สามารถแบ่งออกได้คร่าวๆ เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ฝ่ายใน ฝ่ายนอก กลายเป็นเหมือนพระราชวังแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ในเมือง นอกเมือง บวกกับภูเขาใต้อาณัติที่อยู่รอบด้าน ก็กลายเป็นอาณาเขตของเมืองหลวงแล้ว หากยังมีสำนักเบื้องล่างก็จะคล้ายคลึงกับการสร้างเมืองหลวงสำรองแห่งหนึ่งขึ้นมา
ในภูเขามีคนน้อยก็เหมือนน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด
แต่หากสำนักไม่มีมรรคกถาสูงส่งสองสามบทไว้สำหรับการสืบทอด ก็จะกลายเป็นไม้ที่ไร้ราก มิอาจรั้งตัวผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนไว้ได้ ยากที่จะมีภาพบรรยากาศอันรุ่งเรืองได้เช่นกัน
ก็เหมือนอย่างคาถาศิลาขอฝนข้างศาลเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่เฉินผิงอันได้มาครองที่เหมาะให้เซียนดินฝึกตนมากที่สุด และใต้หล้าไพศาลก็มีภูเขาใหญ่จำนวนไม่น้อยที่มีมรรคถาหรือไม่ก็คาถาเซียนพื้นฐานที่สืบทอดจากบรรพบุรุษหนึ่งชนิดหรือถึงขั้นหลายชนิดที่สามารถช่วยให้ลูกศิษย์เปิดช่องโพรงได้โดยเร็วที่สุด หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ยังสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้โดยไว ขึ้นเขาเร็ว อีกทั้งฝีเท้ายังมั่นคง ตำราลับและเวทคาถาตระกูลเซียนประเภทนี้ถูกเรียกขานว่า ‘วิชาเปิดประตู’ และ ‘คาถานำทาง’ จะเป็นตัวตัดสินความตื้นลึกของรากฐานพรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่งโดยตรง สามารถดึงดูดตัวอ่อนด้านการฝึกตนจำนวนมากให้จับมือกันฝ่าทะลุขอบเขตก่อนหน้าที่จะเดินขึ้นเขา
และคาถาอย่างคาถาขอฝนก็ถือเป็นมรรคกถากึ่งกลางภูเขาประเภทหนึ่ง สามารถหลบเลี่ยงภัยแฝงที่จะทำให้สำนักแห่งหนึ่งเกิดการชักหน้าไม่ถึงหลังได้
อันที่จริงหากเฉินผิงอันคิดจะไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลจริงๆ ตรงหน้าก็มีวิธีที่เห็นผลทันตา มีทางลัดเส้นหนึ่งให้เดิน
เด็กชายผมขาวที่ตรอกฉีหลงซึ่งทุกวันนี้ยังคงเป็นแค่ ‘ลูกศิษย์นักการที่ไม่ได้รับบันทึกลงทำเนียบ’ ได้สืบทอดความทรงจำส่วนใหญ่ของอู๋ซวงเจี้ยงมา นอกจากวิชาลับบางส่วนที่ไม่ถ่ายทอดให้ใครของตำหนักสุ้ยฉูที่ต้องเก็บรักษาไว้ซึ่งถูกอู๋ซวงเจี้ยงใช้วิชาลับเฉพาะปิดผนึกความทรงจำเหมือนปิดภูเขาแล้ว บนเส้นทางของ ‘วิชาเบ็ดเตล็ด’ ก็ยังคงมากพอชวนทึ่ง เป็นเหตุให้ตัวเด็กชายผมขาวเองกลายเป็นเหมือนคลังลับของมรรคกถาครึ่งหนึ่งแห่งตำหนักสุ้ยฉู เพียงแต่เฉินผิงอันทั้งไม่ยินดีแล้วก็ไม่เหมาะที่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้
ถึงอย่างไร ‘คงโหว’ เทวบุตรมารนอกโลกที่ในอดีตคือเทียนหรานผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักสุ้ยฉูก็แค่มาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาลั่วพั่วหรือสำนักกระบี่ชิงผิง ล้วนมีภารกิจหนักหน่วง อนาคตควรค่าแก่การคาดหวัง
ข้างโต๊ะมีสตรีคนหนึ่งขมวดคิ้วน้อยๆ โบกมือไล่ควันขโมงให้สลายหายไป
นางอดทนกับบุรุษโต๊ะข้างๆ มานานมากแล้ว ควันลอยมาตามลมทำให้กลิ่นหอมของชาตนลดหายไปเกินครึ่ง
เพียงแต่ว่าเรื่องทำนองนี้ไม่เหมาะจะให้นางเปิดปากพูดอะไรมาก ก็เหมือนดื่มเหล้าอยู่ในเหลาสุรา หากมีใครเสียงดังเอะอะ เขาก็เสียงดังอยู่ที่โต๊ะเหล้าของตัวเองเท่านั้น
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสตรีคนนั้นจึงรีบเก็บกระบอกยาสูบ หันไปมองนางด้วยสายตาขออภัย
สตรียิ้มบางๆ ผงกศีรษะตอบรับ
นางทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยโต่วลี่ (ถ้วยปากกว้างก้นแคบ) ขึ้นถือเป็นการคาระกลับคืน
เพราะถึงอย่างไรต่างก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ออกมาท่องเที่ยวอยู่ด้านนอก คนชุดเขียวยินดียอมถอยให้เช่นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว
จากการรายงานขุนเขาสายน้ำที่มาจากทวีปอื่น หากอยู่ที่อุตรกุรุทวีป อีกฝ่ายไม่ตบโต๊ะ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘มองอะไรของเจ้า’ ก็ถือว่าเกรงใจกันมากแล้ว
ดังนั้นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปในทุกวันนี้ ต่อให้มีคนข้ามทวีปเดินทางไกลก็จะเลือกทักษินาตยทวีปก่อน ไม่มีทางยินดีเป็นฝ่ายไปเยือนสองทวีปที่อยู่ทางเหนือแน่
คงเป็นเพราะสังเกตเห็นถึงความขี้ขลาดเหมือนหนูของคนชุดเขียว แสดงว่าต้องไม่ใช่เซียนซือทำเนียบที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนใหญ่แน่นอน
จึงมีลูกค้าโต๊ะน้ำชาอีกโต๊ะที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ท่าทางเปี่ยมไปด้วยพละกำลังเปิดปากถามว่า “แม่นางน้อยพูดจาวางโตไม่เบา ใครมอบคุณสมบัติให้เจ้า ถึงได้กล้าพูดจาส่งเดชถึงลำดับรายชื่อของปรมาจารย์ด้านการฝึกวรยุทธที่อยู่บนยอดเขาพวกนี้”
หากมีเงินจริงๆ ใครเล่าจะเลือกเรือเล็กผุพังลำนี้มาล่องแม่น้ำเพ่ยเจียงชมทัศนียภาพ? แต่กลุ่มของตนกลับไม่เหมือนกัน เป็นเพราะคุณชายอวี่เหวินที่มีชาติกำเนิดจากเชื้อพระวงศ์ทั้งยังฝึกตนประสบความสำเร็จต้องการมาสัมผัสกับความทุกข์ยากของชาวประชา ไม่อย่างนั้นคิดจะเรียกเรือยันต์บนภูเขาลำหนึ่งออกมาท่องแม่น้ำเพ่ยเจียงก็ยังไม่เป็นปัญหา ส่วนชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ติดตามก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะได้ตำแหน่งปรมาจารย์มาครอบครองแล้ว บวกกับที่เขายังเป็นผู้เลื่อมใสหวงอีอวิ๋น แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางทนรับฟังคำพูดเหลวไหลจากหญิงสาวคนนั้นได้
พูดจาวางโตถึงเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ไปถามหมัดกับหวงอีอวิ๋นสักครั้งเล่า? อย่าว่าแต่เจ้าภูเขาเย่ที่แม้แต่จะพบหน้าก็ยังยากเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์อย่างอาจารย์เซวียที่เป็นผู้สืบทอดของนาง หากคิดจะถามหมัดขึ้นมาจริงๆ ถึงเวลานั้นก็อย่าร้องไห้ตอนโดนต่อยเข้าล่ะ
เผยเฉียนเอ่ยอย่างเฉยเมย “การสืบทอดจากอาจารย์”
คุณชายที่รูปโฉมหล่อเหลาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นคล้ายจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ ในมือเขาถือพัดพับที่หุบไว้ ใช้เส้นด้ายสีทองห้อยกระบี่ไม้ท้อเล็กจิ๋วน่ารักไว้ตรงปลายด้ามพัด เขายิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางชื่อแซ่ใด อาจารย์ผู้สืบทอดคือใคร?”
เผยเฉียนตอบ “พบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ ไม่รู้จักมักจี่ ไยต้องถามชื่อแซ่”
ชายฉกรรจ์ที่เปิดปากพูดก่อนใครทนฟังแม่นางน้อยคนหนึ่งพูดจาเป็นคนแก่มากประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จึงกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะหนักๆ เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุนว่า “ใครมอบความกล้าให้เจ้ากัน ถึงได้กล้าพูดจาเช่นนี้กับคุณชายอวี่เหวิน?”
เผยเฉียนเหล่ตามองคนผู้นั้น หัวเราะหึหึตอบว่า “หมัดและเท้า”
ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน แสร้งทำเป็นพูดอย่างกรุ่นโกรธว่า “ใครเป็นคนสอนสตรีร้ายกาจอย่างเจ้ากัน?!”
เฉินผิงอันเปิดปากยิ้มเอ่ย “ข้าเอง”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ท่าเรือเหย่อวิ๋นบ้านตนซึ่งแค่แขวนชื่อไว้ใต้นามของภูเขาหลิงปี้ เฉินผิงอันหาข้ออ้างอย่างขอไปที บอกว่าหมายตาของชิ้นหนึ่ง เปลี่ยนใจคิดจะเอามันมาไว้ในมือ แล้วย้อนกลับไปเพียงลำพัง ร่ายร่างเมฆาวารี ไปเยือนคุกที่ภูเขาหลิงปี้ใช้ขังผู้ฝึกลมปราณ ไปพบเจอชายฉกรรจ์ที่ถึงกับกล้าคิดแต๊ะอั๋งเผยเฉียน สอนหลักการเหตุผลง่ายๆ ว่ายามออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ‘หากควบคุมดวงตาได้ไม่ดี แต่ก็ควรควบคุมมือของตัวเองให้ดี’ ให้กับอีกฝ่ายโดยไม่คิดเงิน
แล้วถือโอกาสถามประวัติความเป็นมาของคนกลุ่มนี้ให้แน่ชัด ที่แท้ก็เป็นลูกน้องขององค์ชายแคว้นต้าเซี่ยเก่าที่การกอบกู้แคว้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ที่รับคำสั่งให้ออกมาหาเงินข้างนอกอย่างพวกเขามีมากถึงยี่สิบกว่ากลุ่ม ต่างฝ่ายต่างได้รับภารกิจลับ ให้สมัครรวบรวมเซียนซือทำเนียบเก่าที่ภูเขาปริแตกซัดเซพเนจร รวมไปถึงผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาและชายฉกรรจ์ที่กลายเป็นโจร ราชสำนักบ้านตนไม่สนใจชาติกำเนิดของพวกเขาแม้แต่น้อย วีรบุรุษไม่ต้องสอบถามถึงที่มา ขอแค่ยินดีตอบตกลง เดินทางมาเยือน ‘เมืองหลวง’ รอบหนึ่งแล้วลงเอกสารอยู่ในบันทึกของกรมพิธีการกับกรมคลัง ก็สามารถเดินขึ้นฟ้าได้ด้วยก้าวเดียว กลายมาเป็นนายท่านผู้ถวายงานของราชวงศ์ต้าเซี่ย กินอาหารของเชื้อพระวงศ์ มีตำแหน่งขุนนาง ได้เสวยสุข
คงเป็นเพราะเซียนซือที่ลงจากภูเขาเดินทางมาท่องเที่ยวกลุ่มนั้นไม่เคยเห็นใครพูดคุยกับคนอื่นเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่ารู้สึกน่าสนใจ ไม่เหลือไฟโทสะอีกแล้ว
ผู้คนรอบด้านมีคนอดไม่ไหวหลุดเสียงหัวเราะออกมา
สองคนในนั้นคือสตรีที่นั่งกันอยู่คนละโต๊ะ ดวงตาของพวกนางคลอประกายฉ่ำน้ำแฝงไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก หันมามองคนคนเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คนที่พวกนางลอบมองก็คือเฉาฉิงหล่าง
ช่างเป็นบุรุษที่รูปงามยิ่งนัก สุภาพอ่อนโยน ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!