สวีเซี่ยที่ถูกขนานนามว่า ‘สวีจวิน’ ผู้นี้เพิ่งจะอายุสองร้อยปีก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งแล้ว
อยู่ที่เกราะทองทวีปอันเป็นบ้านเกิด สวีเซี่ยเคยออกกระบี่ขัดขวางการโจมตีที่แว้งกลับมาทำร้ายพวกเดียวกันเองของหวานเหยียนเหล่าจิ่งมาก่อน ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของสวีเซี่ยไม่เคยเด่นดัง กระทั่งกลียุคมาถึง เขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก
หวังจี้ที่ ‘เดิมพันเล็กน้อยพอสนุก’ กับสวีเซี่ยบนยอดเขาคือผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยก มีฉายาว่าขุนนางเจียนจ่าน (ขุนนางที่ดูแลและควบคุมเรื่องการประหารนักโทษ)
หวังจี้กับจ้งชิวต่างก็เป็นบัณฑิต พอพบเจอหน้าก็ถูกชะตากันทันที ทั้งยังหาเวลามาเล่นหมากล้อมด้วยกันหลายตา ส่วนหมี่อวี้กับสวีเซี่ยที่ชมศึกอยู่ด้านข้าง สองฝ่ายไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกัน แค่มองสบตากันทีเดียวก็ไม่มีเรื่องให้พูดกันแล้ว
ตอนอยู่ท่าเรือปี้เฉิงของสำนักกุยหยก ทางฝั่งของเรือเฟิงยวนได้รู้เรื่องหนึ่งว่า ยอดเขาเสินจ้วนที่ปล่อยว่างมานานหลายปีเพิ่งจะมีเจ้าของคนใหม่ อีกทั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกยังไม่มีความเห็นต่างใดๆ ยอมแหกกฎเพื่อผู้ฝึกกระบี่คนนี้เป็นพิเศษ ไม่ต้องให้เขาเลื่อนเป็นโอสถทองก็ได้เข้าไปอยู่ยอดเขาเสินจ้วนก่อนแล้ว
เพราะเด็กคนนั้นเพิ่งจะอายุเก้าขวบ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง
ได้ยินว่าได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม
ดูเหมือนว่านอกจากเหตุผลที่ว่า ‘ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ถือกำเนิดขึ้นตามชะตาแล้ว’ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อธิบายได้อีกแล้ว
ส่วนสำนักกุยหยกในทุกวันนี้ลำพังเพียงแค่ท่าเรือส่วนตัวที่สามารถรองรับเรือข้ามทวีปได้หลายลำในเวลาเดียวกัน ไม่รวมสำนักเจินจิ้งที่เป็นสำนักเบื้องล่างอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเป็นหนึ่งในนั้น ก็มีมากถึงสามแห่ง นอกจากท่าเรือปี้เฉิงแล้วยังมีท่าเรือนี่ลวี่และท่าเรือหย่วนซานด้วย ท่าเรือสองแห่งหลังนี้สร้างขึ้นบนภูเขาใต้อาณัติ
หลังจากนั้นเรือข้ามฟากก็เดินทางกลับเหนือ ระหว่างนั้นไปจอดอยู่กลางอากาศใกล้กับแม่น้ำหลินเหอ
จ้งชิวกับหมี่อวี้จับมือกันไปเยือนแผงที่ตั้งอยู่ริมน้ำแห่งนั้น
เถาหรานนับว่ายังเกรงใจอาจารย์จ้งอยู่บ้าง เคยเจอหน้ากันหลายครั้ง ค่อนข้างมีความประทับใจที่ดี
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้นี้บอกว่าก่อนหน้านั้นมีคนกลุ่มหนึ่งมา บอกว่ามาจากภูเขาเซียนตูเช่นเดียวกัน มือดาบชุดเขียวยังบอกด้วยว่าเป็นอาจารย์ของชุยเซียนซือ ชื่อว่าเฉินผิงอัน
คนผู้นี้ดื่มเหล้าที่นี่ไปชามหนึ่ง ไม่ได้ก่อเรื่องก่อราวอะไร เพียงแต่ว่าคนผู้นี้พูดจาไม่น่าเชื่อถือ บอกว่าตัวเองคือเซียนกระบี่เฉินแห่งแจกันสมบัติทวีปคนนั้น
ในเมื่อพูดจาชวนขบขันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ไปเป็นนักเล่านิทานหาเงินอยู่ใต้สะพานเลยเล่า
สายตาของหมี่อวี้ฉายแววเวทนา ยื่นมือออกไปหมายจะตบไหล่เซียนกระบี่โอสถทองผู้นี้เพื่อแสดงการปลอบใจ
คำพูดพวกนี้ของเถาหราน หากเผยเฉียนได้ยินเข้า เหอะ
เถาหรานสะบัดไหล่หลีกขาหน้าข้างนั้น เขาไม่สนิทกับเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองชื่ออวี๋หมี่ผู้นี้แม้แต่น้อย พบเจอกันสองครั้งล้วนสวมชุดสีขาว เจ้าคิดว่าตัวเองคือฉีถิงจี้แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือว่าเคยดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีมาก่อนเล่า?
อีกอย่างเถาหรานมองบุคลิกท่าทางของคนผู้นี้แล้วก็รู้ว่าเป็นพวกเจ้าชู้เสเพลพอๆ กับเจียงซ่างเจิน เห็นแล้วขวางหูขวางตานัก
หมี่อวี้ดึงมือกลับมา หยิบเหล้าชามหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งอึก ดื่มเข้าไปแล้วเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถึงกับขมวดคิ้วฉับ ผสมน้ำหรือ?
เถาหรานในทุกวันนี้ยังไม่รู้เรื่องหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต แทบจะทุกครั้งที่ถึงคราวที่ฉีถิงจี้ต้องออกตรวจตราหัวกำแพงเมือง จะต้องเป็นฝ่ายไปหาหมี่อวี้กลางเมฆเรืองรองเพื่อดื่มเหล้าด้วยกันเสมอ
แม้ว่าอายุของทั้งสองฝ่ายจะต่างกันมาก ขอบเขตเวทกระบี่ก็ต่างกัน แต่กลับเป็นชายงามที่ผู้คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้การยอมรับ อีกทั้งคนหนึ่งที่เป็น ‘ฉีออกเดินทาง’ กับอีกคนที่เป็น ‘หมี่ผ่าเอว’ นี้ต่างก็พูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินยิ่ง
จ้งชิวเพียงคลี่ยิ้มไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่กำชับเรื่องบางอย่างที่ต้องระวังกับเถาหราน
เถาหรานไม่มีท่าทีหงุดหงิดใจ ตั้งใจจดจำไปทีละข้อ
หลังจากที่เรือเฟิงยวนมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาเซียนตูของบ้านตัวเอง หมี่อวี้ไม่ได้พบกับใต้เท้าอิ่นกวาน เฉาฉิงหล่างบอกว่าอาจารย์กำลังฝึกตน แต่หมี่อวี้ได้รับข้อความที่เฉินผิงอันฝากมาบอกต่อ ใต้เท้าอิ่นกวานบอกกับตนว่ากลับท่าเรือหนิวเจี่ยวของแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ต้องพาป๋ายเสวียนมาด้วย
หมี่อวี้รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง
จากนั้นเมื่อเดินทางผ่านตำหนักพยัคฆ์เขียวบนภูเขาชิงจิ้ง เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ยงได้มอบขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้จ้งชิวกับมือตัวเอง ขอให้อาจารย์จ้งช่วยนำไปมอบต่อให้กับเจ้าขุนเขาเฉิน
บอกว่าเป็นยานั่งลืมตนเตาใหม่ล่าสุดที่เพิ่งหลอมสำเร็จ น่าเสียดายที่จำนวนไม่มาก มีแค่สามเม็ดเท่านั้น
จ้งชิวกุมหมัดขอบคุณ
หมี่อวี้เอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า เทพเซียนผู้เฒ่าลู่มีศัตรูที่ไหนหรือไม่
ลู่ยงหัวเราะดังลั่น โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
เรือข้ามฟากลอยพ้นจากพื้นดินของใบถงทวีปเข้าไปในน่านน้ำมหาสมุทรแล้ว หมี่อวี้ที่อยู่ว่างก็ให้รู้สึกอุดอู้ยิ่งนัก จึงกระโดดลงจากเรือเฟิงยวน ทะยานลมขึ้นเหนือ รุ้งยาวพุ่งพาดผ่านกลางอากาศ
ยอดเขาชิงผิง ในถ้ำสวรรค์เล็กฉางชุน
เฉินผิงอันเลือกจุดที่สูงที่สุดในหอเรือนประตูสีชาดกลางภูเขา ประตูหน้าต่างทุกบานปิดสนิท
ในห้องมีเบาะรองนั่งหนึ่งใบ โต๊ะน้ำชาหนึ่งตัว กระถางธูปหนึ่งใบ
บนโต๊ะวางตำราไว้สองสามเล่มได้แก่ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ‘คัมภีร์เวทกระบี่’ และ ‘ฉากสายฟ้า’ ที่ตัวเองเขียนและเรียบเรียงเข้าเล่ม รวมไปถึง ‘หนังสือผุๆ’ เล่มหนึ่งที่ได้มาจากซากปรักจวนเซียนของอุตรกุรุทวีป
และยังมีแผ่นไม้ไผ่ที่แกะสลักตัวอักษรอีกกองใหญ่
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเบาะ ฝ่ามือสองข้างหงายขึ้นด้านบนวางซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง หลับตาเพ่งสมาธิ หายใจเข้าออกเนิบช้า
ประหนึ่งภิกษุเฒ่าเข้าฌาน ประหนึ่งเจินจวินนั่งลืมตน ประหนึ่งเทพนั่งนิ่งดุจศพ
ภาคกลางค่อนข้างไปทางทิศเหนือของใบถงทวีป ในอาณาเขตของแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่ง
ใกล้ถึงยามสายัณห์ คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งพาเจ้าอ้วนเดินทางมาด้วยกัน พอดีมีฟ้าร้องฟ้าแลบ ลมฝนพัดกระโชกแรง คนทั้งสองจึงมาหยุดพักอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในตลาด บัณฑิตยากจนสั่งน้ำผงรากบัวใส่น้ำตาลมาสองชาม
เจ้าอ้วนเงยหน้าขึ้น ชูชามขึ้นสูง เขย่าแรงๆ เห็นว่าไม่มีผงรากบัวเหลืออยู่แล้วถึงได้วางชามลง บ่นว่า “พี่น้องจง ในเมื่อพวกเราเร่งเดินทาง โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนสักลำจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ”
“พิธีเฉลิมฉลองคือวันแรกของฤดูใบไม้ผลิปีหน้า จะไปทันได้อย่างไร”
จงขุยเอ่ย “หากวันนี้เจ้ายินดีจ่ายเงิน ข้าก็จะควักเงินจ่ายค่าเรือข้ามฟากให้เจ้า”
เจ้าอ้วนเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ทัศนียภาพบนเรือข้ามฟากก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ยังคงเป็นการใช้สองขาเดินทางที่ได้เห็นเรื่องน่าสนใจได้เยอะกว่า อย่างตอนนี้ก็มีเรื่องแปลกใหม่ไม่เล็กไม่ใหญ่เพิ่มมาอีกเรื่องไม่ใช่หรือ”
เจ้าอ้วนชี้ไปที่ริมน้ำนอกร้าน ที่แท้มีพ่อค้าเกลือจ้างเรือลำใหญ่ให้มาจอดอยู่ที่เบื้องล่างศาลเก่าแก่ ชมทัศนียภาพยามฝนตก ฝนกระหน่ำครั้งนี้ตกลงมาอย่างกะทันหัน แล้วก็จากไปเร็ว รอกระทั่งฝนหยุดตกก็ถึงกับมีสตรีคนหนึ่งถือคัดเบ็ดตกปลาอยู่ตรงหน้าต่างของเรือหอเรือนลำนั้น กำไลข้อมือที่สวมใส่ยิ่งขับให้ข้อมือที่โผล่พ้นชายเสื้อของนางขาวราวรากบัว เจ้าอ้วนเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน รู้หลักการเหตุผลของคำว่าผอมไม่สู้อวบอิ่มมานานแล้ว มองสตรีคนนั้นแค่ไม่กี่ทีก็จิตวิญญาณหลุดลอย มิอาจเลื่อนสายตาได้อีก ทุกครั้งที่นางรวบเบ็ดและเหวี่ยงเบ็ดลงไปใหม่ เจ้าอ้วนก็จะใจสั่นตามไปด้วย
น่าเสียดายที่สตรีคนนั้นมวยผมทรงสตรีออกเรือนแล้ว หากว่ายังเป็นแม่นางในห้องหอที่รอแต่งงาน เจ้าอ้วนก็จะขึ้นเรือไปหาพ่อตาทันที
อีกฝ่ายจะเป็นผีงามโครงกระดูกที่มีศาสตร์การแปลงโฉมแล้วอย่างไร เจ้าอ้วนไม่สนใจเลยจริงๆ ถือสาเรื่องนี้ ไม่ธรรมดาสามัญไปหน่อยหรือ?
จงขุยเพียงแค่ใช้หางตาเหลือบมองเรือหอเรือนลำนั้น เอ่ยว่า “เจ้าอย่าไปยุ่งกับนางเชียว ก็แค่สตรีผู้ลุ่มหลงในรักที่ชะตากรรมรันทดคนหนึ่ง ตอบแทนพระคุณเสร็จก็จะจากไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!