หลังกลับมาถึงภูเขาเซียนตู เฉินผิงอันก็ออกเดินทางขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง ทิ้งเฉาฉิงหล่างเอาไว้ พาไปแค่เผยเฉียนกับเสี่ยวโม่ ไปเป็นแขกที่เสี่ยวหลงชิวด้วยกัน
เสี่ยวหลงชิวอยู่ห่างจากภูเขาเซียนตูไม่ไกล พอจะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านบนภูเขากันได้อย่างถูไถ
ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียงนี่นะ จะไม่มาเจอกันให้คุ้นหน้าคุ้นตากันเลยได้อย่างไร
นักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่พบเจอกันครั้งแรกในพื้นที่มงคลรากบัว ทุกวันนี้มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ด้านข้างศาลบรรพจารย์บ้านคนอื่น
อันที่จริงทางฝั่งของเสี่ยวหลงชิวยังมีสหายบนภูเขาที่ไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกันอีกคนหนึ่ง
ก็คือหนึ่งในเซียนดินสองคนที่ไปเป็นเทพทวารบาลอยู่หน้าประตูภูเขาไท่ผิง เค่อชิงอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิว จางหลิวจู้
ก่อกำเนิดเฒ่าเชี่ยวชาญเวทน้ำ เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจกับเรื่องนี้มาก ดูจากฉายาเซียนน้ำของเขาก็พอจะมอง
เหมือนกับหลูอิง ต่างก็มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไม่ได้ไปหลบภัยที่ใต้หล้าห้าสี แต่สะบัดร่างเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ อีกทั้งยังใช้วิธีการ ‘ขึ้นเขา’ กลายเป็นเซียนซือทำเนียบที่เหมือนกับหลูอิงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ตามคำกล่าวของโจวอันดับหนึ่งก็คือทุกวันนี้ไม่ว่าคนแบบไหนก็ล้วนวิ่งขึ้นไปบนภูเขาได้ทั้งนั้น จากผู้ฝึกตนอิสระที่ในอดีตถูกคนบนภูเขาด่าทอฆ่าแกง กลายมาเป็นเสาหินท่ามกลางกระแสน้ำ กลายมาเป็นกระดูกสันหลัง เป็นเสาคานค้ำยันของในทวีปแห่งหนึ่ง
ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายประมือกัน ก่อกำเนิดเฒ่าไม่ทันได้เห็นหน้าศัตรูก็เกือบจะถูกผ่าออกเป็นสองท่อนเสียแล้ว
ภายหลังถูกจับกุมตัวไปที่หน้าประตูภูเขา ถูกดึงจิตวิญญาณออกมา ลอยแขวนไว้เหนือศีรษะตัวเอง ความเจ็บปาดราวถูกคว้านหัวใจถูกกรีดกระดูกประหนึ่งน้ำขึ้นกระแทกโถมตัวเรือที่ตีกระทบลงบนจิตแห่งมรรคาระลอกแล้วระลอกเล่า
อีกทั้งผู้ฝึกตนบนยอดเขาแปลกหน้าคนนั้นก็ช่างมีนิสัยที่…ยากจะบรรยายได้หมดในคำเดียวจริงๆ
แค่ยกเท้าขึ้นง่ายๆ ก็เหยียบขยี้ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบที่เป็นลูกรักแห่งสวรรค์คนหนึ่ง ปากด่ากราด เท้าก็กระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทืบจนเกิดเป็นหลุมใหญ่ มองไม่เห็นหัวของสตรีอีก
ไม่เหมือนกับเซียนดินโอสถทองจากราชวงศ์สกุลอวี๋ผู้นั้น ก่อกำเนิดเฒ่าที่สถานะสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดผู้นี้ ตอนนั้นที่อยู่ภูเขาไท่ผิงได้ถูกเจียงซ่างเจินช่วยไล่ออกไปก่อน
ฝันร้ายตื่นหนึ่ง
เป็นเหตุให้หลังจากที่ก่อกำเนิดเฒ่าย้อนกลับมาที่เสี่ยวหลงชิวก็ยังไม่กล้าเล่าอย่างละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่น ได้แต่พูดจาอย่างคลุมเครือ บอกว่าประลองเวทกับคนอื่นไปครั้งหนึ่ง แต่ฝีมือสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ
หวงถิงหาตัวเจอได้ง่าย นางอยู่บนยอดเขาหรูอี้ภูเขาบรรพบุรุษของเสี่ยวหลงชิวนั่นเอง
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในกระท่อมเรียบง่ายหลังนั้น นักพรตหญิงกำลังแทะข้าวโพดปิ้ง ในกระถางไฟยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย
เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่ง แล้วก็ไม่เกรงใจ ก้มตัวไปหยิบข้าวโพดฝักหนึ่งขึ้นมา พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “หวงถิง ต้องการเงินเทพเซียนหรือไม่? ในคลังเก็บสมบัติของภูเขาลั่วพั่วพวกเรายังมีกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลืออยู่ไม่น้อย ทางฝั่งของสำนักเบื้องล่างอย่างภูเขาเซียนตูนี้จะไม่ขอเงินจากภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นจึงไม่ถ่วงรั้งการทำการค้า ก็เหมือนว่ามีตัวเลขจำนวนหนึ่งนอนอยู่ในสมุดบัญชี หากว่าเจ้าเกรงใจจริงๆ พวกเราสามารถคิดดอกเบี้ยได้”
ซากปรักของภูเขาไท่ผิง ภูเขาสายน้ำพังภินท์ ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ปราณวิญญาณเจือจางบางเบาเหมือนปุยหลิวที่ลอยล่องไปตามกระแสลม เรื่องของการสร้างสำนักขึ้นใหม่ นอกจากจะต้องทุ่มเงินแล้วก็คือทุ่มเงิน ได้แต่อาศัยเงินเทพเซียนมาชดเชยส่วนที่ขาดของปราณวิญญาณฟ้าดิน และก่อนหน้านั้นยังต้องสร้างค่ายกลใหญ่ รวมไปถึงรวบรวมหาเทพภูเขาเทพวารีจำนวนมากให้มาสร้างร่างทอง สร้างศาล เติมเต็มตำแหน่งที่ขาด ช่วยรวบรวมปราณวิญญาณไม่ปล่อยให้มันไหลกระจายเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น
ตามการประเมินคร่าวๆ ของเจียงซ่างเจิน ภูเขาไท่ผิงแห่งใหม่ หากคิดจะกอบกู้ภาพบรรยากาศขุนเขาสายน้ำกลับคืนมาสักสามส่วนจากตอนที่สำนักอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ภายในเวลาสองสามร้อยปี อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เงินสามสี่พันเหรียญฝนธัญพืช
นอกจากนี้การไปมาหาสู่กับแต่ละฝ่ายที่ค่อนข้างวุ่นวายซับซ้อน การสานสัมพันธ์กับภูเขาเพื่อนบ้าน การทำการค้ากับราชวงศ์ล่างภูเขา ใช้ความเร็วที่มากที่สุดก่อสร้างศาลภูเขาสายน้ำหลายสิบแห่ง ช่วยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละฝ่ายในอาณาเขตได้รับการแต่งตั้งที่ถูกต้องจากทางราชสำนัก…
เฉินผิงอันรู้ดีถึงความยากลำบากในเรื่องนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันนี้ภูเขาไท่ผิงหลงเหลือหวงถิงเพียงแค่คนเดียวแล้ว
ไม่เหมือนภูเขาลั่วพั่วบ้านตน ต่อให้เป็นช่วงแรกเริ่ม ในภูเขาก็ยังมีจูเหลี่ยนที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เพื่อนบ้านยังเป็นซานจวินเว่ยป้อที่สนิทสนมกันอย่างมาก มีภูเขาพีอวิ๋นที่แทบจะเท่ากับว่าสวมกางเกงตัวเดียวกับภูเขาลั่วพั่วแล้ว
หวงถิงส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ต้องการ บนร่างข้ายังพอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้างเล็กน้อย สามารถเอามาแลกเป็นเงินเทพเซียนได้ไม่น้อย หากรอวันใดที่ขาดเงินจริงๆ ก็จะไม่เกรงใจเศรษฐีบ้านนอกอย่างเจ้าหรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง ศาลบรรพจารย์สืบทอดต่อควันธูป
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่นั่น เฉินผิงอันคิดว่าจะช่วยปกป้องภูเขาไท่ผิงเป็นเวลาแปดสิบปี
เสี่ยวหลงชิวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองในเวลานี้คือสำนักเบื้องล่างของต้าหลงชิวในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อันที่จริงหากเรียกให้ถูกต้องก็คือเป็น ‘ภูเขาเบื้องล่าง’
ปีนั้นผู้ที่ต้องย้ายบ้านไม่ได้มีแค่ภูตน้ำสองตนที่ตั้งตัวเป็นพญามาร มหาราชย์เท่านั้น พวกมันก็แค่เลียนแบบเหล่าเซียนซือของเสี่ยวหลงชิวเท่านั้น
แต่เมื่อภูเขาชิงจิ้งตำหนักพยัคฆ์เขียวย้ายไปอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป แล้วยังก่อร่างสร้างตัวอยู่ที่นั่น เสี่ยวหลงชิวกลับข้ามมหาสมุทรข้ามแม่น้ำ ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่ากำลังตามหาพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง ปีนั้นการย้ายบ้านค่อนข้างรวดเร็ว ภายหลังที่กลับมาบ้านก็ไม่ช้า จากนั้นก็ไปหมายตาซากปรักของภูเขาไท่ผิง คิดว่าหลังจากเลื่อนเป็นสำนักแล้วจะย้ายศาลบรรพจารย์ จากนั้นค่อยสร้างคันฉ่องแสงจันทร์บรรพกาลเลียนแบบของภูเขาไท่ผิงขึ้นมาบานหนึ่ง
ส่วนต้าหลงชิวสำนักเบื้องบนที่อยู่ในแผ่นดินกลางก็คือตระกูลเซียนอักษรจงอย่างสมชื่อ ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดในศาลบรรพจารย์ล้วนเป็นช่างทำกระจกบนภูเขา กระจกวิเศษที่เซียนซือหลอมขึ้นมา มีสองอย่างที่ระดับขั้นสูงที่สุด แบ่งออกเป็นชื่อ ‘หยุดจันทร์’ ‘หยุดน้ำ’ วิชาอภินิหารลี้ลับมหัศจรรย์ เป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่มีราคาแต่ไร้ตลาดเสมอมา
ผู้ฝึกตนขึ้นเขาลงห้วย ส่วนใหญ่มักจะพกของติดตัวจำพวกภาพค้นภูเขาหนึ่งแผ่น กระจกส่องมารหนึ่งบาน ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางขุนเขาสายน้ำหนึ่งปึก
พอๆ กับยามที่คนในยุทธภพออกเดินทางแล้วต้องพกเงินทองกับกระบอกจุดไฟ
และเส้นทางของการหลอมกระจกส่องมารในใต้หล้าก็สามารถแบ่งออกได้หกเส้นทางซึ่งมีการแบ่งงานที่ชัดเจน ช่างทำกระจกของต้าหลงชิวได้ผูกขาดสายหนึ่งในนั้นไป กระจกวิเศษที่หลอมออกมาสามารถสยบกำราบภูตเผ่าน้ำได้ดี มีความต้องการบนภูเขามากที่สุดเหมือนกับกระจกส่องมารสาย ‘ไล่ภูเขา’ เป็นเหตุให้เงินทองที่ไหลมาเทมาของต้าหลงชิวอยู่ในประเภทที่ว่าต่อให้ไม่อยากจะหาเงินก็ยังยาก ผู้ฝึกตนแต่ละฝ่ายของใต้หล้าไพศาลต่างก็ยื่นเงินส่งไปให้พวกเขากันทั้งนั้น
ในอาณาเขตของทวีปอื่น สำนักที่ทำการค้ากับต้าหลงชิว ช่วยนำกระจกวิเศษไปขายให้ หนึ่งในนั้นก็มีถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ของหลิวเสียทวีป รวมไปถึงสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีป เพียงแต่ว่ากระจกวิเศษที่ฝ่ายแรกขายมีระดับขั้นสูง ราคาแพง หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนทำเนียบเซียนดินหรือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักก็ได้แต่มองอย่างเดียวเท่านั้น
สำนักฉงหลินกลับขายแค่กระจกส่องมารของต้าหลงชิวที่เป็นกระจกขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่าง หากกัดฟันซื้อก็ยังสามารถซื้อหากระจกวิเศษบานหนึ่งมาไว้ในมือได้
ไม่เหมือนกับผูซานและถ้ำมังกรขาว เสี่ยวหลงชิวที่เป็นตัวสำรองสำนักเหมือนกันกลับไม่ได้เข้าร่วมพันธมิตรใบท้อที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามครั้งนั้น
หวงถิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเอ่ยหยอกเย้าว่า “ข้าได้เจอกับหนิงเหยาแล้ว ขอบเขตสูงมาก หากสูงกว่านี้ก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไรแล้ว ส่วนความสวยงาม…ก็เท่านั้นเอง”
เฉินผิงอันยิ้มรับ แทะข้าวโพดปิ้ง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถึงอย่างไรในสายตาของข้าหนิงเหยาก็งดงามที่สุด”
หวงถิงถาม “ยังมีธุระอีกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า พูดเสียงอู้อี้ “คิดว่าจะเชิญเจ้าไปเป็นเค่อชิงของสำนักเบื้องล่าง นอกจากนี้ก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่ต้องถามความเห็นของเจ้าก่อน”
หวงถิงกล่าว “ลองว่ามาสิ”
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าอยากจะเป็นผู้ถวายงานหรือไม่ก็เค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาไท่ผิงพวกเจ้า”
หวงถิงหัวเราะร่า “มีอะไรให้ต้องลำบากใจกันเล่า ตกลงตามนี้แหละ แต่ข้าต้องเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างพวกเจ้านะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันรับหน้าที่ในภูเขาตระกูลอื่นเว้นจากการเป็นเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของสกุลหลิวธวัลทวีป อีกทั้งยังบอกโดยตรงว่าจะเป็นผู้ถวายงาน ไม่ได้พูดว่าจะเป็นเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออะไรด้วยซ้ำ
ฉีจิ้งชุนเคยถามเรื่องหนึ่งคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาว่า เหตุใดเจ้าถึงได้ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตสิบสองมาเป็นขอบเขตก่อกำเนิด
ตอนนั้นชุยฉานครึ่งตัว หรือชุยตงซานในอนาคต ได้บอกไปหมดทั้งความคิดและคำอธิบาย เป็นคำพูดจากใจจริงที่ไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย
เนื่องจากหากอิงตามคำอธิบายของ ‘ตัวเขาเอง’ ก็เป็นเพราะความรู้ของฉีจิ้งชุนที่ทั้งมาจากสายบุ๋น แล้วก็ทั้งสามารถบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทว่าตนกับเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นกลับถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วยมากเกินไป
ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าถูกสั่งห้าม ตำแหน่งของเทวรูปถูกลดลงแล้วลดลงอีก ถึงขั้นถูกย้ายออกจากศาลบุ๋น ถูกทุบตีจนแหลกละเอียด ตามความคิดชุยตงซานนั้นเป็นเพราะฉีจิ้งชุนเองได้ ‘ขึ้นฝั่งไปแล้ว’ แต่ ‘ชุยฉาน’ ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งอย่างตน กลับจำเป็นต้องทำลายก่อนแล้วค่อยหยัดยืนขึ้นใหม่ ตัดขาดการสืบทอดจากอาจารย์อย่างสิ้นเชิง อาศัยทฤษฎีความรู้เรื่องคุณความชอบและลาภยศมาเป็นดั่งขุนเขาตะวันออกที่ลุกผงาดขึ้นมาอีกครั้งในพื้นที่ของหนึ่งทวีป หวนกลับไปเป็นเซียนเหริน หรืออาจถึงขั้นเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน
ตอนนั้นฉีจิ้งชุนยังถามอีกว่า
‘วันนั้นเจ้าและชุยหมิงหวง ภายนอกแสดงละครให้อู๋ยวนดู แต่แท้จริงแล้วต้องการให้ข้าดู เหนื่อยหรือไม่?’
ผายลมเจ้าน่ะสิ เหนื่อยกะผีอะไรกัน
พวกเจ้าสองคนดูเรื่องสนุกเหนื่อยหรือไม่ถึงจะถูก
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ฉีจิ้งชุนผู้นี้ไยจะไม่ใช่ร่วมเล่นละครไปกับศิษย์พี่ชุยฉาน ให้ ‘ศิษย์หลานชุยตงซาน’ ในอนาคตดู?
ประเด็นสำคัญคือศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนไม่เคยพูดคุยสื่อสารกัน ถึงขั้นที่ว่าไม่จำเป็นต้องพบหน้ากันด้วยซ้ำ
เป็นแค่ความรู้ใจกันโดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอย่างหนึ่งเท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างก็อาศัยฝีมือการเล่นหมากล้อมของตัวเอง มองดูเหมือนตาต่อตาฟันต่อฟันกันในทุกเรื่อง อีกทั้งเม็ดหมากที่วางลงไปล้วนเป็นของจริงทั้งหมด แต่แท้จริงแล้วสุดท้ายกลับวางหมากกันคนละกระดาน
การที่ชุยตงซานมีนิสัยเป็นเด็กหนุ่มไม่ใช่ว่าชุยตงซานเสแสร้งแกล้งทำ แน่นอนว่าเป็นความตั้งใจของเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานต่างหาก
นี่ยังเป็นแค่ชั้นแรก ยังมีชั้นสอง ชุยฉานยังสร้างตราผนึก สร้างด่านหนาชั้นให้กับตัวเอง นี่ก็คล้ายกับว่าทั้งๆ ที่เป็นตัวเองกันทั้งสองคน แต่อาศัยอะไรตะพาบเฒ่าอย่างเจ้าถึงมีเงินมากกว่า ถึงขั้นที่มีความรู้สูงกว่า ฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงกว่า?
ถ้าอย่างนั้นคำว่า ‘เหนื่อยหรือไม่’ ในปีนั้น
คงเป็นคำพูดปลอบใจเฉพาะตัวที่ศิษย์น้องอย่างฉีจิ้งชุนมีให้กับซิ่วหู่ผู้เป็นศิษย์พี่กระมัง?
และการสนทนาครั้งนี้ สุดท้ายฉีจิ้งชุนที่มีสีหน้าเศร้าใจก็ได้เอ่ยสามคำเบาๆ คล้ายกับเป็นการปิดฉาก
‘ศิษย์พี่ชุย’
การกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่แปลกประหลาดซึ่งในเวลานั้นยังถือว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องเล็กของสายของเหวินเซิ่ง
ศิษย์น้องฉีจิ้งชุนใช้คำว่า ‘เหนื่อยหรือไม่’ เป็นบทเปิดฉาก และใช้คำเรียกว่าศิษย์พี่ชุยเป็นคำปิดฉาก
ชุยตงซานในเวลานี้เก็บอารมณ์ทั้งหลายกลับคืน ยกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างขึ้นอีกครั้ง บนชุดคลุมอาคมตัวใหญ่ก็มีตัวอักษรบรรจงแบบเล็กเท่าหัวแมลงวันยาวติดกันเป็นพรวนเหมือนพืชน้ำ แล้วก็เหมือนจอกแหนล่องลอยขึ้นลงไปตามสายน้ำไม่หยุดนิ่ง
‘วันคืนดั่งนกในกรง ล่องลอยดุจจอกแหนบนผืนน้ำ’
ชุยตงซานหันหน้ามามองอาจารย์ของตัวเอง
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น สีหน้าอ่อนโยน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์และศิษย์ สภาพจิตใจของเจ้าและข้า ทุกฤดูกาลควรเหมือนวสันต์ฤดู”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!