ชุยตงซานเดินออกไปจากบ่อสายฟ้าพื้นที่ต้องห้ามที่สร้างขึ้นจากปราณกระบี่สีทองเพียงลำพังคนเดียวก่อน
เสี่ยวโม่เอ่ย “ไร้ช่องโหว่ใดๆ”
ชุยตงซานพยักหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์จำเป็นต้องปิดด่านอยู่พักหนึ่ง พวกเรารอกันไปก่อนก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มชุดขาวเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ส่วนเสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวก็กอดไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวไว้ในอ้อมอก
ชุยตงซานใช้เสียงในใจเอ่ย “นอกจากเรื่องบางอย่างที่สำคัญที่สุดแล้ว อาจารย์ยังต้องหลอม ‘จันทร์ในบ่อ’ อีกเล็กน้อย ดูว่าจะสามารถจำแลงออกมาเป็น…เขาวงกตแห่งแล้วแห่งเล่าในฟ้าดินได้หรือไม่ บางทีอาจเป็นภูเขาเซียนตูที่อยู่ข้างนอก หรือบางทีอาจจะอยู่ที่คฤหาสน์หลบร้อนที่ไม่ดำรงอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นถ้ำสวรรค์หลีจูของบ้านเกิดก่อนที่จะหล่นลงพื้น ยิ่งอาจารย์เข้าใจเรื่อง ‘เขาวงกต’ ละเอียดเท่าไรก็ยิ่งมีแนวโน้มเข้าใกล้ ‘ความจริง’ มากเท่านั้น ดังนั้นหากเรื่องนี้ทำสำเร็จ ก็เท่ากับว่านอกเหนือจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีจำนวนมากแล้ว อาจารย์ยังสามารถควบคุมวิชาอภินิหารการ ‘จำแลง’ อย่างที่สองของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ เมื่อใช้ร่วมกับนกในกรงที่สามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นได้ด้วยตัวเองก็จะยิ่งไร้ข้อผิดพลาดมากขึ้นไปอีก”
เสี่ยวโม่สงสัยเล็กน้อย จึงถามว่า “ขอถามเจ้าสำนักชุย เหตุใดคุณชายที่ไม่ใช้จันทร์ในบ่อรวมมือกับนกในกรงไปเลยล่ะ?”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ทุกเรื่องล้วนยากที่การเริ่มต้น ตั้งแต่ศูนย์จนถึงหนึ่ง กับตั้งแต่หนึ่งจนถึงสิบ มักจะเป็นอย่างแรกที่คิดได้ยากและทำได้สำเร็จยากมากกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็บอกแล้วว่าอาจารย์แสวงหา ‘ความจริง’ ไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นเหตุให้คน สิ่งของและเรื่องราวที่ ‘จันทร์ในบ่อ’ ทุกเล่มจำแลงออกมาจึงใกล้เคียงกับความจริงอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่ยากมากๆ แล้ว”
พูดแค่นิดเดียวเสี่ยวโม่ก็เข้าใจได้ทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง นี่ยากจนแทบไม่ต่างจากการเดินขึ้นสวรรค์จริงๆ”
แรงบันดาลใจของเฉินผิงอันมาจากการทำท่ามือประกอบของหลี่เป่าผิงพลางพูดว่า ‘เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สามให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง’ ขณะที่เข้าร่วมประชุมศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง รวมไปถึงการถามกระบี่กับหยวนซงแห่งภูเขาทัวเยว่ในภายหลัง ฝ่ายหลังสร้างระเบียงยาวหนาแน่นเส้นนั้นขึ้นมากับมือตัวเอง และตอนที่เฉินผิงอันอยู่ข้างสระน้ำซึ่งไร้น้ำด้านหลังเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็นึกไปถึงประโยคของลัทธิพุทธที่บอกว่า ‘ประหนึ่งดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแต่ไม่สัมผัสน้ำ ประหนึ่งตะวันจันทราที่โคจรอยู่กลางอากาศไม่หยุดนิ่ง’ สุดท้ายเฉินผิงอันก็นึกถึง ‘ศาลา’ ที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขึ้นมาอีก
ดังนั้นตอนที่อยู่ในหอวั่งซิ่งฮวาของราชวงศ์ต้าเฉวียนถึงได้ให้เสี่ยวโม่ช่วยปกป้องมรรคา เฉินผิงอันมีการทดลองสองครั้ง ครั้งหนึ่งอาศัย ‘ภาพสำเนา’ มากมายในหอตำราของทะเลสาบหัวใจมา ‘คัดลอก’ ขุนเขาสายน้ำพันลี้ในอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่ ต้นไม้ดอกไม้ทุกต้น ภูเขาทุกลูกบ้านทุกหลังล้วนปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าตอนที่พยายามจะให้ ‘บุปผาเบ่งบาน’ ทุกสิ่งที่ทำมากลับสูญเปล่า ตอนนั้นหลังจากได้รับคำเตือนจากเสี่ยวโม่ที่อยู่นอกห้อง เฉินผิงอันก็ไม่โลภมากหวังให้ได้ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์อีก จึงเพียงแค่จำแลงการเติบโตของเมล็ดบัวม่วงทองเมล็ดหนึ่งขึ้นมาบนมหามรรคา เพียงแต่ว่าตอนที่ดอกไม้กำลังจะบานไม่บาน เขากลับเป็นฝ่ายล้มเลิกไปด้วยตัวเอง
เสี่ยวโม่ดวงตาเป็นประกาย ทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไปอีก
ชุยตงซานคล้ายจะเดาความคิดของอีกฝ่ายออก พยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าคิดได้ ข้าเองก็คิดได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ต้องคิดได้เร็วยิ่งกว่าแน่นอน เพียงแต่ว่าการกระทำนี้สิ้นเปลืองเงินเกินไป อีกทั้งยังไม่ใช่เงินเทพเซียนสามชนิด แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่หาได้ยากยิ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ขอบเขตถดถอยอีกแล้ว เรื่องเร่งด่วนในเวลานี้ก็คือการพักรักษาบาดแผลและฟื้นคืนขอบเขตเสียก่อน ดังนั้นเกินครึ่งอาจารย์ก็น่าจะตั้งใจวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว”
‘สี่ด้านที่ห้อยมาของบ้านคือชายคา เรือแล่นไปกลับก็เรียกว่ากาล’ (ชายคาภาษาจีนคืออวี่ กาลภาษาจีนคือโจ้ว อวี่โจ้วแปลว่าจักรวาลหรือกาละอันไม่มีที่สิ้นสุดและเทศะอันหาขอบเขตมิได้)
ชุยตงซานเงยหน้ามองฟ้า ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบพื้น จากนั้นเก็บมือ สะบัดชายแขนเสื้อ พึมพำว่า “บนล่างสี่ด้านเรียกเทศะ นับแต่โบราณจนถึงปัจจุบันเรียกกาล”
จันทร์ในบ่อเล่มหนึ่ง จำนวนกระบี่บินมีมากหรือน้อย เกี่ยวพันกับขอบเขตสูงต่ำโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เฉินผิงอันขอยืมมรรคกถาขอบเขตสิบสี่มาจากลู่เฉิน เพื่อถามกระบี่กับลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ เขาเคยจำแลงกระบี่บินออกมาที่เดียวเกือบห้าแสนเล่ม ในความเป็นจริงแล้วนี่ยังเป็นเพราะเฉินผิงอัน ‘เก็บซ่อน’ ไว้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา หากยอมปล่อยให้จิงชี่เสินถูกเผาผลาญไปอย่างไม่เสียดาย ปลดปล่อยฝีมือเต็มที่ร่ายใช้ ‘จันทร์ขอบบ่อ’ หรือกระทั่ง ‘จันทร์บนฟ้า’ ที่ระดับขั้นแทบจะใกล้เคียงกับยอดสูงสุด ขอบเขตแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ จำนวนของกระบี่บินคาดว่าน่าจะมากถึงแปดแสนเล่มซึ่งน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่ง
และนกในกรงก็เป็นเหมือนที่ชุยตงซานคาดการณ์เอาไว้ เฉินผิงอันขบคิดได้ถึงความเป็นไปได้บางอย่างของวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างที่สองออกมาได้นานแล้ว ซึ่งเกี่ยวข้องกับแม่น้ำแห่งกาลเวลา
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการออกเดินทางช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันถึงได้สูบยาสูบเอาอย่างหยางเหล่าโถว ต่อให้จะปรับตัวไม่ได้ แต่ก็ยังแข็งใจสูบยาพ่นควันขโมง
ทุกครั้งที่หยางเหล่าโถวพูดคุยกับคนอื่นในเรือนด้านหลังร้านขายยาจะต้องสูบยาอยู่เสมอ อาศัยสิ่งนี้มาบดบังความลับแห่งสวรรค์ เพราะรากฐานมหามรรคาของเขาก็คือแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ปะปนกันวุ่นวายสายหนึ่ง เว้นเสียจากจะเป็นบรรพจารย์ของสามลัทธิ หาไม่แล้วต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่เก่งกาจแค่ไหน อย่างเช่นเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ก็อย่าได้หวังว่าจะอาศัยการเดินเลียบย้อนทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลามาตามหาเบาะแสใดๆ ได้พบ
เพียงแต่ว่าควันที่มาจากการสูบยาเหล่านั้นกลับมีเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ถึงจะสามารถควบคุมควันธูปในโลกมนุษย์ได้ หรือหากถอยไปพูดหนึ่งก้าว สิ่งที่คล้ายคลึงกับอักษรภาพของแท้ระดับรองของ ก็คือเงินเหรียญทองแดงแก่นทองแล้ว
ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่บนเรือข้ามฟากเฟิงยวนถึงได้แอบขอเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงมาจากฉางมิ่ง แน่นอนว่าต้องจดลงบัญชีเอาไว้
ตามความเห็นของชุยตงซาน หากจันทร์ในบ่อสามารถจำแลงออกมาเป็นฟ้าดินที่แทบจะใกล้เคียงกับ ‘ความจริง’ ได้
เมื่อร่วมมือกับนกในกรงก็จะสามารถควบคุมการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินเล็กได้
คนนอกหลงเข้าไปอยู่ข้างใน จุดจบจะเป็นอย่างไรก็พอจะรู้ได้
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยอย่างละอายใจ “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงตอบตกลงกับสหายหลิงชุนไปแล้ว”
ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มถาม “หมายความว่าไง?”
ที่แท้ผู้คุมกฎฉางมิ่งของสำนักเบื้องบนที่มีฉายาว่าหลิงชุน ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากเฟิงยวน นางอยากจะขอซื้อเวทกระบี่ชั้นสูงสองสามบทที่หายสาบสูญไปแล้วจากเสี่ยวโม่เพื่อนำไปมอบให้กับน่าหลันอวี้เตี๋ยลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่นางเพิ่งรับมาใหม่ ราคาตามแต่ที่เสี่ยวโม่จะกำหนด นางสามารถใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงมาแลกได้
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นถึงผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักเบื้องบนแล้ว ไหนเลยจะกล้ารับเงิน เรื่องของการถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับน่าหลันอวี้เตี๋ยก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมเช่นไรก็ไม่สำเร็จ เสี่ยวโม่จึงได้แต่ยื่นคำขาดเอาไว้ว่า หากจ่ายเงินให้ เขาก็จะไม่มอบตำรากระบี่ให้แล้ว
ผลคือผู้คุมกฎฉางมิ่งก็ไม่รับเวทกระบี่ไว้จริงๆ
ถึงอย่างไรเรื่องอย่างการจ่ายเงินซื้อเวทกระบี่ เดิมทีนางก็คิดว่าจะหว่านแหไปทั่วๆ อยู่แล้ว
ชุยตงซานเอ่ยสัพยอก “เสี่ยวโม่เอ๋ยเสี่ยวโม่ เจ้าเองก็เป็นคนซื่อตรงเกินไป เรื่องแบบนี้จะคร่ำครึได้อย่างไร ขอเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสักถุงครึ่งถุงมาจากพี่หญิงฉางมิ่ง เวทกระบี่ก็มอบให้ น้ำใจก็ได้ด้วย ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายอย่างไรเล่า”
เสี่ยวโม่รับคำสั่งสอนอย่างนอบน้อม พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ายังไม่อาจเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามได้อย่างแท้จริง”
ชุยตงซานกล่าว “ข้ามีข้อเสนอแนะอย่างหนึ่ง ตรงตีนเขาของยอดเขาเจ๋อเซียนที่เป็นยอดเขารองมีหาดลั่วเป่าที่มีลำคลองชิงอีอยู่ไม่ใช่หรือ วันหน้าข้าจะมอบสถานที่ฝึกตนให้เจ้าก็แล้วกัน เจ้าก็ไปสร้างกระท่อมหรืออะไรอยู่ที่นั่นแล้วคอยถ่ายทอดมรรคาตามเวลาที่กำหนดก็แล้วกัน”
เสี่ยวโม่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “เสี่ยวโม่ได้แต่บอกว่าขอบเขตของตัวเองพอใช้ได้ แต่หากจะพูดถึงเรื่องของการถกมรรคกถาสั่งสอน เรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น ตบะของข้ายังตื้นเขิน ถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นก็เกรงว่ามีแต่จะเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้อื่น แถมยังมีคุณชายกับเจ้าสำนักชุยเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ข้างหน้า เสี่ยวโม่หรือจะกล้าตั้งตัวเป็นอาจารย์ของคนอื่น”
ในยุคบรรพกาล ไม่ว่า ‘นักพรต’ จะมีชาติกำเนิดแบบใด ทว่าคำว่า ‘ถ่ายทอดมรรคา’ กลับมีน้ำหนักมากมหาศาลจนมิอาจจินตนาการได้เลย
ฝึกตนบนมรรคา พิสูจน์มรรคา บรรลุมรรคา ถ่ายทอดมรรคา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!