สวี่ชิงจู่เอ่ย “ข้าต้องกลับภูเขาไปปิดด่านทันที จึงไม่อาจขึ้นฝั่งไปช่วยปกป้องมรรคาให้กับเซวี่ยนฉวีได้แล้ว”
โค่วเซวี่ยนฉวียกจอกเหล้าขึ้น เป็นจอกเทพีบุปผาเลียนแบบใบหนึ่งที่มาจากแจกันสมบัติทวีป นางคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ไหนเลยจะกล้าให้เจ้าแห่งถ้ำสถิตปกป้องมรรคาให้ ในอนาคตหากยังสามารถเดินลงน้ำได้ ค่อยรบกวนเจ้าแห่งถ้ำสถิตก็แล้วกัน”
สวี่ชิงจู่ที่สีหน้าเย็นชาคลี่ยิ้มรับ ชูถ้วยชาที่ขั้นตอนการเผานับว่ายังประณีตอยู่บ้างขึ้นมา “เช่นกัน”
ดื่มชากันไปแล้ว เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้ให้โค่วเซวี่ยนฉวีเดินไปส่ง คนทั้งสามออกมาจากศาลด้วยกัน เดินเล่นอยู่ริมชายฝั่งที่ต้นกำเนิดแม่น้ำเพ่ยเจียง
สวี่ชิงจู่ลูบศีรษะของเย่เสวียนจีที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มถามว่า “เสวียนจี ครั้งนี้อุตส่าห์ได้ติดตามเจ้าขุนเขาออกมาจากบ้าน ไม่ได้แอบซื้อรายงานข่าวหรือ?”
เย่เสวียนจีเหลือบมองหวงอีอวิ๋นที่เป็นทั้งเจ้าประมุขสกุลเย่และเป็นทั้งเจ้าขุนเขาผูซาน
ไม่กล้าพูด
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “ขอแค่ไม่เอารายงานขุนเขาสายน้ำที่อ่านแล้วกลับไปที่ผูซานก็พอ”
เย่เสวียนจีถึงได้ยอมเปิดปากเล่าเรื่องคนประหลาดเรื่องน่าสนใจของแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางเหนือให้เจ้าขุนเขาและผู้อาวุโสรุ่นเยว่ฟัง
ยกตัวอย่างเช่นได้ยินมาว่าภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือของแจกันสมบัติทวีปจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกแล้ว
น่าเสียดายที่รายงานขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปบ้านตนข่าวสารติดขัดเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องราวมากมายบนภูเขาล้วนเป็นการกระพือข่าวลือ หรือไม่ก็ยกเอาเนื้อหาที่คัดลอกจากรายงานของแจกันสมบัติทวีปมา เป็นเหตุให้ผ่านมือคนมาสองคนหรือถึงขั้นสามคนแล้ว ความหมายย่อมไม่มาก ยกตัวอย่างเช่นจนถึงตอนนี้ เย่เสวียนจีถึงเพิ่งจะรู้ว่าจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูกอุตรกุรุทวีปคนนั้นถึงกับปลดประจำการจากตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว และยังมีช่วงเวลาระหว่างที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางทำการประชุม มียอดฝีมือไม่ทราบนามที่จู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาบนโลกคนหนึ่ง เรียกตัวเองว่า ‘นักพรตเนิ่น’ มรรคกถาไร้เทียมทาน เวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้าจนน่าตะลึง ถึงกับเล่นงานจนบินทะยานเฒ่าคนหนึ่งไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ จากนั้นก็มีเซียนเหรินจากหอเซียนจิ่วเจินคนหนึ่งที่ก็ถูกเซียนกระบี่หนุ่มไม่ทราบประวัติความเป็นมาถามกระบี่ที่เกาะยวนยางสถานที่อันตราย ฝ่ายแรกเกือบต้องซี้แหงแก๋ไปแล้ว แน่นอนว่ายังมีภูเขาชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วอีกแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งอยู่ในทวีปเดียวกัน สร้างความอึกทึกครึกโครมใหญ่เทียมฟ้า บอกว่าภูเขาถล่มแผ่นดินทลายก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย
พอได้ยินเรื่องการเข้าร่วมงานพิธี ในที่สุดสวี่ชิงจู่ก็เปิดปากยิ้มเอ่ย “อวิ๋นอวิ๋น บังเอิญยิ่งนัก ดูเหมือนเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้จะชื่อว่าเฉินผิงอัน เขาเดินขึ้นเขาด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับเจ้า เป็นทั้งผู้ฝึกตน แล้วก็เป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธด้วย”
เห็นได้ชัดว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นเคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “บอกว่าคล้ายคลึงกัน แต่อันที่จริงกลับแตกต่างกันอย่างมาก อีกฝ่ายไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ ยิ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบตอนอายุสี่สิบกว่าปีพอๆ กับเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะด้วย หากเพียงแค่อิงตามคำกล่าวบนรายงาน แล้วข้าสามารถถามหมัดกับเขาได้ โอกาสชนะคงมีไม่มาก”
สวี่ชิงจู่จุ๊ปากสองที “คำพูดแบบนี้ก็มีแต่หวงอีอวิ๋นเท่านั้นแหละที่ยืนพูดไม่ปวดเอว”
นางเอ่ยต่อด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย “คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ เจ้าออกจากบ้านมาครั้งหนึ่งก็ได้ยาชุดขนนกไปเปล่าๆ สองเตา ดูข้าสิ ไม่ได้ขยับเท้าออกจากบ้านแม้แต่น้อยก็ไปมีเรื่องกับใต้เท้าเจ้าเมืองแซ่เหยาของราชวงศ์ต้าเฉวียนเสียได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพูดอย่างโผงผาง “นี่เรียกว่าบ้านใหญ่คนน้อย ภูตผีมากมายออกอาละวาด บ้านเล็กคนเยอะ กลับง่ายที่จะปะทะคารมกัน”
สวี่ชิงจู่โมโหไม่เบา ยื่นมือไปหยิกแขนของเย่อวิ๋นอวิ๋น
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่สนใจ เพียงแค่ว่าตรงหว่างคิ้วมีความกลัดกลุ้มอยู่จางๆ ราวกับมีความกังวลยิ่งกว่าสวี่ชิงจู่เสียอีก
ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสวี่ชิงจู่มีเด็กคนหนึ่งที่ชื่อเล่นว่าหลินจื่อ มีชื่อว่าหม่าหลินซื่อ เจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ออกจากสำนักไปหาประสบการณ์ครั้งหนึ่งก็สร้างเรื่องก่อราวไว้ไม่น้อย อันดับแรกก็เป็นที่นครเซิ่นจิ่งแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ไปทะเลาะมีเรื่องกับคนขาเป๋แขนด้วนผู้หนึ่ง หลังจบเรื่องถึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าเมืองของเมืองหลวง เป็นน้องชายของฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียน บรรดาศักดิ์คือจวิ้นหวังขั้นหนึ่งชั้นโท
ภายหลังยังไปมีเรื่องกับคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียง เดือดร้อนให้โหยวชีถูกเด็กคนหนึ่งที่ตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ‘หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน’ เตะกลิ้ง อีกทั้งมองดูแล้วยังเป็นการบดขยี้อย่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้เอาคืนอีกด้วย ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ฝึกตนเป็นเซียน ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเป็นขอบเซียนดินขอบเขตประตูมังกรแล้ว แต่กลับถูกเด็กที่ฝึกหมัดคนหนึ่งสั่งสอนอย่างหนักหน่วง
ทว่าทางฝั่งของถ้ำมังกรขาว หลังจากผ่านการประชุมของศาลบรรพจารย์ไปแล้วก็ไม่เหลือความคิดที่จะไปซักไซ้เอาผิดกับใครอีก
หนึ่งเพราะบรรพจารย์ที่รับหน้าที่เป็นเจ้าแห่งถ้ำมานานหลายปีอย่างนางรังเกียจความยุ่งยาก นับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะปิดด่าน พยายามฝ่าทะลุขอบเขต กิจธุระทั้งในและนอกภูเขา ทางที่ดีที่สุดอย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
นอกจากนี้ถ้ำมังกรขาวยังกลัวว่าปัญหาใหญ่นี้ยิ่งนานก็จะยิ่งลุกลามมากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีหน้าตาแล้วกลับต้องบาดเจ็บถึงภายใน มีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวงที่ควบตำแหน่งจวิ้นหวังของราชวงศ์ต้าเฉวียน หรือพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา บุรุษที่ตอนนั้นยืนอยู่ข้างกายเย่อวิ๋นอวิ่นแล้วเรียกขานนางคำแล้วคำเล่าว่า ‘พี่หญิงเย่’ เป็นคนเหลาะแหละเสเพลถึงเพียงใด แต่กลับทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่พูดอะไรสักคำได้ นี่ก็อธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นข้างกายเด็กกลุ่มนั้นยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่ตบะลึกล้ำยากคาดเดาอยู่ด้วย คำพูดคำจาของเขาแสดงให้เห็นว่าไม่เห็นถ้ำมังกรขาวอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ลูกศิษย์ที่รักที่อายุไม่ถึงสิบขวบก็เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตคนนั้นจึงถูกนางสั่งกักบริเวณไปแล้ว เด็กที่ตอนฝึกตนอยู่ในภูเขาก็ดูเป็นเด็กดีเป็นคนซื่อ คิดไม่ถึงว่าพอลงจากภูเขาจะกลายเป็นตัวก่อเรื่องเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะเย่อวิ๋นอวิ๋นจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผลของสหายรัก
แต่เป็นเพราะภัยแฝงของภูเขาบ้านตนใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าจริงๆ
เรื่องวงในบางอย่าง อย่าว่าแต่คนนอกอย่างสวี่ชิงจู่เลย แม้แต่แม่หนูเย่เสวียนจีก็ยังไม่รู้เรื่อง
ยกตัวอย่างเช่นกวอป๋ายลู่ผู้นั้น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่คุณสมบัติดีเยี่ยม อีกทั้งอายุยังน้อยมาก
หลังจากอีกฝ่ายออกไปจากอาณาเขตของผูซานได้ไม่นานก็เจอกับการลอบฆ่าอย่างเงียบเชียบครั้งหนึ่ง อันตรายอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าถูกเจียงซ่างเจินขัดจังหวะ กวอป๋ายลู่ถึงได้รอดพ้นหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันรู้ตัวซึ่งเดิมทีถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ร่องรอยให้ตามหาครั้งนั้นมาได้ ด้วยขอบเขตและวิธีการของเจียงซ่างเจินยังไม่อาจจับตัวนักฆ่าคนนั้นได้อย่างแท้จริง เพราะดูเหมือนว่านักฆ่าจะใช้วิชาตัวตายตัวแทนที่สูงส่ง
ภายหลังอริยะบู๊อูซูได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวข้ามทวีปจากเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานก็รีบกลับมาที่ใบถงทวีปที่เป็นบ้านเกิดอย่างเงียบเชียบทันที
เดิมทีเขาคิดว่าจะถามหมัดกับเย่อวิ๋นอวิ๋นครั้งหนึ่ง แต่เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับปฏิเสธ แม้อู๋ซูจะรู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี แต่ก็ไม่ได้ฝืนใจอีกฝ่าย
ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ลูกศิษย์กวอป๋ายลู่ถูกลอบโจมตีทำให้เขาพานโกรธเอากับผูซาน ไม่ได้ใกล้เคียงเลย แต่เป็นเพราะอู๋ซูรู้สึกว่าตัวเองบังเอิญ ‘ผ่านทางมาและสะดวกพอดี’
ต้องยกคุณความชอบให้กับคำเตือนแต่เนิ่นๆ ของเจียงซ่างเจิน ด้วยกังวลว่าตนและอู๋ซูจะพากันหล่นลงในหลุมพรางบางอย่าง เย่อวิ๋นอวิ๋นถึงไม่ได้ตอบตกลงถามหมัดกับอู๋ซูทั้งที่เดิมทีแล้วนางรอคอยมานาน
ภายหลังเย่อวิ๋นอวิ๋นก็เริ่มเรียบเรียงเส้นสายที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ภาพเซียนเหรินหันหน้าเข้าหาภาพวาดฝาผนัง มองเห็นเพียงแผ่นหลัง มองไม่เห็นรูปโฉมของคนที่อยู่ในภาพวาด
ให้ความรู้สึกราวกับว่า ‘ชะตาชีวิตหันหลังให้ ไม่เป็นที่ยอมรับบนโลกใบนี้’
เป็นเหตุให้โลกภายนอกมีการเล่าลือกันว่าหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานเตรียมจะปิดด่าน นับแต่นี้จะวางเรื่องการเรียนวรยุทธไว้ก่อน หันมาตั้งใจฝึกตน หมายจะช่วงชิงขอบเขตบินทะยานที่เป็นอมตะไม่เสื่อมสลายมาครอง ไม่ใช่เรื่องขบขันไร้สาระที่ปั้นน้ำเป็นตัวอะไรเลยจริงๆ
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันพูดพึมพำกับตัวเองว่า “วันหน้าไม่สู้ผูซานคลายคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำตามไปด้วยดีไหม? ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่จะบีบให้พวกเรามิอาจแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดได้อีกแล้ว”
ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็ไม่ใช่ใบถงทวีปที่ตามองสูงไม่เห็นหัวใครเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!