เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มกับเย่อวิ๋นอวิ๋น
เย่อวิ๋นอวิ๋นดื่มเหล้าไปแล้ว นางมีนิสัยตรงไปตรงมาจริงดังคาด “รบกวนเซียนกระบี่เฉินบอกกับข้าให้แน่ชัดด้วย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “เป็นอย่างที่เจ้าขุนเขาเย่เอ่ย อีกทั้งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างพวกเราก็มีฝีมือการเล่นหมากล้อมสูงมาก ต่อให้มองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็ยังถือว่าเป็นยอดฝีมือที่มีจำนวนน้อยนิด”
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “ไม่ใช่เจิ้ง…เผยเฉียน? หรือว่าจะเป็นเฉาฉิงหล่างที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งคู่ รอให้เจ้าขุนเขาเย่เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองด้วยตัวเองก็จะได้รู้แล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้ายังต้องเอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักคำ ท่านอาศัยอะไรมาใช้เหตุผลกับคนต่างถิ่นในต่างถิ่น? ถึงขั้นที่ว่ายังยินดีที่จะทำให้คนในบ้านเกิดของตัวเองลำบากใจด้วย?”
ในภูเขามีเสือร้ายคอยทำร้ายผู้คน ทว่าช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญกลับน่ารังเกียจยิ่งกว่า
เย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่ยอมให้เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานของตัวเองถูกคนจูงจมูกเดินโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายทำสิ่งที่ผิดต่อความตั้งใจเดิมและผิดต่อมโนธรรมในใจเด็ดขาด
หากวันนี้เซียนกระบี่หนุ่มที่กำลังจะได้ครอบครองสำนักเบื้องล่างผู้นี้มิอาจพูดโน้มน้าวตนได้อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นก็ยินดีอิงตามราคาเดิมแล้วเพิ่มมูลค่าไปอีกเท่าตัว หักลบเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ คืนเม็ดชุดขนนกสองเตาให้กับตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่จะไม่ยอมให้ผูซานมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภูเขาเซียนตูเด็ดขาด
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สามทวีปที่อาจารย์ของผสานมรรคาด้วย หนึ่งในนั้นคือใบถงทวีปของพวกเจ้า”
เย่อวิ๋นอวิ๋นที่กำลังจะดื่มเหล้าถึงกับรีบเก็บกาเหล้าลงไป เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “อาจารย์ของเซียนกระบี่เฉินคืออาจารย์เหวินเซิ่งที่ได้รับสถานะเทวรูปตั้งบูชาในศาลบุ๋นกลับคืนมาผู้นั้นหรือ?!”
“เรื่องแบบนี้ข้าจะกล้าพูดเหลวไหลได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าขุนเขาเย่ เรื่องรายงานข่าว บนภูเขาผูซานสามารถยกเลิกคำสั่งห้ามได้แล้วจริงๆ หากไม่ผิดไปจากที่คาด วันหน้าข่าวคราวทั้งหลายบนภูเขาก็จะกลายเป็นเงินเทพเซียนก้อนแล้วก้อนเล่าแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่โจวอันดับหนึ่งที่ได้แต่กลัดกลุ้มว่าไม่มีที่ให้ใช้เงิน หาเงินอย่างยากลำบากโดยไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ไม่รังเกียจหากเงินจะมากทับมือ”
การพูดคุยในศาลาคืนนี้ อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยประโยคไร้สาระแม้แต่ครึ่งคำ คิดไม่ถึงว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ทนแล้วทนอีก ในที่สุดนางก็อดไม่ไหวเอ่ยคำพูดไร้ประโยชน์ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นศิษย์น้องของราชครูชุยน่ะสิ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ย่อมต้องใช่”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันคลี่ยิ้ม “อาจารย์เฉิน มาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะ พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันสักตาดีไหม?! หากว่าท่านชนะ อย่าว่าแต่เข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่างเลย จะให้ข้าเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตูพวกท่านก็ยังได้”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่า วันหน้าต้องยังมีโอกาสแน่นอน”
บางทีนางอาจยังต้องเล่นหมากล้อมกับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจบางคนที่บอกว่าตัวเอง ‘ได้รับการสืบทอดฝีมือการเล่นหมากล้อมทั้งหมดมาจากอาจารย์’ ก่อนสักสองสามตา
เย่อวิ๋นอวิ๋นเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีจะเล่นหมากล้อมก็ให้รู้สึกเสียดายยิ่งนัก เพียงแต่ไม่สะดวกจะบังคับลากอีกฝ่ายมาเล่นด้วย ใต้หล้านี้ไม่มีเจ้าบ้านที่ไหนต้อนรับแขกผู้มาเยือนเช่นนี้
ต้องโทษตน เรื่องของการเล่นหมากล้อมมีชื่อเสียงที่ไม่โด่งดังมาโดยตลอด คงถูกอีกฝ่ายรังเกียจว่าฝีมือต่ำต้อยสินะ?
วันหน้าจะต้องไปหาเซวียไหวแล้วสอนหมัดให้สักที เจ้าเด็กนั่นยามอยู่นอกภูเขาเล่นหมากล้อมหลายกระดานขนาดนั้น แต่ไม่รู้จักเล่าให้คนอื่นฟังบ้างว่าเจ้าหัดเรียนการเล่นหมากล้อมมาจากใคร?
เฉินผิงอันถาม “เจ้าขุนเขาเย่ ภาพเซียนหันหน้าเข้าหาผนังภาพนั้น ขอให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า หยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วโยนให้อีกฝ่ายเบาๆ
นางถึงเพิ่งค้นพบว่าคนทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลกันที่สุดในศาลาที่ไม่ใหญ่แห่งนี้
เฉินผิงอันบังคับม้วนภาพให้ลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าตัวเอง จากนั้นวางกาเหล้าที่อยู่ในมือไว้ด้านข้าง ประกบสองนิ้วปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ม้วนภาพคลี่กางออกช้าๆ หรี่ตาลงพิศมองอย่างละเอียด
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่คลี่กางม้วนภาพที่ยาวเหยียดนั้นต่อไปช้าๆ เพิ่งจะอ่านอักษรที่เป็นคำนำจบเท่านั้นก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจียงซ่างเจินเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เจ้าขุนเขาเย่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว การที่ไม่ได้ทำความปรารถนาของบรรพบุรุษได้สำเร็จ ช่วยให้ผูซานเลื่อนเป็นสำนักอย่างถูกต้องชอบธรรม เหมือนว่าจะเกี่ยวพันกับความลับข้อหนึ่ง? เกี่ยวกับเรื่องนี้เจียงซ่างเจินไม่ได้พูดถึงแม้แต่ครึ่งคำ แค่บอกให้ข้าขึ้นเขามาถามเจ้าขุนเขาเย่ด้วยตัวเอง”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “ก่อนที่ท่านบรรพบุรุษจะจากไปได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ ให้เจ้าขุนเขาแต่ละรุ่นในยุคหลังสืบทอดกันต่อไป อีกทั้งยังได้แต่สืบทอดกันปากต่อปากเท่านั้น ก่อนที่สำนักใบถงจะเปิดภูเขา ผูซานห้ามเลื่อนเป็นสำนัก”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “เรื่องที่กวอป๋ายลู่ถูกลอบฆ่า มองดูเหมือนว่าอีกฝ่ายแหวกหญ้าให้งูตื่น คนหนุ่มเพียงตกใจแต่ไร้อันตราย อันที่จริงเป็น…ฝีมือของเจียงซ่างเจิน”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราวนี้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นสิ่งที่เขาชอบทำจริงๆ ทำเรื่องดีสักเรื่องก็ยังต้องโดนด่า”
หากไม่เป็นเพราะเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นอาจจะตอบตกลงรับการถามหมัดจากอู๋ซูไปแล้ว
อู๋ซูถามหมัด ไม่มีคำกล่าวที่ว่าหยุดแต่พอสมควรอะไรทั้งนั้น นี่ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้อริยะบู๊ท่านนี้ถูกคนด่าประณาม ลงมือหนักหน่วงเกินไป ขาดคุณธรรม การถามหมัดหลายครั้งที่ชื่อเสียงครึกโครมไปสี่ทิศ คนที่รับหมัดล้วนไม่มีจุดจบที่ดีอะไร คนหนึ่งในนั้นคือปรมาจารย์ใหญ่ที่ในอดีตเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเหมือนกัน เป็นเพราะถูกถามหมัดรุนแรงเกินไป ภูเขาสายน้ำในเรือนกายจึงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
กวอป๋ายลู่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่เขาให้ความสำคัญมาก หากชะตาบู๊ขาดสะบั้นใต้เปลือกตาของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานจริงๆ เกรงว่าต่อให้อู๋ซูจะเห็นแก่ส่วนรวมมากแค่ไหน ต่อให้หมัดจะไม่หนัก แต่ก็ไม่มีทางเบาแน่นอน
หากเย่อวิ๋นอวิ๋นบาดเจ็บสาหัสหรือขอบเขตวรยุทธถดถอย ถ้าอย่างนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ได้ครอบครองภาพเซียนหันหน้าเข้าหาผนังภาพนี้ก็มีทางเลือกแค่อย่างเดียวเท่านั้น หันไปตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนนับแต่นี้
เย่อวิ๋นอวิ๋นวางกาเหล้าลง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นวาดเป็นวงกลม วงกลมหนึ่งวง ระหว่างนั้นหยุดชะงักอยู่หลายครั้ง เหมือนกับว่าได้เชื่อมต่อจุดที่เป็นกุญแจสำคัญหลายจุดเข้าด้วยกัน มีจุดเริ่มต้นที่ภาพวาดฝาผนังภาพนี้ และมีปลายทางอยู่ที่ภาพเซียนภาพนี้ กล้าวางแผนเล่นงานกัน ทั้งยังสามารถเล่นงานเย่อวิ๋นอวิ๋นที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบได้
อย่างน้อยที่สุดต้องมีขอบเขตเริ่มต้นที่เซียนเหริน ขณะเดียวกันทุกวันนี้ใบถงทวีปก็ไม่มีขอบเขตบินทะยานแล้ว ตู้เม่า สวินยวน ต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว เจียงซ่างเจินเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับขอบเขตถดถอยในสงครามใหญ่ เหวยอิ๋งยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง คราวก่อนที่เจอกับเจียงซ่างเจินในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้พูดถึงเจ้าอารามขอบเขตก่อกำเนิดของอารามจินติ่งอย่างตู้หันหลิง ก่อนหน้านานกว่านั้น เย่อวิ๋นอวิ๋นได้เจอกับตู้หันหลิงที่ท่าเรือใบท้อราชวงศ์ต้าเฉวียน ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไม่มาก ตอนนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นสหายรักอย่างสวี่ชิงจู่ที่พูดคุยกับอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หาดหวงเฮ้อ เจียงซ่างเจินได้เตือนเย่อวิ๋นอวิ๋นว่าให้ระวังสองเรื่องและคนหนึ่งคน
ความเป็นมาของภาพวาดฝาผนัง การถามหมัดของอู๋ซู ตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่ง
หัวหอกพุ่งตรงไปที่ตู้หันหลิง อันที่จริงตอนนั้นเจียงซ่างเจินเกือบจะบอกกล่าวกับเย่อวิ๋นอวิ๋นอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าหากอยากจะฝึกตนอย่างมั่นคงปลอดภัย ไม่มีหนึ่งในหมื่นอะไรทั้งนั้น มีแต่ต้องสังหารตู้หันหลิงโดยตรง
ก่อนหน้านี้เย่อวิ๋นอวิ๋นมั่นใจในความเป็นมาของม้วนภาพนี้แล้วว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ
แต่เจียงซ่างเจินกลับพูดว่าหากไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย นั่นแสดงว่าต้องมีปัญหาใหญ่แน่
ถึงขั้นยังบอกด้วยว่าหากเฉาโม่ไม่ได้ปรากฏตัว เขาจะติดตามตนแฝงตัวอยู่ในเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน ช่วยปกป้องมรรคาให้ ดูสิว่าจะดึงเอาตัวเจ้าพวกคนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เจตนาชั่วร้ายออกมาได้สักคนสองคนหรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!