ตามคำกล่าวของเจ้าขุนเขาก็คือเฉาเซียนซือที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับผูซานและตำหนักพยัคฆ์เขียว
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ได้ยินมานานแล้วว่าผู้คุมกฎถานคือยอดฝีมือด้านหินทองบนภูเขา เก็บสะสมร่างแบบตราประทับพันเล่มกับตราประทับหมื่นชิ้น ผู้เยาว์ต้องขอใช้โอกาสอันดีนี้ไปเที่ยวชมเรือนพันทองหมื่นหินของผู้คุมกฎถานสักครั้งแน่นอน”
“คิดไม่ถึงว่าเฉาเซียนซือก็ชอบเรื่องพวกนี้ด้วย?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของถานหรงยิ่งกดลึกมากกว่าเดิม ต้องรู้ว่าก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้ มีเรื่องที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือตอนอายุครึ่งร้อยก็ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ‘สองทอง’ ของศาลบรรพจารย์ผูซานแล้ว เป็นทั้งผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองแล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธร่างทองอีกด้วย เป็นเหตุให้เคยแกะลักตราประทับส่วนตัวด้วยตัวเองหนึ่งคู่ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ถานหรงเก็บสะสมตำราตราประทับและตราประทับไว้มากมาย
ถานหรงนำแขกที่มาจากภูเขาเซียนตูกลุ่มนี้ทะยานลมไปยังจุดรับรองแขกของภูเขาผูซานด้วยกัน สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่เหนือทะเลเมฆนอกหน้าผาใกล้กับศาลบรรพจารย์บนยอดเขา
มีเพียงต้องรับรองแขกสูงศักดิ์เท่านั้น เรือนอวิ๋นฉ่าวถึงจะเลือกที่แห่งนี้ ตรงจุดลึกของเมฆขาวมีต้นไม้โบราณเสียดฟ้าพุ่มใบเขียวชอุ่มอยู่ต้นหนึ่ง ร่มเงาแผ่กว้างกินอาณาบริเวณหลายร้อยไร่ รอบด้านล้อมด้วยราวรั้วหยกขาว
ลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าว ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ล้วนเป็นพวกมากความสามารถ แทบทุกคนต่างก็เชี่ยวชาญศาสตร์พิณ หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาด คุณความชอบส่วนใหญ่ล้วนมาจากที่นี่
ระหว่างทางก่อนหน้านั้นพูดคุยกับเฉาเซียนซืออย่างถูกคอ ทีแรกยังนึกว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดคุยถึงด้านหินทองแล้วจะพูดแค่ถ้อยคำตามมารยาทที่ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเงินหมายกระชับความสัมพันธ์ คาดไม่ถึงว่ายิ่งสองฝ่ายพูดคุยกันกลับยิ่งถูกคอ พูดถึงร่างตราประทับบางอย่างที่มีคนรู้จักน้อยนิด คำวิจารณ์ของอีกฝ่ายมักจะเข้าเป้าตรงประเด็นเสมอ มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก ไม่มีทางเพิ่งคิดขึ้นมาได้ เพราะเป็นถ้อยคำของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่แค่ว่าอ่านตำราตราประทับไม่กี่เล่มก็พูดออกมาได้
เสี่ยวโม่เข้าใจหลักการเหตุผลอีกข้อหนึ่ง มีสารพัดความรู้ติดตัว ย่อมไม่มีทางเสียเปล่า ต้องมีช่วงเวลาที่ได้ใช้งานเสมอ
เผยเฉียนเหล่ตามองคนบางคน คล้ายกำลังพูดว่าอาจารย์พ่อของข้าทำได้ เจ้าทำได้หรือไม่? เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจประสาอะไรกัน?
เฉาฉิงหล่างอ่อนใจยิ่งนัก อยู่ดีๆ ก็อดคิดถึงศิษย์น้องกวอขึ้นมาไม่ได้
หากกวอจู๋จิ่วอยู่ที่นี่ คนที่ต้องปวดหัวที่สุดก็ต้องเป็นเผยเฉียนแล้ว
ทุกครั้งที่ร้อยบุปผาเบ่งบานบนต้นไม้ เมื่อดอกไม้ผลิบานก็จะมีสาวงามตัวจิ๋วน่ารักน่าถนอมเผยกายอยู่ในนั้น พวกมันล้วนเป็นภูติพฤกษาที่หล่อหลอมเรือนกายสำเร็จ
สุดยอดแห่งทัศนียภาพอันงดงามบนตระกูลเซียนที่มีเฉพาะบนภูเขาประเภทนี้ไม่เพียงแต่เผาผลาญปราณวิญญาณฟ้าดินไปอย่างมหาศาล ต่อให้เป็นถานหรงกับเซวียไหวก็ไม่ใช่ว่าใครอยากเห็นก็ได้เห็น เจ้าประมุขของผูซานแต่ละยุคแต่ละสมัยต่างเคารพนอบน้อมต่อเจ้าตัวน้อยพวกนี้มาโดยตลอด ห้ามไม่ให้ใครไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของพวกมัน ดังนั้นเจ้าพวกตัวน้อยจึงเจ้าอารมณ์กันไม่เบา มักจะเกียจคร้านเฉื่อยงานกันเสมอ หากดอกไม้บานแล้วเอาแต่นอนคว่ำอยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับไปไหน ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้มาก่อน จะสั่งสอนก็สั่งสอนไม่ได้ จะตีจะด่าก็ยิ่งตัดใจไม่ลง ยังจะทำอย่างไรได้อีก ต้องรู้ว่าคราวก่อนแขกผู้สูงศักดิ์สองคนมาเยือน เป็นถึงสวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกที่นำพาเจ้าสำนักคนใหม่อย่างเจียงซ่างเจินมาเยี่ยมเยือนภูเขาผูซานด้วยกัน
คราวก่อนที่ดอกไม้บาน เสียงด่าดังขรมไม่ขาดสาย ถึงขั้นที่ว่ายังมีภูตไม่น้อยที่บ้างก็เท้าเอว บ้างก็เต้นผางถ่มน้ำลายใส่เจียงซ่างเจิน
เจ้าสำนักคนใหม่ที่เป็นบุรุษเอ้อระเหยเสเพลได้แต่วิ่งวุ่นไปทั่ว ชูสองมือรองรับ ‘น้ำฝน’ เหล่านั้น แล้วยังทำหน้าตายิ้มแย้มพูดติดๆ กันว่าขอบคุณๆ อีกด้วย
สุดท้ายยังทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ฝนดีรู้เวลาตก พบเจอข้าก็พรำลงมาพอดี’
แขกสูงศักดิ์ที่เป็นเช่นนี้ มาเยือนให้น้อยจะดีกว่า
ดังนั้นครั้งนี้ก่อนที่ผู้คุมกฎถานหรงจะลงจากภูเขาก็ได้ตั้งใจมาบอกกล่าวไว้ที่นี่ก่อนล่วงหน้า แล้วยังฝืนมโนธรรมในใจพูดด้วยว่าแขกสูงศักดิ์กลุ่มที่มากันในวันนี้ เฉาหรงที่อยู่ในกลุ่มคน แม้จะมีตำแหน่งเป็นเค่อชิงปลายแถวของสำนักกุยหยก แต่อันที่จริงเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจียงซ่างเจินเลยแม้แต่น้อย ผู้คุมกฎเฒ่ากังวลว่าจะเกิดเรื่องจึงพูดย้ำเรื่องยาลืมตนสองเตาของตำหนักพยัคฆ์เขียวซ้ำอีกรอบ รวมไปถึงเรื่องของ ‘เจิ้งเฉียน’ ด้วย พวกภูตน้อยมีสีหน้ากระตือรือร้น วาดฝันจินตนาการไว้มานานแล้ว
เมฆขาวเหมือนพรมที่ปูแผ่อยู่บนฟ้า แสงสว่างจ้าราวกับทิวากาล
ด้านข้างม้านั่งหินหยกขาวหลายสิบตัวที่เรียงตัวเหมือนดวงดาว ถานหรงรอให้แขกทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เซียนซือเฒ่าถึงได้หยิบชิ่ง (เครื่องดนตรีที่แขวนไว้สำหรับเคาะหรือตี) ทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็ก สีเหมือนหยกมรกตชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้นิ้วเคาะลงไปเบาๆ สามที เสียงดังกังวานก็ดังก้องไปไกล
บนต้นไม้ตั้งแต่สูงถึงต่ำ บุปผาเบ่งบานไล่ระดับ เหล่าสตรีที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้ เรือนกายอรชรบ้างก็ร่ายรำ บ้างก็ดีดพิณ เป่าขลุ่ย บ้างก็ใช้ภาษาโบราณขับร้องบทเพลง พวกนางมีความสูงประมาณหนึ่งนิ้ว โฉมงามดุจเซียนเอ๋อเหมย มวยผมสูงแบบโบราณ สวมชุดกระโปรงบางแขนยาวและกว้าง กลิ่นหอมลอยอวลอยู่รอบด้าน ภาพบรรยากาศงดงามชวนเคลิบเคลิ้มทั้งยังมีกลิ่นอายเซียนล่องลอย
รอกระทั่งภาพเหตุการณ์นี้ยุติลง เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืนกุมหมัดขอบคุณเหล่าเซียนเจินที่พักพิงอยู่ในต้นไม้โบราณเหล่านั้น พวกเสี่ยวโม่สามคนย่อมลุกขึ้นตามด้วย
มีสตรีร่างเล็กจิ๋วคนหนึ่งพกตราลัญจกรหยกขาว บนศีรษะสวมมงกุฎไท่เจินแบบโบราณ รูปโฉมงามพริ้ง บุคลิกสง่าแผ่ราศี นางขยับเท้าสองสามก้าวมายืนอยู่ข้างกลีบดอกไม้ ถามว่า “เฉาเซียนซือ ได้ยินผู้คุมกฎถานบอกว่าท่านมาจากสำนักกุยหยกหรือ? ท่านรู้จักอดีตเจ้าสำนักเจียงที่มีคุณความชอบทางการสู้รบเกริกก้องหรือไม่?”
ถานหรงเป็นกังวลยิ่งนัก เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่สะดวกจะใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเฉาโม่
เฉินผิงอันกลับรู้ทันนานแล้ว ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าสตรี ใครกล้าพูดว่าตัวเองเป็นสหายกับเจียงซ่างเจิน โง่หรือไร เขาจึงส่ายหน้ายิ้มกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เฉาโม่เป็นเพียงแค่เค่อชิงปลายแถวของสำนักกุยหยก ไหนเลยจะโชคดีได้รู้จักกับอดีตเจ้าสำนักเจียง เขาอยู่สูงเกินกว่าที่ข้าจะปีนป่ายได้ถึงจริงๆ”
ภูเขาลั่วพั่วบ้านข้ามีแค่โจวเฝย โจวอันดับหนึ่ง ไม่เคยรู้จักเจียงซ่างเจินอะไรทั้งนั้น
สตรีผู้นั้นกึ่งเชื่อกึ่งกังขา สุดท้ายก็ได้แต่จุ๊ปากส่ายหน้า “บุรุษนี่นะ”
นางไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
สุราของผูซานมีชื่อเสียงยิ่งกว่าชาเมฆหมอกมากนัก อยู่บนภูเขาก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นเหล้าหมักร้อยบุปผาน้อย
แค่มอบให้ไม่มีขาย ผูซานไม่ได้ขาดเงิน
ลำพังเพียงแค่ค่าเช่าบนพื้นที่ขุนเขาสายน้ำนอกผูซานก็มีเจ็ดสิบกว่าแห่งแล้ว ดังนั้นบรรพจารย์ที่ดูแลเงินทองของผูซานจึงเป็นคนที่สบายที่สุด ก่อนหน้านี้มีการประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งหนึ่งปรึกษากันเรื่องเก็บเงินค่าเช่าในแต่ละสถานที่หลังสงครามใหญ่ผ่านพ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่อวิ๋นอวิ๋นพูดจาอย่างเรียบง่าย เอ่ยแค่สองคำเท่านั้น ช่างมัน
โดยทั่วไปแล้วเย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่ค่อยเข้าร่วมดูแลกิจธุระทั้งหลายสักเท่าไร หาเงินใช้เงิน นางเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านมาโดยตลอด ทว่าขอแค่นางปรากฏตัว แต่ไหนแต่ไรก็มักจะตัดสินใจอย่างเผด็จการเสมอ
เจ้าขุนเขาเอ่ยปากแล้ว ก็ไม่ต้องปรึกษาพูดคุยอะไรกันอีก เพียงไม่นานผูซานก็ประกาศออกไปว่าไม่ว่าจะเป็นมหาบรรพตที่มีชื่อเสียงหรือแม่น้ำทะเลสาบ ศาลแห่งใดก็ตาม ขอแค่เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องชอบธรรมก็ล้วนได้รับการยกเว้นค่าเช่าร้อยปี
ขณะที่รอคอยให้เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับมาที่ภูเขา ถานหรงก็เอ่ยขอบคุณเรื่องเม็ดชุดขนนกสองเตากับเฉาเซียนซืออีกครั้ง
หากไม่เป็นเพราะทุกวันนี้เจ้าเฒ่าโลภมากที่ดูแลเรื่องเงินทองยังเหน็ดเหนื่อยวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก ยุ่งอยู่กับการซื้อหาภูเขาลูกใหม่ๆ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้เฉาเซียนซือมาเยี่ยมเยือนเรือนอวิ๋นฉ่าว ด้วยนิสัยของตาแก่ที่หน้าไม่อายอย่างเขา เกรงว่าจะต้องค้อมตัวก้มต่ำขอบคุณถึงจะพอใจ เนื่องจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของคนผู้นี้ต่างก็ได้เม็ดชุดขนนกไปคนละเม็ด เป็นเหตุให้เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต หากไม่มีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมก็เริ่มมีความหวังกันขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าตอนนั้นตนก็แค่ช่วยพูดถึงให้เท่านั้น แค่บอกไปว่าผูซานอยากจะซื้อยานั่งลืมตนหนึ่งเตา คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วตำหนักพยัคฆ์เขียวจะมอบให้เปล่าๆ คาดว่าคงเป็นเพราะเทพเซียนผู้เฒ่าลู่เลื่อมใสและยอมรับในขนบธรรมเนียมของผูซานจากใจจริง ไม่อย่างนั้นอย่างมากสุดก็เป็นแค่การได้ผลประโยชน์ในเรื่องของราคาซื้อขายเท่านั้น
ความจริงเป็นอย่างไร แน่นอนว่าถานหรงและเซวียไหวย่อมรู้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่อีกฝ่ายจงใจพูดเช่นนี้ ถือว่าช่วยยกยอภูเขาผูซาน ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!