เซียนกระบี่โอสถทองคนนั้นไปถึงข้างแผงก็โยนแหจับปลาลงบนพื้น ชี้ไปยังชามเหล้าสามใบบนโต๊ะ ออกเสียงเอ่ยเตือนกลุ่มคนที่เดินมาจากริมฝั่งด้วยภาษากลางของใบถงที่พูดได้ไม่คล่องแคล่วนัก “ข้าคือเค่อชิงที่ยังไม่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราวของภูเขาเซียนตู”
ผู้ฝึกกระบี่เถาหรานแนะนำตัวเองก่อน จากนั้นยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไกลๆ ไปยังชามเหล้าสามใบบนโต๊ะ “บอกไว้ก่อนว่าตอนนี้กฎมีการเปลี่ยนแปลง แต่ละฝ่ายออกกระบวนท่าคนละสามครั้ง”
ส่วนเรื่องที่ว่าภูเขาเซียนตูอยู่ที่ไหน ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นเค่อชิงไม่ได้รับการบันทึกชื่อผู้นี้ อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าอยู่ทางทิศเหนือ คนที่เป็นเจ้าประมุขชั่วคราวก็คือเด็กหนุ่มชุดขาวแซ่ชุยคนนั้น
การที่เขา ‘แปรพักตร์’ หนึ่งเพราะในอดีตตนได้รับบาดเจ็บท่ามกลางสงครามครั้งนั้น จิตแห่งกระบี่แทบจะแหลกสลาย จิตแห่งมรรคาก็ยิ่งเละเทะมากกว่า อันที่จริงก็เป็นเพียงแค่โอสถทองกระดาษเปียกไร้ความสามารถเท่านั้น
ไม่ยินดีจะไปทำงานในที่ว่าการ ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางไปเด็ดขาด เพราะมิอาจทนเห็นพฤติกรรมของพวกคนที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างได้
ไม่อย่างนั้นต่อให้สภาพจะย่ำแย่แค่ไหน เถาหรานก็ยังเป็นขอบเขตโอสถทอง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรต้องเปิดเผยหน้าตาออกมาหาเงินเทพเซียนอย่างน่าขายหน้า ทำตัวเป็นพวกลิ่วล้อที่รับเงินของคนอื่นมาแล้วช่วยกำจัดเคราะห์แทนคนเขาเช่นนี้
เพียงแต่พอมาถึงที่นี่ เขากลับเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ ศักยภาพต่างกันเกินไป เจ้าคนที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นถึงกับมีขอบเขตก่อกำเนิด
อีกอย่างก็คืออีกฝ่ายรับปากตนว่าวันใดที่ได้รับตำแหน่งเค่อชิงของภูเขาเซียนตูอย่างเป็นทางการก็จะได้รับสมบัติหนักบนภูเขาที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมซึ่งสามารถนำมาใช้ซ่อมแซมจิตแห่งกระบี่ หล่อเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่นชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าคำพูดสวยหรูที่ดีแต่พูดประเภทนี้ เขาไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง ผู้ฝึกตนอิสระก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือรู้จักยอมรับว่าตัวเองขี้ขลาด
เพียงแต่ว่านอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เขาหวั่นไหวอย่างแท้จริง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินทอง คนแซ่ชุยบอกว่าตัวเองรู้จักกับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่หลายคน วันหน้าสามารถช่วยแนะนำให้เขารู้จักได้
เถาหรานกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แน่นอนว่าข้อกังขาต้องมีมากกว่า
เพราะหากจำไม่ผิด ผู้ฝึกกระบี่ของใบถงทวีปที่เคยไปฝึกประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าจะมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าหวังซือจื่อคนเดียวเท่านั้น
เหมือนกับตน ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นที่รังเกียจของผู้คนเหมือนกัน อีกฝ่ายไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ตอนที่มีขอบเขตเป็นโอสถทอง
แม้จะบอกว่าตอนไปเป็นโอสถทอง ตอนกลับก็ยังเป็นโอสถทอง แต่อาศัยการที่เขากล้าไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง อีกทั้งยังยินดีลงสู่สนามรบ เถาหรานก็ยินดีจะนับถืออีกฝ่ายจากใจจริง
แต่สมองของเจ้าหมอนี่ต้องมีปัญหาแน่นอน ถึงได้ไปเป็นผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ของสำนักใบถง เปลี่ยนจากวีรบุรุษล่างภูเขาไปเป็นสุนัขรับใช้ของบนภูเขา เขาจะคิดว่าตัวเองมองคนผิดไปก็แล้วกัน
สภาพการณ์ของเถาหรานในเวลานี้ก็เป็นจุดจบที่ตัวเองรนหาที่เองเหมือนกัน สังหารสัตว์เดรัจฉานน้อยเผ่าปีศาจขอบเขตโอสถทองไปตัวหนึ่งได้เพราะอีกฝ่ายประมาท เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ถูกสัตว์เดรัจฉานเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดที่เป็นองค์รักษ์ของอีกฝ่ายทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักในศึกครั้งนั้น สภาพแทบไม่เหลือดี หากคิดจะซ่อมแซมก็ต้องเป็นหลุมไร้ก้นที่กินเงินนับไม่ถ้วนแน่นอน อันที่จริงปีนั้นเมื่อควันปืนผุดขึ้นจากทั่วสารทิศ ที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่สนามรบที่ศักยภาพแตกต่าง เป็นการเข่นฆ่าที่เอนล้มไปทางด้านเดียว?
เมืองหลวง เมืองหลวงสำรอง นครประจำเขตประจำจังหวัดจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจหอบม้วนผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระผู้นี้อดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย
ถึงท้ายที่สุดกลับเพียงแค่เพราะเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียว คงเป็นเพราะสมองของตนก็มีปัญหาเหมือนกันกระมัง เอาเป็นว่าสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
ช่วยไม่ได้ ความทุกข์ยากบางอย่างต่อให้เผชิญกับมันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่รู้จักจำ ชั่วชีวิตนี้มีสันดานแบบนี้ซะแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็มีเพียงเจียงซ่างเจินที่เดิมทีตนมีอคติต่อเขามากที่สุดที่ถึงจะถือว่าเป็นลูกผู้ชาย
ด่าเจียงซ่างเจิน ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ? ไม่ต้องหรอก
แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาก็มีเหตุผลอยู่หลายข้อจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นในอดีตเทพธิดาบนภูเขาสองคนที่ตนชื่นชมถึงกับถูกหมูตัวเดียวกันหลอกล่อไปได้
ในฐานะเจ้าประมุขสกุลเจียงแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เถาหรานด่าเท่าไรก็ยิ่งสะใจเท่านั้น แล้วก็เพราะว่าตัวเองขอบเขตต่ำ เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไปด่าต่อหน้าแล้ว
แต่ในฐานะอดีตเจ้าสำนักกุยหยก การกระทำของเจียงซ่างเจิน เถาหรานกลับด่าไม่ออกจริงๆ
ดังนั้นก่อนที่ชุยเซียนซือจะจากไปจึงยังคุยโวใหญ่โตยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากับตน
บอกว่าหากกลายเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตู วันหน้าต่อให้ด่าเจียงซ่างเจินต่อหน้า เจียงซ่างเจินก็ยังไม่กล้าเถียงกลับ แล้วยังจะส่งยิ้มให้ด้วย
ดังนั้นทุกวันนี้เถาหรานจึงช่วยคนเขาเฝ้ากิจการอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เมื่อเป็นเช่นนี้ตนจึงดีกว่าหวังซือจื่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่างก็เป็นสุนัขเฝ้าบ้านนี่นะ แต่ในเมื่อภูเขาเซียนตูไม่มีชื่อเสียงแม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะดีกว่าสำนักใบถงกระมัง
ส่วนจะเริ่มงานก่อสร้างขุดดิน สร้างท่าเรื่องแห่งนี้ต่ออีกครั้งอย่างเป็นทางการเมื่อไร ชุยเซียนซือบอกว่าต้องรอไปถึงปีหน้า เขาพูดจาน่าเชื่อถือว่ามีตะพาบกลุ่มหนึ่งคิดจะแย่งกิจการของตน ล้อเล่นหรือไร
คอยดูเถอะ หากมีใครมาเขาจะสู้ตายกับพวกมันให้ดู
เด็กหนุ่มชุดขาวสะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะโบกมือเป็นวงกว้าง วาดวงกลมวงใหญ่ บอกว่าถึงเวลานั้นที่นี่ก็จะเป็นทัศนียภาพที่หนึ่งแคว้นมีท่าเรือตะวันออกตะวันตกสองแห่งแล้ว
ชินแล้วก็ดีไปเอง อีกฝ่ายเป็นพวกชอบคุยโวนี่นะ
โชคดีที่ตบะขอบเขตก่อกำเนิดเป็นของจริง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “พวกเราต่างก็มาจากภูเขาเซียนตู”
เถาหรานอึ้งตะลึง เป็นคนกันเองครึ่งตัวหรือ?
ได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากภูเขาเซียนตู เถาหรานก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง นี่เป็นคนของภูเขาเซียนตูกลุ่มแรกที่เถาหรานได้พบเจอเว้นจากชุยเซียนซือ เพียงแต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตน กลับเหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมากกว่า?
แต่ก็มองออกว่า เทียบกับชุยเซียนซือแล้วดูเป็นคนปกติ ท่าทางเป็นการเป็นงานมากกว่า
คงไม่ใช่ว่าเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของก่อกำเนิดผู้เฒ่าชุยหรอกกระมัง?
เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนภูเขา คนส่วนใหญ่หากยิ่งมองดูเด็ก ขอบเขตก็จะยิ่งสูง อายุก็จะยิ่งมาก
อีกฝ่ายยิ้มพลางเอ่ยแนะนำตัวเอง “ข้าแซ่เฉิน นามผิงอัน เป็นอาจารย์ของชุยตงซาน”
เจ้าตัวดี เป็นพวกพูดจาไม่น่าเชื่อถืออีกคนหนึ่งแล้ว
ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน?
อาจารย์ของเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิด?
จะดีจะชั่วก็ช่วยเปลี่ยนคำเรียกขานที่เข้าท่าเข้าทีหน่อยได้ไหม อย่างเช่นว่าอาจารย์พ่อ? ผู้ถ่ายทอดมรรคา?
ทำไมเจ้าไม่บอกว่าตัวเองคือเฉินผิงอันแห่งแจกันสมบัติทวีปไปเลยเล่า?
ข้าผู้อาวุโสอยากจะกดหัวเจ้าพวกลูกรักแห่งสวรรค์ เซียนกระบี่หนุ่มห้าขอบเขตบนพวกนี้ไว้แล้วถามว่า สรุปแล้วขอบเขตของพวกเขาได้มาอย่างไรกันแน่ซะจริง
แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่ง สถานที่ใหญ่เท่าก้น เวลาสั้นๆ แค่หกสิบปีพื้นที่ของหนึ่งทวีปกลับทยอยกันมีผู้มากพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ปรากฎตัวถึงสามคน เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ หลิวเสี้ยนหยางแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบตอนอายุสี่สิบกว่าปีกันทุกคน
มารดามันเถอะ ตอนที่ข้าผู้อาวุโสอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี เซียนกระบี่หนุ่มกลุ่มนี้ยังสวมกางเกงเปิดก้นเล่นดินโคลนกันอยู่เลยกระมัง
คนชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้พกดาบคู่ไว้ตรงเอวข้างหนึ่ง
หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ดาบแคบสองเล่มนี้ก็ต้องเป็นดาบอาคมที่เซียนซือบนภูเขาเป็นผู้หลอมขึ้นมา
เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะ หยิบเหล้าชามหนึ่งขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งคำ ยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินลูกศิษย์ของข้าบอกว่าเจ้าชื่อเถาหราน เป็นเซียนกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง”
เถาหรานที่นั่งยองอยู่ด้านข้างง่วนอยู่กับการตุ๋นปลาตอบกลับง่ายๆ “ก็แค่ขอบเขตโอสถทอง จะถือเป็นเซียนกระบี่ผายลมสุนัขได้อย่างไร”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขอถามอีกสักคำได้หรือไม่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้รับความเสียหายได้อย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!