สตรีที่หลุดจากการจัดอันดับหลักอย่างน่าสงสาร คาดว่าตัวเองคงไม่ได้คิดอะไร กลับกลายเป็นบุรุษที่ชื่นชอบพวกนางที่ต้องทุ่มเงินกันอย่างเต็มที่เพื่อให้สตรีที่รักช่วงชิงอันดับต้นๆ ในการจัดอันดับรองมาให้ได้
ยกตัวอย่างเช่นในรายงานข่าวฉบับหนึ่งได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไว้โดยเฉพาะ บอกว่ามีราชวงศ์แห่งใหม่ที่ทำการกอบกู้แคว้นอย่างถูกต้องชอบธรรม ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งที่รับตำแหน่งอยู่ในกรมคลังไม่ใช่ขวัญกล้าเทียมฟ้าธรรมดาเท่านั้น ขุนนางขั้นห้าชั้นโทตัวเล็กๆ กลับกล้ายักยอกเงินในท้องพระคลังมากถึงสามล้านตำลึงเงิน ถูกเขาเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเทพเซียน ทุ่มให้กับภูเขาฮวาเสินในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสุกลเจียง!
ไม่เพียงแต่ต้องสูญเสียตำแหน่งขุนนางด้วยเหตุนี้ ยังเกือบจะต้องหัวหลุดจากบ่า การที่ใช้คำว่าเกือบก็เพราะตระกูลของเขาทุบหม้อขายเหล็ก บิดาที่ได้บุตรตอนอายุมากซึ่งเป็นเจ้ากรมอยู่ในกรมอาญาได้ไปยืมเงินจากสหาย เชื่อเงินจากโรงจำนำ สรุปก็คือใช้ทุกวิธีที่มี แม้แต่ติดค้างน้ำใจคนอื่นก็ยอม ถึงได้ชดเชยความเสียหายไปได้เกินครึ่ง
คนหนุ่มกลับดีนัก พาผู้ติดตามสองสามคนนั่งรถม้าคันหนึ่งไปด้วยกัน ตรงเอวห้อยตราประทับที่แกะสลักเองชิ้นหนึ่ง ตรงก้นของตราประทับแกะสลักเป็นสามคำว่า โหวแห่งวงศ์ตระกูล
สถานที่แห่งนี้ไม่รับนายท่าน ย่อมต้องมีสถานที่ที่รับนายท่านเอาไว้ ข้าผู้อาวุโสออกไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำก็แล้วกัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินขึ้นยอดเขาชิงผิงด้วยกัน ชุยตงซานยังเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟัง แล้วยังบอกด้วยว่าตัวเองแอบปลีกตัวจากงานที่ยุ่งไปชมเรื่องสนุกที่นั่นมารอบหนึ่ง
ที่แท้บิดาของคนหนุ่มที่ห้ามให้ตายอย่างไรก็ห้ามอีกฝ่ายไม่ได้ โกรธจนหน้าเขียว ริมฝีปากสั่นระริก ขว้างถ้วยชาแตกอยู่ในห้องหนังสือ ด่าคำแล้วคำเล่าว่าเจ้าลูกไม่รักดี เจ้าลูกทรพี เจ้าลูกอกตัญญู!
โดนด่าไม่ได้เจ็บหูเสียหน่อย คนหนุ่มจึงยังคงออกจากบ้านออกไปจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางไปหาเทพธิดาที่รักคนนั้น ไม่ต้องแม้แต่จะเจอหน้ากัน
เรื่องของการทุ่มเงิน เขาทำไปเพื่อความเป็นธรรมเท่านั้น นี่จึงจะถือว่าเป็นปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงและสง่างาม
หากต้องการแค่ความบันเทิงเริงใจอย่างเดียวก็เป็นคนชั้นต่ำแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษผู้มีเสน่ห์สง่างามอย่างเราๆ จะทำเด็ดขาด
อีกอย่างรูปโฉมของตนก็เหมือนบิดาไม่เหมือนมารดา จึงอัปลักษณ์ไปสักหน่อย คาดว่าถ้าไปขอพบเทพธิดาถึงบ้านก็คงต้องกินน้ำแกงประตูปิด แล้วจะต้องหาเรื่องให้ตัวเองลำบากทำไม ไม่สู้เก็บความทรงจำดีๆ ไว้กับตัวเองยังดีเสียกว่า
ผลคือเพิ่งออกจากเมืองหลวงได้ไม่นานก็วิ่งตุปัดตุเป๋กลับมา ทั้งร่ำรวย เติมท้องพระคลังที่ว่างเปล่าได้จนเต็ม ทั้งได้เลื่อนขั้นตำแหน่งขุนนาง กลายเป็นรองเจ้ากรมโยธา
ที่แท้ระหว่างทางได้เจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันที่ถูกชะตากันมาก อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองแซ่โจว เป็นคนต่างถิ่นที่มาจากแจกันสมบัติทวีป เป็นแค่ผู้ฝึกตนครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่งที่ขอบเขตไม่มีค่าพอให้พูดถึง ฉายาคือเปิงเลอะเจินจวิน บอกว่าตนเพิ่งมาถึงใบถงทวีปได้ไม่นาน คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนอวดอ้างบารมีใส่ ตีแสกหน้าจนเขาเวียนหัวตาลายหาทางไม่ถูก ไม่คิดว่าจะได้พบเห็นวีรกรรมของเขาเข้าพอดี ความประทับใจที่มีต่อใบถงทวีปจึงเปลี่ยนแปลงไปทันที สุดท้ายทิ้งเงินเทพเซียนสามเหรียญที่คนหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน พอคนหนุ่มกลับเมืองหลวงแล้วไปลองสืบความดูถึงได้รู้ว่านั่นคือเงินฝนธัญพืชที่มีค่ามากที่สุดในตำนาน!
พี่โจวคนนั้นยังทิ้งจดหมายไว้ให้ฉบับหนึ่ง ถ้อยคำจริงใจกระตือรือร้น หากไม่ใช่สหายย่อมพูดจาทำนองนี้ไม่ได้แน่ บอกว่าในเวลายี่สิบปี ต้องเป็นคนที่ตาไม่มีแววแค่ไหน เห็นเขาเป็นคนโง่มากแค่ไหนถึงชมว่าเขารูปโฉมหล่อเหลา? แต่จดหมายฉบับนี้กลับไม่เหมือนกัน บอกให้เขาตั้งใจเป็นขุนนางให้ดี แสดงฝีไม้ลายมือบนเส้นทางอนาคตอันรุ่งโรจน์ให้ดี สรุปก็คือห้ามละโมบในเงินทองแบบนี้อีก เป็นขุนนางน้ำใสเป็นขุนนางที่ดีดีกว่า คอยนอนเสวยสุขอยู่บนบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมา ใครเล่าจะทำไม่ได้บ้าง ขอแค่ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดี เรื่องอย่างการเสวยสุขยังต้องเรียนรู้อีกหรือ? ยังต้องให้คนอื่นสอนว่าควรจะใช้เงินกองโตอย่างไรด้วยหรือ? กลับเป็นเรื่องอย่างการอดทนต่อความยากลำบากต่างหากที่หากเจ้าทำสำเร็จ ถึงจะถือว่าเป็นคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง…
คนหนุ่มอ่านแล้วเข้าหัวทันที เทียบกับคำพร่ำบ่นของบิดาแก่ๆ ในบ้านตนตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ยังใช้ได้ผลมากกว่าเสียอีก
เป็นรองเจ้ากรมพิธีการที่สถานะสูงศักดิ์ไม่ทำเรื่องเป็นการเป็นงานจะสามารถสร้างความผาสุกให้กับชาวประชาในพื้นที่หนึ่งได้อย่างไร จะต้องเป็นหลางจงในกรมโยธาเท่านั้น ดังนั้นบิดาแก่ๆ ของตนจึงเริ่มด่าเขาว่าเจ้าลูกทรพี เจ้าลูกอกตัญญูอีกครั้ง
ผลคือพอเขาไปทำงานในกรมโยธาจริงๆ ถึงเพิ่งรู้ว่าหากไม่แอบเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาอย่างลับๆ ชีวิตก็ช่างขมขื่นนัก งานหนักรัดตัว บวกกับเขาเองก็หัวร้อน เป็นฝ่ายหอบงานมาไว้กับตัว ไปเยือนเขตการปกครองในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง นอนกลางดินกินกลางทราย ปากเต็มไปด้วยแผลร้อนใน มือเท้าก็ด้านเป็นไต ทุกวันเหนื่อยจนหัวถึงเหมือนก็หลับสนิททันที ยังจะมีเวลามาคิดถึงสตรีอะไรอีก? ข้าผู้อาวุโสเหนื่อยจนแม้แต่ฝันวสันต์ก็ยังไม่ฝันแล้ว คนหนุ่มรู้สึกแค่ว่าชีวิตดีๆ ยี่สิบกว่าปีล้วนถูกใช้คืนกลับไปให้ทั้งต้นทุนและกำไรแล้ว
ผลคือรอกระทั่งเขากลับเมืองหลวง บิดาแก่ๆ ของเขาคนนั้น ทั้งๆ ที่รอคอยเขาอยู่หน้าประตูตาปริบๆ เป็นนาน แต่พอรอจนลูกชายกลับจากที่ว่าการกรมโยธามาถึงบ้านจริงๆ ใต้เท้าเจ้ากรมเพิ่งจะมองเห็นรถม้าก็รีบกลับไปที่ห้องหนังสือทันที เขานั่งตัวตรงอย่างสงบ รอกระทั่งผู้เฒ่าได้เห็นหน้าบุตรชายที่ไม่เจอกันแค่เดือนกว่ากลับผอมลงไปหนึ่งรอบตัว เขาก็ไม่ได้ขว้างถ้วยน้ำชาอีก แต่เงียบงันไปนาน พอเปิดปากพูดก็ยังเรียกว่าเจ้าลูกทรพี เจ้าลูกอกตัญญูที่เป็นคำพูดติดปากอยู่ดี…
อันที่จริงในใจของคนหนุ่มรู้สึกทุกข์ทรมานถึงขีดสุด เดิมทีคิดว่ากลับเมืองหลวงครั้งนี้คิดจะลั่นกลองถอยทัพแล้ว จะไปอยู่กรมพิธีการหรือไม่ก็อาจจะกลับไปที่กรมคลังอีกครั้ง ต่อให้เป็นแค่หลางกวานก็ยังดี ตำแหน่งรองเจ้ากรมโยธาไม่ใช่งานที่คนคนเดียวจะทำได้จริงๆ
เพียงแต่รอกระทั่งการประชุมในท้องพระโรงของวันหนึ่งสิ้นสุดลง รองเจ้ากรมหนุ่มมองบิดาที่อยู่ห่างไปไกล ทั้งๆ ที่หลังโก่งงอเส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว แต่กลับเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา หัวเราะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเสียงดังกังวาน
รองเจ้ากรมหนุ่มจึงบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอดทนอยู่ในที่ว่าการของกรมโยธาให้ได้อีกสักปีครึ่งปี…
นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าสำนักชุยยุ่งก็ส่วนยุ่ง แต่ก็พอจะมีเวลาว่างอยู่บ้างเหมือนกัน
ตอนนั้นการที่เฉินผิงอันพูดความในใจกับเหลียงส่วงบอกว่า
‘ต้นอู๋ถงไม่ยอมให้กิ่งใบร่วงโรย ใบไม้ทั้งหลายจึงส่งเสียงรับลม’
นอกจากจะพูดถึงผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มนั้นของสำนักใบถงแล้ว ก็พูดถึงคนรุ่นเยาว์ของล่างภูเขาด้วย
ในเรือนแห่งหนึ่งที่คฤหาสน์เถาหยวน
มีคนที่ร้อนใจราวกับไฟลน
อีกฝ่ายไม่มาก็เหมือนมีกระบี่แขวนอยู่เหนือศีรษะ จะหล่นมิหล่นแหล่ แต่พออีกฝ่ายมาจริงๆ กลับยิ่งครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกเพียงว่าหากแข่งกันเรื่องกลอุบายแล้ว ตนมิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้เลย
ได้แต่นั่งกระวนกระวายอยู่เพียงลำพัง ผู้ฝึกตนเฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด
เป็นวิธีการที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็นอีกแล้ว
มีคนมาโผล่ด้านหลังหลูอิง ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมากดไหล่ของก่อกำเนิดเฒ่าผู้นี้เบาๆ “หลูอันดับหนึ่ง ได้เจอกันอีกแล้วนะ”
ส่วนตรงหน้าประตูกลับมีหญิงสาวที่มวยผมทรงกลมกลางศีรษะ สองแขนกอดอก เอนตัวพิงกรอบประตู
คนที่อยู่ด้านหลังยิ้มบางๆ “หลูอันดับหนึ่งจิตใจไม่สงบเช่นนี้ คงไม่คิดจะเอาหัวของข้าไปแลกคุณความชอบจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางหรอกกระมัง?”
ทำเอาหลูอิงตกใจเด้งตัวพรวดขึ้นมา ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฝ่ยหรานอย่าได้ข่มขู่ข้าอีกเลย ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ความใจกล้าสู้เซียนซือบนทำเนียบไม่ได้หรอก”
หลูอิงรู้ทันทีว่าตัวเองพูดผิดไปแล้วจึงตบบ้องหูตัวเองแรงๆ หนึ่งที ยิ้มประจบเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ “คารวะเฉาเค่อชิง”
เฉินผิงอันยกม้านั่งมานั่งลงตรงข้ามกับหลูอิง ยกฝ่ามือขึ้นกดลงบนความว่างเปล่าสองที ขยับขานั่งไขว่ห้าง หยิบกระบอกยาสูบและถุงยาสูบออกมาด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย เริ่มพ่นควันขโมง สะเก็ดไฟเปล่งประกายวาบๆ
หลูอิงถามอย่างระมัดระวัง “เฉาเค่อชิง ครั้งนี้เรียกข้าน้อยมาพบ มีเรื่องอะไรจะสั่งการหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!