ชุยตงซานเอ่ยเรียก “อาจารย์”
เฉินผิงอันรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย “หืม?”
ชุยตงซานคลี่ยิ้มเจิดจ้า “แม้ว่าทุกวันนี้อาจารย์จะไม่ได้สะพายกระบี่…”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เงียบไปเลย!”
ชุยตงซานกลับยังไม่หยุดพูด “ลมปราณเขมือบกลืนขุนเขาสายน้ำ ปราณกระบี่เปี่ยมชีวิตและจิตวิญญาณ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พึมพำว่า “ขนบธรรมเนียมชั่วร้ายเอนเอียงส่วนนี้ของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าน่ะเป็นตัวนำเลย”
ชุยตงซานทำหน้าน้อยใจ “อาจารย์ คิดไปคิดมา ในที่สุดข้าก็แน่ใจแล้วว่าใครที่เป็นขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการเป็นอันดับหนึ่งในด้านขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา”
เฉินผิงอันใคร่รู้อยู่บ้าง “เป็นใคร?”
ชุยตงซานกดเสียงลงเบาๆ “เป็นเป่าผิงน้อย!”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง นั่งกลับลงไปที่เดิม นวดคลึงปลายคาง เพียงแต่ว่าไม่นานก็ด่าชุยตงซานขำๆ เจ้าอย่ามาฟ้องเรื่องเป่าผิงน้อยกับข้า อยากโดนตีหรือไร
ชุยตงซานตบหน้าผาก ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
หากจะบอกว่าศิษย์น้องเล็กกวอจู๋จิ่วอาจจะเป็นตัวยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียน แต่เผยเฉียนกลับเป็นตัวยุ่งยากของใครหลายคน
ทว่ากับชุยตงซานแล้ว แน่นอนว่าตัวยุ่งยากของเขาในปีนั้นก็ต้องเป็นแม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแล้ว
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ คนที่รู้ มีไม่มาก
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์มีธุระก็ไปทำก่อนเถอะขอรับ”
เฉินผิงอันกลับเพียงแค่หมุนตัวไปอีกด้าน ยังคงนั่งอยู่ต่อ มองเม็ดฝนปรอยๆ นอกประตูอยู่อย่างนั้น พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไม่มีธุระ”
ภูเขาเซียนตู หอซ่าวฮวาบนยอดเขาเจ๋อเซียนที่เป็นภูเขาแยกออกไป
สุยโย่วเปียนถ่ายทอดเวทกระบี่และวิชาหมัดให้กับเฉิงเฉาลู่ผู้เป็นลูกศิษย์เสร็จแล้ว นางก็ไปชมทัศนียภาพอยู่ที่หาดลั่วเป่าข้างแม่น้ำชิงอีตรงตีนเขา
ระหว่างที่อวี๋เสียหุยหยุดพักจากการฝึกกระบี่ก็มาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่เช่นกัน ฝนหยุดตกระหว่าง เขาจึงหุบร่มกระดาษน้ำมันแล้วเอามาควงเล่นแทนกระบี่ตลอดทาง
อาจารย์ของตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งสองล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด เพียงแต่ว่าทุกวันนี้คนหนึ่งเป็นขุนนาง คนหนึ่งไม่ใช่
อวี๋เสียหุยวางร่มกระดาษน้ำมันไว้บนรั้วริมหน้าผา เหยียดปลายเท้าเขย่งตัวขยับก้นไปนั่งบนรั้ว มองพ่อครัวน้อยที่ฝึกหมัดเดินนิ่ง มองดูแล้วเข้าท่าเข้าที
รอกระทั่งเฉิงเฉาลู่ฝึกหมัดเสร็จสิ้นก็มาหาอวี๋เสียหุย พ่อครัวน้อยลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่กล้าจะเปิดปากถาม
อวี๋เสียหุยยกสองแขนกอดอก แกว่งขาสองข้าง เอ่ยว่า “มีลมก็รีบผาย”
เฉิงเฉาลู่เอ่ยเสียงแผ่ว “พักสักเดี๋ยว (เซียหุย ออกเสียงพ้องกับชื่อเสียหุย) แม้ว่าข้าเองก็ไม่ค่อยชอบชุยเหวย แต่ว่า…”
ไม่รอให้เฉิงเฉาลู่พูดจบ อวี๋เสียหุยก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว จึงแย่งพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “จะดีจะชั่วชุยเหวยก็เป็นผู้คุมกฎของสำนักเบื้องล่าง ไอ้หมอนี่จิตใจคับแคบ เจ้าพูดจาอะไรก็ระวังหน่อย”
ตนไม่ชอบชุยเหวย แต่เจ้ามีสิทธิ์อะไร? สิทธิ์ที่เจ้าพ่อครัวน้อยยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างหรือ?
พักสักเดี๋ยว ฉายานี้ป๋ายเสวียนเป็นคนตั้งให้กับอวี๋เสียหุย และยังมีฉายาพ่อครัวน้อยของเฉิงเฉาลู่ ลูกคิดน้อยของน่าหลันอวี้เตี๋ย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฉายา ‘ตาปลาตาย’ ของซุนชุนหวังแล้วยังดีกว่าเล็กน้อย เทียบกับคนที่เหนือกว่าไม่ได้ แต่เทียบกับคนที่ด้อยกว่าได้เหลือเฟือ พวกอวี๋เสียหุยแต่ละคนจึงยอมรับกันไปโดยปริยาย
แน่นอนว่ายังมีฉายาอิ่นกวานน้อยน้อยที่ป๋ายเสวียนตั้งให้กับตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่ยอมรับ ดูเหมือนว่าคราวก่อนที่ได้เจอกับเฉินหลี่ ‘อิ่นกวานน้อย’ ผู้นั้น ตอนนั้นป๋ายเสวียนยังสะอึกอึ้งอยู่เลย
เฉิงเฉาลู่นวดคลึงข้างแก้มอวบอ้วนของตัวเองด้วยความเคยชิน ร้องฮ่าหนึ่งที
ในบรรดาเด็กเก้าคนที่เดินทางไกลมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เจ้าอ้วนน้อยคือคนที่นิสัยดีที่สุด
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาคราวก่อน เฉิงเฉาลู่ถามหมัดกับคนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาเอาชนะได้อย่างรวดเร็วฉับไว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรด้วย แม้จะบอกว่าห่านขาวใหญ่แอบเล่นตุกติก แต่กลับทำให้พวกเด็กๆ คนอื่นต้องมองเขาเสียใหม่ แม้ปากพวกเขาจะไม่พูด แต่ในใจล้วนมีตาชั่งกันอยู่ทุกคน ตอนนั้นแม้แต่ชุยตงซานก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าตัวน้อยจอมฉุนเฉียวที่ร้ายกาจคนหนึ่ง พอลงมือก็ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไรก็เกิดและเติบโตอยู่ในสถานที่อย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ กล้าต่อยตีแล้วยังต่อยตีได้จริงๆ สำคัญยิ่งกว่ามีแซ่ว่าอะไรเสียอีก
พวกเด็กๆ ตระกูลชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังดี แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับออกกระบี่บนสนามรบนุ่มนิ่ม มิอาจสร้างคุณปการด้านการสู้รบที่แท้จริงมาได้ จะต้องถูกคนดูแคลนมากที่สุด
เฉิงเฉาลู่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “พักสักเดี๋ยว ไม่ว่าจะอย่างไร เอาเป็นว่าข้ามองออกก็แล้วกันว่าใต้เท้าอิ่นกวานไม่เคยดูแคลนอาจารย์ของเจ้าแม้แต่น้อย ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าเห็นดีในตัวเขาอย่างมาก! ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ข้าไม่เข้าใจหรอก แค่รู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ก็แล้วกัน”
อวี๋เสียหุยสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อเอาอย่างใต้เท้าอิ่นกวาน พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดพ่อครัวน้อยก็พูดจาภาษาคนบ้างแล้ว
หากว่าดูแคลน ชุยเหวยจะเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วได้หรือ? ลำดับรายชื่อยังไม่ต่ำอีกด้วยนะ ทุกวันนี้ยังเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักเบื้องล่าง
หากว่าไม่ใช่เห็นดีในตัวเขาอย่างมาก จะดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับใต้เท้าอิ่นกวานและห่านขาวใหญ่ได้หรือ? เขามองเห็นอย่างชัดเจน จำได้อย่างแม่นยำว่าลำดับการดื่มเหล้าคารวะที่ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นฝ่ายดื่มให้ผู้อื่น ชุยเหวยอยู่ในอันดับที่สองเชียวนะ
เฉิงเฉาลู่เอ่ย “ไม่รู้ว่าอวี๋ชิงจางกับเฮ้อชั้นหนังสือ เวลานี้ไปถึงที่ไหนแล้ว”
อวี๋เสียหุยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าพวกใจจืดใจดำ ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน”
เฉิงเฉาลู่พูดเสียงเบา “ถือว่าต่างคนต่างก็มีปณิธานเป็นของตัวเองหรือไม่?”
อวี๋เสียหุยหลุดหัวเราะพรืด ไม่ตอบรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ
อวี๋เสียหุยเหล่ตามองไปยังทิศไกล สุยโย่วเปียนที่พบเจอใครก็ไม่เคยยิ้มให้ผู้นั้นเดินห่างไปไกลมากแล้ว เขาถึงได้กดเสียงต่ำถามว่า “พ่อครัวน้อย เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง หืม?”
“อะไร?”
“อาจารย์ของเจ้ากับใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรา หืม?!”
เฉิงเฉาลู่ฉงนสนเท่ห์ “หมายความว่าอย่างไร?”
อวี๋เสียหุยยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบไหล่ของเจ้าอ้วนน้อย ทำท่าแบบอิ่นกวาน แล้วยังพูดจาด้วยน้ำเสียงเหมือนอิ่นกวาน “เฉาลู่อ่า เจ้าเองก็เป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่นะ”
ได้ยินมาว่าตอนอยู่บนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง หากเรียกคนแล้วไม่เพิ่มคำว่า ‘อ่า’ เข้าไปด้วย จะดูไม่สนิทสนมกันอย่างเห็นได้ชัด รู้เลยว่าเป็นคนนอก ไม่ใช่หน้าม้าแน่นอน
เฉิงเฉาลู่หัวเราะหึหึ คนโง่มีโชคของคนโง่ ประโยคนี้เขาชอบฟังมากเลยล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!