หวงถิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอัน หนิงเหยาที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตนก็ไม่มีความจำเป็นต้องสิ้นเปลืองคุณความชอบที่ศาลบุ๋นเปล่าๆ เลย
พอมองสีหน้าและแววตาของหนิงเหยา หวงถิงก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก เจ้าคือหนิงเหยา แต่เจ้าก็เป็นสตรีเช่นนี้เหมือนกันหรือ?
แต่นี่อาจจะเป็นเพราะนางก็คือสตรี เพราะนางชื่นชอบเขากระมัง ถึงได้ยินดีเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นไม่เหมือนตัวเองเพื่อคนบางคน
ลิ่งหูเจียวอวี๋ก้มหน้า เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “พี่หญิงหวงถิง อาจารย์ปู่ให้ข้ามาถามท่านเรื่องหนึ่ง ข้าไม่กล้าปฏิเสธ แต่ก็ไม่กล้าถามท่านด้วย”
หวงถิงกลั้นขำ คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เจ้าก็บอกกับเขาไปว่าวันใดข้าอยู่ที่นี่จนเบื่อแล้วก็จะจากไปเอง”
ลิ่งหูเจียวอวี๋พยักหน้ารับอย่างแรง
ในเมื่อได้คำตอบแล้ว นางที่ไร้เรื่องก็ตัวเบา
เหลือบตามองแม่นางน้อยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา หวงถิงก็ถอนหายใจ ถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ไม่ติดตามข้าไปฝึกตนจริงๆ หรือ?”
ลิ่งหูเจียวอวี๋ส่ายหน้าเบาๆ ค้อมตัวลงจ้องไปที่เปลวเพลิงในกระถาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ทุกปีจะต้องไปไหว้ท่านพ่อท่านแม่ที่หน้าหลุมศพ ไปฝึกตนที่ภูเขาไท่ผิงก็ทำแบบนั้นไม่ได้อีก”
หวงถิงพยักหน้า ร้องอืมหนึ่งคำ
ภูเขาไท่ผิง ทุกวันนี้เหลือแค่ตนคนเดียวแล้ว
ตัวอยู่ที่ไหน ภูเขาไท่ผิงก็อยู่ที่นั่น
ตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมือง รู้สึกเพียงความเปลี่ยวเหงา
หวนกลับคืนบ้านเกิด กลับรู้สึกโดดเดี่ยว
แคว้นเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีปซึ่งเพิ่งกอบกู้ชะตาแคว้น ในอำเภอแห่งหนึ่งของหลิ่วโจว สงครามใหญ่ผ่านไปนานหลายปีแล้ว ในที่สุดทุกวันนี้ก็นำความมีชีวิตชีวากลับคืนมาได้หลายส่วน
แผงลอยร้านอาหารมื้อดึก บัณฑิตคนหนึ่งกับคนอ้วนคนหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน ต่างคนต่างกินหลัวซือเฝิ่น (บะหมี่ซุปหอยขม) ร้อนๆ คนละชาม
อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางกันมา ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงจนเข้าสู่ฤดูหนาว คนสองคน หรือควรจะพูดให้ถูกต้องคือผีสองตน พวกเขาเคยเห็นขบวนรถขนส่งข้าวข้ามแม่น้ำข้างโรงสี มีชายชราแบกเสายาวไว้บนไหล่ บนเสาห้อยไก่ป่าไว้ตัวหนึ่ง
มนุษย์นั้นเรื่องกินใหญ่เทียมฟ้า วัวแก่อยู่ข้างกาย ชาวนาพยากรณ์อากาศของปีนี้ ต่างก็พูดกันว่าปีนี้เป็นปีที่การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์
เวลานี้บนโต๊ะของร้านอาหารมื้อดึก อันที่จริงชามทั้งสองบนโต๊ะต่างไม่ถือว่าเล็ก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับชามที่ตำหนักปี้โหยวแล้วกลับดูเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าอ้วนกินไปส่ายหน้าไป “กลิ่นอบเชยเจือจางไปสักหน่อย หน่อไม้ดองก็ไม่ได้ใช้หน่อไม้หวงหนีเจียนในบรรดาหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนพริกดองก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ยังสู้จวนวารีลำคลองม่ายเหอที่ไปเป็นแขกก่อนหน้านี้ไม่ได้”
บัณฑิตหยิบตะเกียบขึ้นเคาะโต๊ะเบาๆ “แค่พอสมควรก็พอแล้ว หลัวซือเฟิ่นชามใหญ่ชามละห้าอีแปะ ถือว่าเป็นของดีราคาถูกมากพอแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก?”
ประเด็นสำคัญคือเจ้าอ้วนที่พูดจู้จี้เหมือนสตรีผู้นี้กินบะหมี่ชามใหญ่ลงท้องไปสองชามแล้ว และดูจากท่าทางก็น่าจะยังกินได้อีกชาม
เจ้าอ้วนที่ตั้งนามแฝงให้ตัวเองว่า ‘กูซู’ พลันหยุดตะเกียบ เงยหน้าขึ้น ยกมือเช็ดปาก แล้วเอาไปป้ายเช็ดกับใต้โต๊ะ “ข้าได้แต่เก็บคำพูดเอาไว้ อดทนไม่เอ่ยถาม อดกลั้นจนข้าใกล้ขาดใจตายอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่เดินลุยน้ำ เจ้าเป็นอะไรไป? เจอใครเข้าหรือ? หรือว่าเจ้าจับปลาตัวใหญ่ที่หลุดรอดตาข่ายได้? ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องดี แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของสตรีเสียหน่อย มีอะไรแบ่งปันกันไม่ได้ สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกร่วมกัน”
จงขุยเงยหน้าขึ้น เตรียมจะเรียกเก็บเงิน
เจ้าอ้วนร้อนใจทันใด โหวกเหวกว่า “จะทำอะไร ยังยัดซอกฟันไม่เต็มเลย ข้าจะสั่งอีกชาม”
จงขุยไม่ได้สนใจเขา แต่ตอนที่ควักเงินกลับจ่ายเงินสำหรับหลัวซือเฟิ่นสี่ชาม
เจ้าอ้วนส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ถือว่าตายังมีแววอยู่บ้าง หากเป็นเมื่อก่อนก็คงเลื่อนขั้นระดับขุนนางได้แล้ว
จงขุยนั่งสอดมือไว้ในชายแขนเสื้อ ปล่อยให้เจ้าอ้วนที่อยู่ตรงหน้ากินหลัวซือเฟิ่นเป็นชามที่สาม
คนอย่างไอ้หมอนี่ก็หาได้ยากจริงๆ เล่าลือกันว่าตอนเป็นเด็กหนุ่มติดพนันเป็นชีวิตจิตใจ ลืมกินลืมนอน รักสนุกชอบเที่ยวเตร่ ไม่ยอมทำการทำงาน ก่อนที่เจ้าอ้วนผู้นี้จะชิงบัลลังก์ก่อตั้งแคว้นก็เคยใช้กระดานหมากทุบคนตายกับมือตัวเองมาก่อน และตอนที่อยู่บนถนนใหญ่ก็เคยถูกสตรีที่เขาไม่รู้จักตบบ้องหู แต่เขากลับไม่เอาคืน
ทั้งยังชอบร่ายกวีภาษาบ้านๆ บอกว่าเด็กหนุ่มรูปงามคร่อมอานทอง ควบม้าโบยแส้ทะยานผ่าน ยามนั้นสวมชุดวสันต์ ดอกซิ่วปลิวเต็มหัว
เหมือนอย่างเวลานี้ก็พูดว่าคนหิวโหยถึงขีดสุด พอทำงาน กินข้าวก็หอมอร่อย กินดื่มอิ่มหนำ เอนหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ย หลับแล้วสบาย อย่าว่าแต่ไม่มีทางคิดถึงสาวใหญ่ที่เจอตอนกลางวันเลย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่กลัวแล้ว ไหนเลยจะยังมีเวลาว่างไปคิดถึงเรื่องไม่สำคัญพวกนั้น
จงขุยเอ่ยเสียงเบา “ความยากจนรักษาได้ทุกโรค นี่เป็นคำกล่าวที่น่าเวทนาอย่างมาก”
เจ้าอ้วนม้วนหลัวซือเฟิ่นเข้าปากคำใหญ่ แม้กลิ่นจะเหม็น แต่พอกินขึ้นมากลับหอมอร่อย เบ้ปากเอ่ย “ต่อให้จะน่าเวทนาแค่ไหน แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ได้แค่ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี น้ำมีต้นกำเนิด ต้นไม้มีราก ภูเขามีเส้นชีพจรมังกร คนมีเกิดแก่เจ็บตาย ในเมื่อเป็นกฎที่สวรรค์ตั้งเอาไว้ พวกเราไม่ก้มหน้ายอมรับก็ยังต้องยอมรับ อีกอย่าง ข้าไม่ได้เป็นบัณฑิตเหมือนพวกเจ้า ไม่พิถีพิถันเรื่องความสุขความทุกข์ในฟ้าดิน หรือความยากลำบากของปวงประชาอะไรหรอก ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ชื่อเสียงของข้าในยุคหลังจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ในปีนั้น ตอนที่ข้ายังนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ชาวบ้านของแคว้นข้ายื่นคอไปให้ผู้ฝึกตนแคว้นอื่นตัด พวกเขากล้าตัดไหมเล่า? ดังนั้นหากจะให้ข้าพูดนะ สกุลซ่งต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือในทุกวันนี้ อย่างมากสุดก็ถือได้ว่าทำได้ถึงขอบเขตที่ในปีนั้นข้าทำได้สำเร็จนานแล้ว”
จงขุยยิ้มเอ่ย “คำพูดห้าวเหิมประเภทนี้ ไม่สู้เก็บเอาไว้ก่อน”
กูซูแสยะยิ้ม “พูดต่อหน้าคนผู้นั้นแล้วอย่างไร ข้าผู้อาวุโสก็ยังจะพูดอยู่ดี”
อันที่จริงเดิมทีทั้งสองฝ่ายควรจะไปที่สำนักศึกษาต้าฝูนานแล้ว การที่เปลี่ยนแปลงเส้นทาง อ้อมสายน้ำแล้วยังอ้อมภูเขา เตร็ดเตร่มาถึงที่แห่งนี้ ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ไม่ใช่เพราะนายท่านใหญ่จงขุยมีความคิดเยอะหรอกหรือ
กูซูไม่มีความสามารถในการทำนายพยากรณ์ ไม่รู้ว่าจงขุยคิดอย่างไรกันแน่ เมื่อก่อนตอนที่ตนยังเป็นขุนนาง ยังไม่ได้สวมชุดคลุมมังกร ฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนที่อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าตนมักจะชอบลากตัวหมอดูมา ให้พวกเขาดูดวงให้ตัวเอง ให้บอกว่าเมื่อไหร่ถึงจะตาย จุดจบของเหล่าหมอดูเป็นเช่นไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้
สำนักศึกษาต้าฝูถูกสร้างขึ้นในตำแหน่งเดิม เจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษามาจากสำนักศึกษาหลินลู่ของราชวงศ์ต้าหลี เฉิงหลงโจว อีกทั้งนี่ยังเป็นชื่อจริงเผ่าปีศาจของเจียวน้ำหมื่นปีแคว้นหวงถิงผู้นี้ด้วย
รอกระทั่งเจ้าอ้วนกินเสร็จ จงขุยก็พาเขาไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอแห่งหนึ่ง ที่ว่าการใหม่เอี่ยม อีกทั้งยังเป็นท่านเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอคนใหม่อีกด้วย
กูซูถาม “พี่น้องจง ทำไมไม่ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดเลยเล่า? หากไม่ได้จริงๆ พวกเราสองพี่น้องไปโอ้อวดบารมีที่ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตการปกครองก็ได้นะ”
เนื่องจากเป็นศูนย์ปกครองของทั้งเขตและจังหวัดในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้ที่ว่าการผู้ว่า ที่ว่าการจังหวัดและที่ว่าการอำเภอจึงอยู่ในเมืองเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่อำเภอในสังกัด (หรือฟู่กวอ ศัพท์ทางการปกครองในสมัยโบราณ เนื่องจากประเทศจีนสมัยโบราณไม่มีการตั้งอำเภอเป็นอิสระ แต่รวมการปกครองของอำเภอเข้ากับจังหวัดหรือเขตการปกครอง จึงเรียกว่าอำเภอในสังกัด) สองแห่งอยู่ในเมืองเดียวกัน ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นพี่น้องคู่ทุกข์คู่ยากสองคนได้แล้ว ตามคำกล่าวในวงการขุนนาง นี่เรียกว่าโชคร้ายสามชาติเป็นนายอำเภอในสังกัด ทำชั่วสามชาติอำเภอสังกัดอยู่ร่วมจังหวัด สภาพการณ์ของเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่ก็ไม่ต่างจากนายอำเภอในสังกัดสักเท่าไร ถึงขั้นที่ว่ายากลำบากยิ่งกว่าการเป็นขุนนางเสียอีก
ก่อนหน้านี้เมื่อตอนกลางวันเดินเที่ยวไปหนึ่งรอบ พวกเขาสืบข่าวเล็กๆ บางอย่างมาได้ ว่ากันว่าอำเภอในสังกัดสองแห่งนี้ สองปีมานี้ต่างก็แย่งชิงตำแหน่ง ‘อำเภอหลัก’ กันอยู่
การเรียงลำดับของอำเภอในสังกัด โดยทั่วไปแล้วจะเรียงตามประวัติศาสตร์สั้นยาว แต่อย่างอำเภอที่มีชื่อไพเราะอย่าง ‘ซ่างหยวน’ หรือ ‘เหรินเหอ’ กลับคล้ายว่าจะมีข้อได้เปรียบมากกว่า
ทุกวันนี้ฐานะของจงขุยสูงส่ง คล้ายคลึงกับขุนนางใหญ่ที่จักรพรรดิส่งออกไปตรวจการในเกร็ดพงศาวดารที่บอกว่าช่วยฮ่องเต้ ‘ลาดตระเวนไปทั่วใต้หล้า ปลอบขวัญกองทัพประโลมใจชาวประชา’
ต่อให้อันที่จริงจงขุยจะยังไม่มีตำแหน่งขุนนางของนครเฟิงตู (ดินแดนผี ดินแดนแห่งคนตาย) อย่างเป็นทางการ แต่ก็เหมือนอย่างที่เขียนบอกไว้ในนิยาย ในมือเขาได้ครอบครองกระบี่อาญาสิทธิ์ สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน ดังนั้นเมื่อเทียบกับขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาแล้วจึงมีอำนาจมากกว่า เนื่องจากจงขุยสามารถทำทุกอย่างได้ตามแต่ใจตัวเอง
จงขุยยืนอยู่ตรงหน้าประตู ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปข้างใน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!