถึงได้เชื่อว่าคุณชายเฉินผู้นี้เป็นยอดฝีมือจริงๆ คาดว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะจัดการกับเจ้าศูนย์ได้ถึงสองคน
หากมาเปิดศูนย์ฝึกยุทธที่อำเภอ กิจการจะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้หญิงที่ต้องมีไม่น้อยแน่
เช้าตรู่วันนี้นั่งอยู่บนขั้นบันได เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้วพลางถือชามเหล้ามองจางซานเฟิงที่สอนหมัดอยู่ตรงนั้น พวกลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธออกหมัดกันอย่างประดักประเดิด แต่ละคนกลั้นขำ เฉินผิงอันเองก็กลั้นขำเหมือนกัน
ก่อนจะออกเดินทาง สวีหย่วนเสียพลันมีข้อเรียกร้องขอให้เฉินผิงอันช่วยเขียนกรอบป้ายของห้องโถงใหญ่ ยังบอกด้วยว่าต้องให้เป็นคำพูดที่วางโตสักหน่อย มีพลังอำนาจสักหน่อย
เตรียมพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกไว้เรียบร้อย เสี่ยวโม่ฝนหมึกให้อยู่ด้านข้าง เฉินผิงอันยกพู่กันเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ลงไปสี่ตัว ลงท้ายว่าเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพัว แล้วยังหยิบตราประทับส่วนตัวชิ้นหนึ่งออกมา ประทับลงไปด้านบน เป็นคำว่าเฉินสืออี
เฉินผิงอันวางพู่กันไว้บนที่วางพู่กัน หันไปมองสวีหย่วนเสีย ยิ้มเอ่ย “หากยังรู้สึกว่าไม่มีพลังอำนาจมากพอ สามารถเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นเก้าได้นะ”
สวีหย่วนเสียหัวเราะดังลั่น บอกว่านี่ก็พอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นศูนย์ฝึกยุทธใหญ่เท่าก้นแห่งนี้ย่อมสยบไว้ไม่อยู่
ตัวอักษรสี่ตัวบนกรอบป้ายคือคำว่า หมัดสยบหนึ่งทวีป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!